ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 652 ผู้ดูแลสุสาน
บทที่ 652 ผู้ดูแลสุสาน
บทที่ 652 ผู้ดูแลสุสาน
จั้วซีเอ๋อร์คิดไตร่ตรอง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับข้อเสนอของอี้ฝาน
แม้นางจะต้องการค้นหามารดาภายในยมโลกแห่งนี้ ทว่าก่อนหน้านี้ก็พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าพลังของนางไม่อาจปกป้องตนเองให้ปลอดภัยในสถานที่แห่งนี้ได้
แม้เจ้าแห่งยมโลกจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีอสูรจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ อีกทั้งยังมีอสูรทรงพลังมากมายและเจ้าแห่งยมโลก แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่นางจะสามารถรับมือได้
แม้แต่หลายหยาที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่สุดภายในวังเทวาลัยก็ยังถูกอสูรกลืนกินลงท้อง เช่นนี้จึงคาดเดาได้ว่าแม้นางจะได้พบเจอกับอารักขาประจำตัว แต่ก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของนางได้
อี้ฝานแข็งแกร่งมาก ทว่าจั้วซีเอ๋อร์ก็เข้าใจในสถานการณ์ และไม่คิดจะขอให้อีกฝ่ายพาตนเองออกค้นหามารดา
คงจะดีหากอี้ฝานช่วยจัดหาสถานที่ปลอดภัยให้นาง แน่นอนว่าเวลาเช่นนี้ หนทางนี้ดีที่สุดแล้ว
อี้ฝานหยิบแหวนดอกไม้ออกมาสวมไว้ที่นิ้วมือ
สถานที่ทั้งหมดเปลี่ยนไป ทั้งเขาและจั้วซีเอ๋อร์หยุดยืนอยู่บนลานจัตุรัส
เพราะการตายตกของจอมเทพอสูร เวลาของสถานที่แห่งนี้ดูคล้ายจะแปรเปลี่ยน พระอาทิตย์บนท้องฟ้าถูกแทนที่ด้วยดวงดาราเปล่งประกายงดงาม
หญิงสาวที่อยู่ภายในสุสานไม่ได้นั่งร้อยพวงมาลัยดอกไม้ แต่เดินมาหยุดอยู่หน้าน้ำพุอันทรุดโทรมใจกลางลานจัตุรัส ใบหน้านั้นกำลังเงยหน้าขึ้นฟ้า… พิศมองดวงดาราพร่างพราว
ดวงตาของนางถูกผ้าพันเอาไว้ ซึ่งคงไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าที่เปี่ยมไปไปด้วยดวงดาวมากมาย แต่นางก็ยังเงยหน้าขึ้นมอง
อี้ฝานพาจั้วซีเอ๋อร์เดินตรงเข้ามาหานาง
“ท่านนักรบ”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอี้ฝาน หญิงสาวดูแลสุสานก็หันกลับมาถามเขาว่า
“ท่านกลับมาแล้วหรือ? คราวนี้ท่านพาบุคคลอื่นกลับมาด้วยหรือไม่?”
“อืม… เด็กคนนี้นามว่าจั้วซีเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นบุตรของจ้าวแห่งรุ่งอรุณ ซีเอ๋อร์เส้อ”
อี้ฝานผลักจั้วซีเอ๋อร์ไปด้านหน้าเบา ๆ
“จั้วซีเอ๋อร์?”
หญิงสาวดูแลสุสานเหยียดมือออกไปแตะแก้มขององค์หญิงแห่งแสงสว่างอย่างบางเบา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามองไม่เห็น แต่นางคงจะต้องงดงามเช่นเดียวกับมารดาของนางแน่นอน”
เด็กสาวผู้นี้แตะแก้มของจั้วซีเอ๋อร์ ก่อนจะหันมาหาอาวุโสที่น่าเคารพ นางกลั้นหายใจกล่าวถามอย่างระมัดระวัง
“ข้ามีบางสิ่งอยากจะขอร้องท่าน”
“ข้าเป็นสหายเก่าของมารดานาง เป็นเพียงภูตไร้ความสำคัญ”
หญิงสาวดูแลสุสานกล่าวคำอย่างอ่อนโยน
“ท่านช่วยพานางออกจากยมโลกแล้วพามายังสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่?”
