ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 650 ความลับ
บทที่ 650 ความลับ
บทที่ 650 ความลับ
อสูรที่กล่าวอ้างว่าตนคือจอมเทพอสูรเริ่มเล่านิทานเรื่องยาวให้อี้ฝานรับฟัง ซึ่งเป็นเรื่องราวในยุคก่อนการถือกำเนิดของยุคแห่งแสงสว่าง
ในยุคมืด ก่อนแสงแรกจะปรากฏบนท้องฟ้า เวลานั้นภายในโลกมีเพียงความมืดที่ไม่อาจแยกขาด มีเพียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ยิ่งตระหง่านบนพื้นดิน และแผ่นดินไร้สิ้นสุดเหล่านี้อยู่ภายใต้ความมืดมิดทั้งสิ้น
บนโลก… มีผลึกแก้วลึกลับถูกฝังอยู่ในดินหรือใต้ดินเท่านั้นที่พอจะมีแสงเปล่งประกาย และมันคือแหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวของโลกในเวลานั้น
ในความมืดมิด… มีหลายเผ่าพันธุ์ก่อกำเนิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
ภูตที่เติบโตใกล้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่อาศัยอยู่บนยอดไม้ คนแคระหลบซ่อนตัวภายในส่วนลึกของถ้ำ อาศัยอยู่ในสถานที่ร้อนระอุ และไม่ทราบเลยว่ามนุษย์คนแรกปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้เมื่อใด พวกเขาสร้างบ้านจากหินและใช้อยู่อาศัย ส่วนเหล่าอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นในความมืดล้วนแต่หลงใหลความมืดมิดนี้ยิ่งนัก
ในฐานะที่อสูรนิยมชมชอบในความมืด จึงได้เปรียบกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ความสามารถทางกายภาพของพวกมันแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ใด และยังมีความเฉลียวฉลาดมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม แล้วยังร้ายกาจยิ่ง พวกมันมักจะออกล่าอีกสามเผ่าพันธุ์ใหญ่อยู่เสมอ อาหารของพวกมันคือเนื้อ โลหิต และวิญญาณของสามเผ่าพันธุ์ใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้สร้างความลำบากให้กับสามเผ่าพันธุ์นั้นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสามก็มิใช่โง่เขลา พวกเขาก็ยังดิ้นรนที่จะเอาชีวิตรอดในความมืด และค่อย ๆ สร้างอารยธรรมขั้นต้นของตนเอง
และในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ จึงก่อเกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา
ไม่มีใครทราบถึงนามที่แท้จริงของเขา แต่ชายผู้นี้ได้ค้นพบพลังวิเศษของผลึกแก้วที่ฝังอยู่ภายในดิน พวกมันคือแหล่งกำเนิดแสง เช่นนี้เขาจึงได้รับความเคารพและถูกขนานนามว่าผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นคือคือ นักรบแห่งรุ่งอรุณ และอสูรต่างไม่พอใจที่เขาทำให้โลกที่เคยมืดมิดกลับมาสว่างอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอสูรตนใดหยุดยั้งเขาได้
นักรบที่ได้รับสุดยอดพลังจากผลึกแก้วกลายเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเขากล่าวสัตย์สาบานว่าจะขับไล่ความมืดและอสูรทุกตนออกไปจากโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปทั่วโลกเพื่อพบเจอเผ่าพันธุ์ใหญ่ทั้งสาม ส่วนตัวของเขาก็มีสหายร่วมเผ่าพันธุ์ด้วยเช่นกัน
