ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 653 เมืองแห่งขุนเขา
บทที่ 653 เมืองแห่งขุนเขา
บทที่ 653 เมืองแห่งขุนเขา
“นางมาพบข้าที่สุสานและบอกกล่าวกับข้าว่าสิ่งที่ซีเอ๋อร์เส้อชื่นชอบมากที่สุดคือดวงตาของข้า หากข้าสามารถมอบมันให้กับนาง นางจะทำให้ซีเอ๋อร์เส้อเลิกยุ่งกับข้า”
อวี่ฝูเม้มริมฝีปากแน่น
“นางนำกองทัพนักรบทั้งหมดของนางมาตั้งรกรากอยู่นอกกำแพงเมืองแห่งสุสานนี้ ทั้งหมดอยู่ภายในเทือกเขาใกล้ ๆ”
“เจ้ามอบดวงตาให้กับนางงั้นหรือ?”
อี้ฝานลูบเปลือกตาของนางแผ่วเบา
อวี่ฝูพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวต่อ
“นับตั้งแต่นั้นมา นางกับซีเอ๋อร์เส้อก็ไม่มารบกวนข้าอีก หลังจากนั้นไม่นาน ข้าได้ยินข่าวการแต่งงานของพวกเขา ความจริงมันก็ดีแล้ว ข้าคิดสละสิ่งที่ไม่ต้องการเพื่อแลกกับความมั่นคงของชีวิต”
“ช่างน่าขันนักแล้ว”
อี้ฝานส่ายศีรษะพร้อมกล่าวต่อ
“ข้าจดจำได้ว่าตอนที่โค่วเวยกล่าวสัตย์สาบาน มันแสดงถึงความเมตตา มิใช่ริษยา”
เขายืนขึ้น อวี่ฝูเงยหน้ามองเขาด้วยความหวังก่อนจะกล่าวแผ่วเบา
“ท่านนักรบ เวลานี้ท่านจดจำทุกสิ่งได้แล้ว เช่นนั้น… ใช้เวลาในคืนนี้กับข้าได้หรือไม่?”
“ข้าต้องขอโทษด้วย… เวลานี้ข้ามีบางสิ่งต้องทำ”
อี้ฝานลูบศีรษะของนาง
“พวกที่ขโมยทุกสิ่งจากเราไปต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันกระทำ ข้าจะชำระล้างทุกสิ่งในโลกใบนี้ให้จบสิ้น”
อวี่ฝูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อี้ฝานจึงกล่าวกับนางทันทีว่า
“อวี่ฝู ไม่ต้องกังวล ข้าสัญญาว่านี่จะไม่ใช่คืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“อืม ข้าเชื่อใจท่าน”
อวี่ฝูพยักหน้าให้อี้ฝานพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านไม่เคยผิดคำสัตย์สาบาน ท่านคือ… นักรบที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว”
ด้วยความช่วยเหลือของอวี่ฝู หลังจากขัดเกลาพลังงานที่ได้รับจากเจ้าแห่งยมโลกและจอมเทพอสูร อี้ฝานจึงกล่าวถามต่อไปว่า
“แล้วฮั่วฉียังอยู่หรือไม่? ข้าอยากพบเจอเขาเพื่อซ่อมแซมบางอย่าง”
“เขาเพิ่งจากไปไม่นานมานี้”
อวี่ฝูกล่าวต่อ
“ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินข่าวร้ายในบ้านเกิดของตน ดังนั้นจึงเร่งรีบเก็บข้าวของและจากไป”
“รีบถึงเพียงนั้น…”
อี้ฝานครุ่นคิด
บ้านเกิดของคนแคระฮั่วฉีอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขารกร้างทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าแห่งเพลิงและโลหะก่อตั้งเมืองบนเทือกเขาและใต้ดิน นั่นคือสถานที่รุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด อี้ฝานจดจำคนแคระตัวน้อยผู้ร่าเริงที่อยู่กับเขาหลังจากเอาชนะจอมอสูรได้ ชายตัวน้อยหัวเราะและดื่มสุุราร่วมกันอย่างสนุกสนาน และเป็นชายร่างเล็กที่ทุบเขาอย่างแรงจากด้านหลังด้วยค้อน… ในความทรงจำสุดท้าย!
เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ปัจจุบันของเจ้าแห่งยมโลก หุบเขาทางทิศตะวันออก การปรากฏตัวของจอมเทพอสูร ก็เดาได้ว่าเจ้าแห่งเพลิงและโลหะ เจ้าแห่งภูต และเจ้าแห่งรุ่งอรุณที่เคยทรยศเขาก่อนหน้านี้คงจะไม่ได้มีชีวิตสงบสุขนัก
แม้อี้ฝานจะเกลียดชังคนแคระเพราะเจ้าแห่งเพลิงและโลหะ แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไปหาฮั่วฉี หากเขาไม่ได้พบเจอกับช่างตีเหล็กในตำนาน คงจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่นอน
“จะไปแล้วงั้นหรือ?”
อวี่ฝูเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวกำชับกับเขาเช่นเคย
“โปรดระวังตัวด้วย”
“อืม ข้าจะไป”
อี้ฝานถอนแหวนบนนิ้วออก จากนั้นฉากโดยรอบจึงสูญสลายไปราวกับหมอก และเขาหยุดยืนอยู่ภายในห้องมืดใต้เทวาลัยของเจ้าแห่งยมโลกอีกครั้ง
จอมเทพอสูรตายตกแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังมีอสูรจำนวนมากที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในยมโลก แม้อสูรเหล่านี้จะอ่อนแอกว่าอี้ฝาน แต่เมื่อพวกมันมีจำนวนที่มากกว่า พลังของพวกมันจึงไม่อาจดูถูกได้ และอี้ฝานจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ในการโรมรันกับพวกมัน เนิ่นนานจนในที่สุดเขาก็มาถึงแม่น้ำในส่วนลึกของยมโลก และได้พบฆ้องขนาดใหญ่ด้านข้างแม่น้ำ
เขาตีฆ้องใหญ่โดยไม่ลังเล ก่อนที่ผิวน้ำจะสว่างขึ้นด้วยลูกแก้วเพลิง ชายชราท่าทางง่อนแง่นปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะเอี้ยวเรือเข้าเทียบท่าอย่างเงียบ ๆ
อี้ฝานก้าวขึ้นเรือพร้อมนั่งไขว่ห้าง
“ไปเทือกเขาทางทิศตะวันตก”
เขากล่าวคำกับชายชรา
“คราวนี้ดูเหมือนว่าจุดมุ่งหมายเจ้าจะชัดเจน…”
ชายชรามองเขาขณะที่ออกแรงพายเรือ
“การสังหารเจ้าแห่งยมโลกหรือจอมเทพอสูรนั้นทำให้เจ้าเกิดใคร่รู้สิ่งอื่นอีกงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่”
อี้ฝานจ้องมองอีกฝ่าย
“อาวุโส เวลานี้สิ่งที่ข้าอยากทราบที่สุดคือ… ท่านเป็นใครกันแน่?”
“ข้าหรือ? ข้าก็เป็นเพียงคนเดินเรือในแม่น้ำสายนี้”
ชายชรากล่าวตอบ
“ไม่แล้ว ในยุคนี้ทั้งเวลาและพื้นที่เขตแดนระหว่างเมืองล้วนแต่ไร้ซึ่งระเบียบ และแม่น้ำสายนี้ก็พังทลาย มันเชื่อมโยงมิติเวลาที่แตกต่าง ในคราวนี้เว้นแต่คนที่มีความสามารถในการจัดการมิติเวลาที่ยอดเยี่ยม ผู้ใครกันจะสามารถทำได้เช่นท่าน? เดินทางข้ามมิติเวลาและพื้นที่ที่พังทลายเหล่านี้โดยง่ายดายเพียงเรือลำเล็กนี้?”