อี้ฝานกล่าวตอบ
“ได้”
หญิงสาวดูแลสุสานจึงยื่นมือไปจับมือจั้วซีเอ๋อร์ ก่อนจะเปล่งแสงเจือจางออกจากมือ อี้ฝานสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอากาศ เวลานี้หญิงสาวดูแลสุสานกล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะ ข้าจะให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าครอบครัวและอารักขาของนางจะมาพบ”
จั้วซีเอ๋อร์กล่าวขอบคุณ ในขณะที่หญิงสาวดูแลสุสานส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร มารดาของเจ้ากับข้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมีดวงตางดงามเช่นเดียวกับมารดาของเจ้าแน่นอน”
“เพราะมันเคยเป็นดวงตาของเจ้า”
อี้ฝานกล่าวขัดจังหวะหญิงสาวดูแลสุสาน
“ใช่หรือไม่? อวี่ฝู…”
“…”
ทันใดนั้น หญิงสาวดูแลสุสานเงียบงันอยู่นาน ก่อนที่นางจะกล่าวเสียงสะอื้นแผ่วเบา
“จำได้แล้วงั้นหรือ ท่านนักรบ?”
“ต้องขอบคุณจอมเทพอสูรตนนั้น มันทำให้ข้าจดจำบางอย่างได้”
อี้ฝานกล่าวตอบ
“จั้วซีเอ๋อร์ เจ้ากลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนก่อนเถิด”
หญิงสาวดูแลสุสานชี้ไปยังบ้านหินหลังเล็กด้านข้างก่อนจะกล่าวกับจั้วซีเอ๋อร์
“ข้าทำความสะอาดที่นั่นแล้ว แม้มันจะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แต่ก็ไม่สกปรกแน่นอน”
“ขอบคุณ”
จั้วซีเอ๋อร์สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งระหว่างอี้ฝานและหญิงสาวดูแลสุสาน ทั้งสองคงไม่อยากให้นางรับฟัง เวลานี้นางจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและเดินเข้าไปในบ้านหินด้านข้าง
“ท่านนักรบ”
หญิงสาวดูแลสุสานนั่งอยู่บนกำแพงของน้ำพุทรุดโทรม ก่อนจะตบลงที่ว่างด้านข้างของตน
“เชิญนั่งลงก่อนเถิด”
อี้ฝานนั่งลงข้างกายของนาง หญิงสาวดูแลสุสานเอียงตัวมาซบไหล่เขาอย่างเงียบงัน
“เนิ่นนานแล้วนับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของแสงสว่าง…”
นางเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า
“แม้ว่าข้าจะทราบดีว่ายุคที่พวกเราสร้างนั้นงดงาม แต่สำหรับข้าแล้วมันไม่มีอะไรแตกต่างเลย ตรงกันข้าม ข้ากลับรู้สึกว่ายุคแห่งความมืดกลับทำให้ข้าอบอุ่นยิ่งกว่า”
อี้ฝานสัมผัสเส้นผมสีเงินของนางก่อนจะเหยียดมือปลดผ้าที่ปิดดวงตาของหญิงสาวดูแลสุสานออกอย่างแผ่วเบา
ในระหว่างการถอดผ้าพันศีรษะออก ร่างของหญิงสาวดูแลสุสานคล้ายสั่นสะท้านราวกับหวาดกลัวว่าอี้ฝานจะมองเห็นดวงตาของนาง แต่สุดท้ายนางก็ยินยอมให้เขาถอดออกไป
ภายใต้ผ้าพันศีรษะมีดวงตาที่ปิดสนิท และยังมีคราบโลหิตหลงเหลืออยู่ที่หางตา เวลานี้แววตางดงามไร้ผู้ใดเทียบได้ในโลกหล้าที่ติดอยู่ภายในความทรงจำของอี้ฝานหายไปแล้ว
เขาเหยียดมือสัมผัสแก้มของนางแผ่วเบา เขารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยขณะถามออกมาว่า
“เจ้าคือ… ภรรยาของซีเอ๋อร์เส้อใช่หรือไม่?”
“ท่านทราบแล้วหรือ?”