นอกจากเขาแล้ว ยังมีนักรบอีกเก้าคน และเป็นนักรบจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งหมดออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อต่อต้านจอมอสูรและขับไล่ความมืด
หลังจากผ่านความยากลำบากนับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ จอมเทพอสูรล่มสลาย แสงแรกของโลกจึงปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่างอย่างแท้จริง โลกทั้งใบหมุนเวียนสับเปลี่ยน มีทั้งกลางวัน และกลางคืน เป็นบรรยากาศที่สดใสและน่าอยู่ยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เหล่านักรบได้ค้นพบว่าลำแสงนี้จะต้องได้รับการดูแลโดยคนผู้หนึ่ง และคนผู้นั้นจะต้องเสียสละตนเอง มิฉะนั้นสุดท้ายแล้วความมืดจะกลับมากลืนกินทุกสิ่งอีกครั้ง ดังนั้นนักรบแห่งรุ่งอรุณจึงอาสาเป็นมนุษย์ผู้เสียสละเพื่อรักษาแสงสว่างและยุคแสงสว่างนี้ไว้
แสงสว่างตลอดยุคนั้นคงอยู่ตลอดเวลาเพราะถูกรักษาไว้ด้วยการเผาไหม้จิตวิญญาณในตัวเขา
“อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จริงไม่ได้งดงามอย่างที่ตำนานกล่าวขาน”
จอมเทพอสูรหันมองอี้ฝานด้วยดวงตาแน่วแน่ และหลังจากเห็นท่าทางครุ่นคิดของอีกฝ่าย รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“นักรบแห่งรุ่งอรุณไม่ได้ยอมเป็นเครื่องสังเวยแก่มนุษย์โดยสมัครใจ แต่มันเกิดจากความทรยศที่ไร้ยางอาย เพราะความหวาดกลัวและริษยา สุดท้ายแล้วนักรบทั้งหมดจึงทรยศต่อนักรบแห่งรุ่งอรุณ! ก่อนวันที่เขาจะถูกจับสังเวย เขาถูกลอบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส และถูกเซ่นสังเวยขณะที่อ่อนแรงอยู่บนบัลลังก์!”
“…”
จอมเทพอสูรไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรให้มากความอีกต่อไป
อี้ฝานที่ติดอยู่ในภวังค์ เมื่อได้รับเรื่องราวที่ไม่เคยทราบมาก่อน ราวกับว่าเวลานี้เศษเสี้ยวความทรงจำของเขาเริ่มตื่นขึ้น
เขามองเห็นคมดาบแทงจากด้านหลัง และความเจ็บปวดพลันวิ่งผ่านทรวงอกอย่างเลือนราง ความโกรธพุ่งพล่านออกจากก้นบึ้งของหัวใจ มันคือความอัปยศอย่างถึงที่สุด
… เพราะเขาถูกสหายที่ไว้ใจหักหลังอย่างเลือดเย็น
อี้ฝานมองเห็นแววตาของผู้คนมากมายปะปนด้วยความประหลาดใจ ความหวาดกลัว และความบ้าคลั่ง ทั้งยังได้ยินเสียงร้องคำรามของตนเองที่เกรี้ยวกราด
ภาพในหัวปรากฏภาพเรื่องราวในวันนั้นราวกับละครโรงใหญ่ และในที่สุดมันก็มาหยุดลงบนใบหน้าของคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
มันคือสตรีดูแลสุสาน… เวลานั้นนางไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมหน้า ดวงตายังคงเป็นเช่นเดิม ราวกับดวงดาวพร่างพราว แต่มันกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า น้ำตาไหลอาบแก้มหยกทั้งสองข้าง
“อี้…”
อี้ฝานเอ่ยชื่อดังกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาเชื่อว่าสิ่งที่จอมเทพอสูรกล่าวออกมานั้นเป็นความจริง เวลานี้เศษเสี้ยวความทรงจำของเขาถูกเรียกกลับคืน
“นี่… สำหรับเจ้า…”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าจอมเทพอสูร มันเหยียดนิ้วก่อนจะถอดร่างของเจ้าแห่งยมโลกที่ถูกตรึงไว้บนไม้เท้ากระดูกออกมา แล้วโยนร่างนี้ต่อหน้าอี้ฝาน
