ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 658 ถนนบุปผา
บทที่ 658 ถนนบุปผา
บทที่ 658 ถนนบุปผา
อี้ฝานเก็บคันธนูและลูกธนูก่อนจะเดินออกจากห้องใต้ดินมายังจัตุรัสวงกลม แต่กลับพบว่าหลายหยาไม่ได้อยู่ที่นี่เสียแล้ว
อวี่ฝูผู้รู้สึกได้ว่าอี้ฝานกำลังมองหาหลายหยาจึงกระซิบบอกเขา
“ยัยเด็กนั่นเห็นว่าจั้วซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยจึงเอ่ยลาข้าและจากไป โดยบอกว่านางมีบางสิ่งต้องทำ”
“อืม เป็นอย่างนี้นี่เอง”
อันที่จริงหลายหยาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับอี้ฝานสักเท่าใด ชายหนุ่มจึงไม่จำเป็นกังวลเรื่องนางมากนัก อีกทั้งนางยังเป็นคนของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ หากจะไปที่ใด จะเป็นหรือตายอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา
หลังจากที่อวี่ฝูช่วยสลายพลังของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะให้ความแข็งแกร่งแทรกซึมเข้าสู่กายเขาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางในเวลาต่อมา
ทันทีที่ถอดแหวนดอกไม้ออก หมอกก็พลันสลายไป ถึงได้พบว่ายามนี้เขายืนอยู่ริมแม่น้ำแล้ว ดูเหมือนว่าอวี่ฝูจะช่วยเหลือเขาเล็กน้อยด้วยการส่งเขามาที่นี่เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
ไม่ไกลจากจุดที่อี้ฝานยืน มีฆ้องเรียกเรือข้ามฟากอยู่ตรงนั้น เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปตีฆ้องอย่างไม่รีรอ
คนพายเรือค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากส่วนลึกของแม่น้ำเช่นเคย เรือน้อยลอยละล่องผ่านผืนน้ำก่อนที่เปลวไฟจะลามมาถึงริมฝั่ง อี้ฝานก้าวขาลงไปในเรือลำน้อย และนั่งลงด้านหน้าของคนพายเรือที่กำลังส่งยิ้มให้เขาพอดี
“จุดหมายต่อไปคืออาณาจักรภูต ใช่หรือไม่?”
“ดูเหมือนเจ้าจะล่วงรู้ถึงแผนการของข้าเป็นอย่างดีนะ”
อี้ฝานเอ่ยพร้อมกับเหลือบมองเขา แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอันใด
“ใช่แล้ว ข้าจะไปอาณาจักรภูต”
“อาณาจักรภูต… เดิมทีที่นั่นก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีสถานที่หนึ่ง”
ครั้นเอ่ยจบ ชายชราก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
“ที่นั่นมีถนนบุปผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีภูตชายหญิงรูปโฉมงดงามให้บริการอยู่ที่นั่น ขอเพียงท่านจ่ายไหว ที่นั่นก็คือสวรรค์บนดินดี ๆ นี่เอง”
“เผ่าภูตมีสถานที่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
อี้ฝานขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
เผ่าภูตในความทรงจำของเขาเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความทะนงตน ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม หากจะเปรียบกับเผ่าพันธุ์อื่น แน่นอนว่าเผ่าภูตนั้นต้องอยู่ในระดับสูง ๆ โดยไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งในยุคแห่งความมืดที่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างก็ยอมศิโรราบต่อจอมเทพอสูร ยอมเคารพนับถือมันเป็นเจ้าแห่งความมืด เซ่นสังเวยให้มันไปตั้งเท่าไหร่เพื่อต่อลมหายใจให้แก่ตน ทว่ามีเพียงเผ่าภูตเท่านั้นที่ยังยึดมั่นที่ต่อต้านมันเสมอมา ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่บนปากเหวมานานหลายปี
เมื่อครั้งที่อี้ฝานได้พบพวกเขา เผ่าภูตทั้งเผ่ายังตอบรับเป็นพวกเดียวกับอี้ฝาน และร่วมกันต่อต้านจอมมารนั่นอย่างไม่ลังเลสักนิด
“มีสิ่งใดน่าประหลาดใจถึงเพียงนั้น”
คนพายเรือเห็นสีหน้าของอี้ฝานก็พลันเอ่ยถามขึ้นมา
“ผ่านมานานจนป่านนี้แล้ว เผ่าภูตในความคิดของเจ้าเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ความเจริญรุ่งเรือง กินดีอยู่ดี รวมถึงได้รับการคุ้มครองจากทวยเทพมาเป็นเวลานาน มันทำให้หลงลืมความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่เคยมี จิตวิญญาณที่มีก็ค่อย ๆ จางหาย เช่นนั้นเพื่อไม่ให้ตนต้องสูญเสียจิตวิญญาณไป พวกเขาจึงทำได้เพียงแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณซึ่งกันและกันด้วยวิธีหยาบโลน ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นบัญชาจากเจ้าแห่งภูตของพวกเขา ผู้ใดเล่าจะกล้าหลีกเลี่ยง”
“นี่เป็นคำสั่งของเว่ยเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”
อี้ฝานถึงกับต้องตกใจอีกครั้ง
“นางน่ะหรือออกคำสั่งเช่นนี้ เมื่อก่อนนางเกลียดพฤติกรรมเช่นนี้เป็นที่สุดไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดนางถึงได้…”
“หลังจากที่เจ้าตายไปได้นาน นางก็ได้คว้าบุรุษรูปงามที่สุดในบรรดาภูตมาเป็นสามี”
รอยยิ้มหยอกเย้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา
“ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่บุรุษผู้นี้แก่ตัวลง นางยังได้คัดเลือกบุรุษรูปงามจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ แล้วรับพวกเขาเข้ามาอยู่ในวังหลัง นำมาเป็นชายบำเรอของตน สิ่งใดคือน้ำแข็งบริสุทธิ์หรือหยกอันสูงส่ง หรือจะมีรสชาติเหมือนกระดูก เกียรติยศหรือจะน่าหลงใหลเท่าราคะ และทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เจ้าทำใจเถอะ ยามนี้ไม่ใช่ยุคสมัยที่เจ้าคุ้นเคยแล้ว”
เสียงหัวเราะประหลาด ๆ ของชายชราดังก้องในแม่น้ำอันมืดมิด ส่วนอี้ฝานนั้นได้แต่นั่งเงียบราวกับเป่าสาก
อี้ฝานคิดว่าเรื่องนี้มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย หากการกบฏของเจ้าแห่งรุ่งอรุณเกิดจากความหึงหวง การทรยศของนักรบแห่งขุนเขาและเจ้าแห่งเพลิงและโลหะเกิดจากความโลภในอำนาจ และเพื่อเผ่าพันธุ์ของตน หรือแม้แต่ตัวเขาเองที่โดนทรยศจากเจ้าแห่งยมโลกผู้ที่ตนไว้ใจมากที่สุด เขายังพอเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายได้ เพราะหากสิ่งใดคือความชอบธรรมนักรบผู้นั้นย่อมผ่อนปรนให้อย่างง่ายดาย ทว่าเจ้าแห่งภูตเว่ยเอ๋อร์นั้นแทบไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องทรยศ
เว่ยเอ๋อร์นั้นเคยเป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดอวี่ฝูที่สุด และทั้งสองล้วนเป็นผู้ใช้คาถาและมือธนูที่เก่งที่สุดในเผ่าภูตด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองเรียกได้ว่าสนิทสนมกันมากเลยทีเดียว
หากไม่มีการก่อกบฏขึ้นเสียก่อน แน่นอนว่าผู้สร้างยุคแห่งแสงสว่างและเจ้าแห่งรุ่งอรุณจะต้องเป็นอี้ฝาน ส่วนอวี่ฝูก็จะกลายเป็นชายาของเขา
ยามนั้นเผ่ามนุษย์และเผ่าภูตจะมีอำนาจสูงสุดในบรรดาเผ่าทั้งหมดในโลกใบนี้ หากจะบอกว่าการทรยศของเว่ยเอ๋อร์นั้นเพื่อจะให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของเผ่าภูต เหตุผลนี้ย่อมฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
เพราะหากนางไม่ทรยศ ชาวภูตยิ่งจะได้ผลประโยชน์มากกว่านี้!
หากนางต้องการอำนาจก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทรยศ เพราะความสัมพันธ์ที่นางกับอวี่ฝูมีต่อกันแน่นแฟ้นขนาดนั้น เมื่ออี้ฝานได้ขึ้นเป็นใหญ่แล้ว สถานะของเว่ยเอ๋อร์ก็คงไม่ต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่
ยิ่งได้ฟังชายชราเล่าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากเว่ยเอ๋อร์ขึ้นปกครองเผ่าภูต มันยิ่งทำให้อี้ฝานรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เท่าที่เขารู้ก็คือหญิงสาวผู้นั้นจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์บุรุษเพศยิ่งนัก อย่าว่าแต่บุรุษคนอื่น ๆ เลย แม้แต่อี้ฝานเองที่เผลอไปสัมผัสโดนร่างกายนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ นางยังรีบไปชำระล้างมันด้วยน้ำสะอาดครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงขั้นนั้นแล้วเรียกว่ารังเกียจคงไม่เหมาะ ควรจะเรียกว่าโรคหวาดกลัวสิ่งสกปรกถึงจะถูก
ทว่านางกลับเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อก้าวเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่าง นางไม่เพียงรับบุรุษรูปงามมาเป็นสามี แต่ยังรับบุรุษมากมายเข้ามาเป็นชายบำเรออีกต่างหาก อี้ฝานคิดว่าเว่ยเอ๋อร์จะต้องถูกบางสิ่งครอบงำ ยิ่งต่อต้านมันโดยปกติ จิตใจยิ่งถูกแทรกซึมเข้าไป ทำให้นางเริ่มเสียสติปัญญาเหมือนคนอื่น ๆ เพียงแต่มันอาจจะครอบงำเว่ยเอ๋อร์ได้ไม่มากเท่าคนทั่วไป
อี้ฝานหลงอยู่ในห้วงแห่งความคิดเงียบ ๆ คนพายเรือก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด บัดนี้ทิวทัศน์รอบกายค่อย ๆ เปลี่ยนไป ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังมีความมืดปกคลุมอยู่ ผืนป่าหนาทึบมีแสงไฟดวงน้อย ๆ คอยส่องแสงสว่างยามค่ำคืนเริ่มปรากฏแก่สายตา อี้ฝานพลันได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยภาษามนุษย์ดังแว่วมาจากทางข้างหน้า
“เอาล่ะ ถึงดินแดนแห่งภูตแล้ว”
ชายชราพายเรือน้อยเข้าเทียบริมฝั่ง ก่อนจะเอ่ยเย้าแหย่อี้ฝาน
“โอ้ ยามนี้ถนนบุปผายังครึกครื้นอยู่นี่นา ท่านนักรบ หากท่านยินดีที่จะเสียตำลึงให้บรรดาภูตตัวน้อย ๆ ที่นี่สักหน่อย ข้าว่าเจ้าอาจจะได้ผ่อนคลายไปกับความสะดวกสบายจากที่นี่สักเล็กน้อยก่อนที่วันโลกาวินาศจะมาถึง”
“เจ้าเงียบปากไปเลย”
อี้ฝานเอ่ยทิ้งท้ายไว้อย่างเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นและก้าวออกจากเรือในทันใด
คนพายเรือไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขา เพียงพายเรือออกจากฝั่งไปเงียบ ๆ
หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเว่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ จะเกี่ยวข้องกับชายคนนี้?
อี้ฝานยืนมองคนพายเรือในแม่น้ำอันมืดมิดพลางคิดในใจ
แต่ตอนนี้ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่าเป็นเช่นนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็รีบสาวเท้าเข้าไปยังดินแดนแห่งภูต
แม้จะเป็นเวลายามค่ำคืนเช่นนี้ ถนนบุปผาในดินแดนแห่งภูตกลับยังคงดำเนินไปตามปกติ สิ่งที่อี้ฝานทำได้ในตอนนี้มีเพียงการเดินทางไปถามเจ้าแห่งภูตอย่างเว่ยเอ๋อร์ด้วยตนเอง เขาได้แต่หวังว่านางจะยังพอมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่บ้าง