อวี่ฝู หญิงสาวดูแลสุสานถามกลับพร้อมลูบฝ่ามือตนเองไปมาอย่างประหม่า
“เดาไม่ยาก เพราะเจ้าเคยกล่าวกับจั้วซีเอ๋อร์ว่า ดวงตาของเจ้าคงจะงดงามเช่นเดียวกับมารดา พร่างพราวราวกับดวงดาว และตอนนี้ข้ากำลังมองใบหน้าของเจ้า และข้าทราบแล้วว่าผู้ใดฉกฉวยดวงตาของเจ้าไป”
อี้ฝานกล่าวตอบ
“ข้าจำอะไรไม่ได้ แต่ข้าก็ยังจดจำได้ว่าคราวนั้นที่ข้าพาซีเอ๋อร์เส้อออกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าสู่เผ่าภูต มีภูตคนหนึ่งหลงรักซีเอ๋อร์เส้อ และข้าก็ยินดีด้วย สรุปว่าบุคคลที่ซีเอ๋อร์เส้อรักใคร่กลายเป็นเจ้า มิใช่โค่วเวย… แต่เจ้ากลับไม่ได้ขึ้นเป็นเทพธิดาของเจ้าแห่งรุ่งอรุณหลังจากข้าถูกเซ่นสังเวย เทพธิดาในปัจจุบันก็คือโค่วเวย แล้วทำไมนางจึงเอาดวงตาของเจ้าไป?”
อวี่ฝูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนจะเอนตัวนอนลงบนตักของอี้ฝาน
“เวลานั้นเมื่อข้าได้รับทราบว่าท่านถูกส่งไปยังบัลลังก์เซ่นสังเวยโดยซีเอ๋อร์เส้อและคนอื่น ๆ ข้าจึงเข้าใจทันทีว่าพวกเขาทรยศต่อท่าน ซีเอ๋อร์เส้อคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้ และเมื่อข้าหนีกลับมาสู่เผ่าภูต เขามาขอข้าแต่งงาน… แต่ข้าปฏิเสธ”
นางนึกคิดถึงอดีต
“เวลานั้นนอกจากข้าแล้ว ในบรรดานักรบทั้งเก้า เท่อลี่คืออีกคนที่ไม่คิดทรยศต่อท่าน ตอนนั้นเขาคงจะคาดเดาบางสิ่งได้เช่นกัน หลังจากนั้นเขามาพบข้าและข้าบอกกล่าวความจริงกับเขา เช่นนั้นเราจึงใช้พลังของตนเองในแต่ละเผ่าพันธุ์เพื่อปกป้องกันและกัน และการถอนตัวจากการเป็นเจ้าแห่งภูตโดยสมัครใจของข้านั้นมีราคาต้องจ่าย… ข้าจึงสร้างสุสานนี้ขึ้นมารองรับบัลลังก์เซ่นสังเวย”
“นักรบโลหะทมิฬที่เคยยืนอยู่หน้าประตูนั้นมีหน้าปกป้องท่านและเหล่านักรบที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ จากนั้นเท่อลี่ก็จากไปพร้อมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์บางส่วน ไปยังดินแดนรกร้างห่างไกลเพื่อก่อตั้งอาณาจักรลับของตนเอง และยังรักษาศรัทธาที่มีต่อท่านเอาไว้ แต่ภายหลังเขาถูกซีเอ๋อร์เส้อและคนอื่น ๆ ประณาม ว่าเป็นบุคคลนอกรีต เขาถูกขับไล่จนต้องพลัดถิ่นฐานหลายครั้งหลายคราว…”
อี้ฝานเงียบลง หัวใจเต้นรัวและนึกถึงเทพอสูรไร้มนุษยธรรมในทะเลสาบลาวา
“สำหรับข้าแล้ว หลังจากที่ท่านตายตก ซีเอ๋อร์เส้อยังไม่ยอมรามือในตัวข้า เขาคิดจะขืนใจข้า แต่เพราะพลังเวทของข้าแข็งแกร่งกว่า และพลังของข้ามิใช่อ่อนแอ เช่นนั้นเขาจึงต้องยินยอมรามือ”
อวี่ฝูกล่าวสะอื้นคำเบา
“เช่นเดียวกับที่เขายังคิดถึงเรื่องข้าเสมอ โค่วเวยก็มีเพียงเขาในหัวใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง… โค่วเวยมาพบข้าที่สุสานแห่งนี้อย่างลับ ๆ”