“ข้ายังไม่ได้สังหารมัน แต่เดิมทีข้าคิดว่าอยากจะทรมานมันสักหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็เป็นศัตรูของเจ้าใช่หรือไม่? นับตั้งแต่เราพบกัน เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ข้าชื่นชมที่สุด เอาล่ะ ข้าจึงปล่อยโอกาสนี้เพื่อให้เจ้าได้แก้แค้น”
อี้ฝานมองชายผู้นั้น …เจ้าแห่งยมโลก อีกฝ่ายยังไม่ได้ตายตก และเขาเงยหน้าขึ้นมองอี้ฝานอย่างเงียบ ๆ
“ขอโทษ”
เขากล่าวกับอี้ฝานด้วยภาษามนุษย์ เพื่อกล่าวอ้อนวอนให้อีกฝ่ายยกโทษ
เจ้าแห่งยมโลกคือเทพผู้ดูแลยมโลกแห่งยุคแสงสว่าง แน่นอนว่าเขาคือเทพเจ้าที่ควรค่าแก่การเคารพ และยังมีออร่าสง่างามสูงส่ง
อี้ฝานดึงดาบสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังออกมา ทำให้เปลวไฟเกรี้ยวกราดลุกท่วมใบมีดคมปลาบ
“เจ้าหักหลังข้า!!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งยมโลก อี้ฝานชักดาบใหญ่ออกสับฟันศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดลังเล
กลิ่นอายสีม่วงเข้มปรากฏในอากาศ มันหมุนรอบร่างกายจอมเทพอสูรก่อนจะทะลวงเข้าสู่ร่างกายของอี้ฝาน จอมเทพอสูรเพียงเฝ้ามองแต่ไม่ได้คิดหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้น
กลิ่นอายแทรกซึมไปทั่วอณูร่างกายของอี้ฝาน และความทรงจำของเจ้าแห่งยมโลกทุกสิ่งจึงปรากฏขึ้นในความคิดของอี้ฝาน
…
“ก่อนพิธีราชาภิเษกในวันพรุ่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะพักผ่อนสักหน่อย ปิดตาสักข้างหนึ่งเพื่อผ่อนคลายเถิด”
ในคืนมืดมิด นักรบขี่ม้าขาวมาเยือนกระโจมของเจ้าแห่งยมโลก และร้องขอนักรบผู้ทำงานหนักไม่ยอมรู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ข้าหวังว่าคราวนี้เจ้าควรจะพักผ่อนสักหน่อยเพื่อประโยชน์ของพวกเรา”
“นี่คือความชั่วร้ายที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ งั้นหรือ?”
นักรบผู้ขยันขันแข็งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวถาม
“ถูกต้อง มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นั้นได้ ต่อให้เป็นเจ้าก็ทำไม่ได้ ข้าก็ทำไม่ได้ ไม่มีผู้ใดทำหน้าที่นี้ได้”
นักรบม้าขาวกล่าวโน้มน้าว
“เราไม่สามารถปล่อยให้แสงสว่างที่เราได้ต่อสู้กันมาอย่างยากลำบากเพื่อให้ได้รับมันมาจางหายไปได้ และเราไม่อาจเพิกเฉยต่อวันพรุ่งนี้ของโลกได้”
นักรบผู้นั้นพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ดังนั้นในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนรุ่งสางของอีกวัน เขาจึงฝ่าฝืนคำสาบานของนักรบและเข้าสู่ห้วงนิทรา
การสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดประสบความสำเร็จ พวกเขาส่งอดีตผู้นำกลุ่มไปยังบัลลังก์เซ่นสังเวย
นักรบที่เหลือต่างชื่นชมและมอบความไว้วางใจให้กับคนผู้นั้น แต่นักรบผู้ขยันขันแข็งกลับรู้สึกละอายใจยิ่ง ดังนั้นเขาจึงเสนอตัวว่าจะปกป้องชายแดนของทั้งโลกเพื่อเป็นการชดใช้การกระทำอันชั่วร้ายนี้