อี้ฝานเอื้อมมือออกไปสัมผัสผิวน้ำมืดมิด เพียงแค่แตะมันอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือของเขาก็ถูกรอยฉีกขาดของมิติแห่งกาลเวลากัดกิน
“ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ท่านเป็นใครกันแน่?”
ชายชราจ้องมองเขาด้วยความสนใจขณะที่มือยังคงพายเรือต่อ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะจดจำได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร นักรบเอ๋ย”
ชายชราส่งเสียงหัวเราะแหบแห้งเหมือนนกฮูกก่อนจะกล่าวต่อ
“ดูเหมือนว่าข้าตัดสินใจถูกแล้วที่ให้เจ้าขึ้นเรือ… แต่อย่างไรข้าคงจะไม่บอกเจ้าว่าข้าคือใคร จงไปกระทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ แล้วเมื่อเจ้ายืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกได้ ข้าจึงจะบอกกล่าวความจริงเหล่านั้นภายหลัง”
เขาจ้วงไม้พายแรงขึ้น
“ถึงเมืองแห่งขุนเขาแล้ว”
อี้ฝานเงยหน้าขึ้น ทันใดแสงสีเลือดพลันปรากฏบนพื้นผิวของแม่น้ำมืดมิดแห่งนี้ ท้องฟ้าที่เคยดำสนิทถูกปกคลุมด้วยเมฆาสีแดงลอยต่ำ ยอดเขาสูงเสียดฟ้าปรากฏสู่สายตา
หลังจากที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ แม่น้ำที่เคยดำสนิทกลายเป็นแม่น้ำสีแดงเล็กน้อย อี้ฝานสัมผัสได้ถึงกลิ่นคละคลุ้งของโลหิตและความเน่าเหม็นภายในสถานที่แห่งนี้ มันทำให้เขาอึดอัดใจและรู้สึกขยะแขยงไม่น้อย
เขาไม่ทราบว่าเวลานี้ตนกำลังคิดไปเองหรือไม่ แต่ชายเกศาขาวรู้สึกว่าเมฆาสีแดงลอยต่ำและม่านหมอกเจือจางนั้นคล้ายกับเส้นเลือดในร่างกายของมนุษย์
“อ่า หากต้องการไปยังสถานที่อื่น ๆ จงตีฆ้องเช่นเคย”
ชายชรายกยิ้มก่อนจะแล่นเรือออกไป
“ลาก่อนนักรบ จงเดินทางต่อไปเถิด”
อี้ฝานไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ แล้วพบเส้นทางเดินขึ้นสู่เทือกเขา เขาจึงเดินตรงไปยังเมืองแห่งขุนเขาที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าใหญ่
ในยุคแห่งความมืด ครั้งหนึ่งเขาเคยมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนแคระและเหล่ายักษ์ที่อาศัยอยู่ใต้ดิน อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นคนแคระและยักษ์ต้องอาศัยอยู่ใต้ดินเนื่องจากการรุกรานของอสูร พวกเขาต้องอาศัยในถ้ำมืดมิด และสายตาก็ยังไม่ได้ดีนัก
ยามนั้นเจ้าแห่งเพลิงและโลหะคือนักรบที่ทรงพลังที่สุดในเมืองใต้พิภพ และต่อมาเขาได้กลายเป็นหนึ่งในนักรบทั้งเก้าที่ร่วมต่อสู้กับจอมเทพอสูร
อย่างไรก็ตาม หลังจากยุคแห่งแสงสว่างปรากฏขึ้น คนแคระและยักษ์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้พบเจอกับภัยคุกคามอีกต่อไป พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากเจ้าแห่งเพลิงและโลหะ เช่นนี้พวกเขาจึงสามารถออกจากถ้ำ และใช้ทักษะฝีมืออันยอดเยี่ยมเพื่อสร้างโลกท่ามกลางขุนเขากว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยป้อมปราการยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
อี้ฝานปีนขึ้นไปบนยอดเขา เดินตามถนนและเห็นป้อมปราการตระหง่านสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว