ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 659 เทวาลัยแห่งทวยเทพ
บทที่ 659 เทวาลัยแห่งทวยเทพ
บทที่ 659 เทวาลัยแห่งทวยเทพ
อี้ฝานเดินไปตามถนนลึกเข้าไปในป่า จุดหมายปลายทางของเขาคือดินแดนแห่งภูต
วันเวลาผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ที่นี่เปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ยุคแห่งแสงสว่าง ชาวภูตได้รับความช่วยเหลือจากพวกมนุษย์ พวกเขาขยายดินแดนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งยังสร้างถนนที่แสนกว้างขวางและคับคั่งไปด้วยผู้คนที่เดินทางไปมาค้าขายในป่าทึบ
โชคดีที่การคลาดเคลื่อนของห้วงเวลาทำให้เกิดการแยกตัวของพื้นดินเป็นวงกว้าง จนเกิดเป็นแม่น้ำที่ทำให้คนพายเรือสามารถมาส่งเขายังบริเวณที่ไม่ไกลจากอาณาจักรภูตได้ ไม่อย่างนั้น อี้ฝานคงต้องเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ชายแดน หากเป็นเช่นนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาเจ้าแห่งภูตจากที่ใด
ลึกเข้าไปในป่าทึบนั้นเต็มไปด้วยนักรบ นักเวท และนักธนูของเผ่าภูต อีกทั้งยังมีเหล่าอสูรที่ไม่รู้ที่มา ซึ่งชาวภูตทั้งหลายก็ยังเลี้ยงพวกมันเอาไว้ มีทั้งเสือดำและฝูงหมาป่า หรือแม้แต่อสูรที่ถูกพลังจากผลึกหินบางชนิดเข้าครอบงำร่างกายจนกลายเป็นอสูรที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันทั้งกาย
ส่วนนักรบนั้นอาจเพราะผ่านการสู้รบที่ดุเดือดเกินไป จนทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพสูญเสียการควบคุม ครั้นพวกเขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่น จากนั้นก็จะโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
นอกจากนี้ ชาวป่าเหล่านี้ยังรู้จักใช้กับดักอันตรายมากมายที่สร้างจากพืชพันธุ์ในป่าทึบ เช่น หลุมใต้ดิน กับดักลูกธนู และท่อนซุง ทว่าอี้ฝานนั้นมีประสบการณ์มากมายจากการเดินทางในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอันตราย แม้กับดักเหล่านั้นจะแนบเนียนเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ หลังจากผ่านการสู้รบปรบมือกับสารพัดสิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้า ในที่สุดเขาก็มาถึงอาณาจักรภูตในป่าทึบแสนลึกลับนี้ได้สำเร็จ
ด้านนอกสุดของเมืองคือถนนบุปผาอันเลื่องชื่อลือชายิ่งนัก ทันทีที่อี้ฝานผู้สวมชุดเกราะสีดำถือดาบใหญ่ไว้ในมือและแบกโล่ใหญ่ไว้ด้านหลังก้าวเข้ามาที่นี่ เขาก็รู้สึกได้ทันที่ว่าตนนั้นแตกต่างจากผู้คนในเมืองนี้อย่างสิ้นเชิง
นักรบแห่งเผ่าภูตที่มาพร้อมกับสุนัขล่าเนื้อเดินตรวจตราไปมาตามถนนบุปผา ทว่าพวกเขากลับเมินเฉยต่ออี้ฝานราวกับมองไม่เห็นว่าเขาแปลกแยกไปจากคนอื่น ๆ สองฝั่งของท้องถนนเต็มไปด้วยภูตสาวน้อยใหญ่ที่กำลังเชิญชวนผู้คนที่ผ่านไปมาให้มาเป็นแขกของตน
อี้ฝานเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ภูตสาวหลายคนเห็นเขาก็ปรี่เข้ามารุมล้อม และเมินเฉยต่อใบหน้าและอาวุธเปื้อนเลือดของบเขาอีกด้วย พวกนางทั้งหลายบ้างก็สัมผัสใบหน้าชายหนุ่มเบา ๆ พลางส่งเสียงหัวเราะ ‘ฮุฮุ’ ยั่วยวนใจ บ้างก็พยายามดึงแขนเขาให้เข้าไปข้างในหอคณิกาของตน
“ขออภัย ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำเรื่องอย่างว่า…”
อี้ฝานค่อย ๆ ผละออกจากมือของพวกนาง ทว่าภูตสาวทั้งหลายก็ยังคงเกาะแกะเขาไม่เลิกราวกับพวกนางไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ยเลยสักนิด
อี้ฝานจึงมองสำรวจอย่างระมัดระวัง ถึงได้สังเกตเห็นจากแววตาว่าพวกนางทั้งหมดล้วนสูญเสียสติปัญญาไปหมดสิ้นแล้ว อี้ฝานคิดว่าพวกนางจะต้องสูญเสียสติปัญญาไปตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดวันโลกาวินาศ เป็นเหตุให้คนเหล่านี้ได้แต่ดำเนินตามวิถีชีวิตและกิจวัตรที่เคยทำก่อนหน้านี้อย่างไร้สติ
คิดได้เช่นนั้น อี้ฝานก็รีบผลักพวกนางออกไป พร้อมเร่งฝีเท้ามุ่งไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังอีก
“กรี๊ดดด…”
เสียงกรีดร้องเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาลดังตามหลังมาติด ๆ อี้ฝานรีบหันไปมองทันใด ก่อนจะพบว่าสาวน้อยทั้งหลายที่เขาผลักพวกนางออกไปนั้นล้มกองอยู่บนพื้น พวกนางต่างก็เริ่มบิดศีรษะไปมาพร้อมจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
นอกจากพวกนางแล้ว บรรดาภูตหนุ่มที่กำลังเชื้อเชิญแขกต่างก็หันหน้ามาจ้องมองอี้ฝานเหมือนต้องการกินเลือดกินเนื้อเขาราวกับสัตว์เดรัจฉาน
ร่างกายของพวกเขาเริ่มบิดเบี้ยวจนดูเหมือนอสูร ทันใดนั้นศีรษะของพวกเขาก็หักออกทีละคนสองคน แขนขาทั้งสี่เหยียบลงบนพื้นกลายเป็นสัตว์สี่เท้า ส่วนที่หัวหลุดออกไปแล้วก็แยกออกสองส่วนกลายเป็นปากน่าเกลียดน่ากลัวเผยลิ้นสีแดงยาวโผล่ออกมาจากปากพร้อมกับน้ำลายที่ไหลยืดออกมาเป็นสาย
เพียงพริบตาเดียว ถนนบุปผาที่สวยงามก็กลายเป็นที่ชุมนุมของเหล่าอสูรที่กำลังล้อมอี้ฝานไว้ทั้งสี่ทิศ อี้ฝานรู้ดีว่าพวกมันทั้งหมดล้วนแต่สูญเสียสติปัญญาไปจนหมดสิ้น และกลายเป็นเพียงอสูรที่ถูกพลังงานบางอย่างเข้าครอบงำ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังสัมผัสได้คือสัญชาตญาณของพวกมันที่ปรารถนาในจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ในตัวอี้ฝาน
“กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
อี้ฝานขมวดคิ้วแน่น พลางมองไปรอบ ๆ กาย และดึงดาบใหญ่มาไว้ในมือ
“ภูตที่ข้ารู้จักไม่มีทางแปลงร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้!”
ในที่สุด อสูรที่น่ากลัวเหล่านี้ก็ถูกอี้ฝานสังหารอย่างช่วยไม่ได้
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่วันยังค่ำ แม้ไม่ใช้พลังของเทพเจ้าอื่นที่แทรกอยู่ในกาย และอาศัยเพียงดาบเล่มใหญ่ในมือก็สามารถสังหารอสูรบนถนนบุปผานี้ได้
ทว่าหลังจากที่อสูรบนถนนบุปผาโจมตีเขา สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในอาณาจักรภูตก็เริ่มโจมตีเขาเช่นกัน บางทีนี่อาจจะเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
เหมือนว่าชาวเมืองนี้จะกลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งสติปัญญาเสียแล้ว เพราะนอกจากบรรดาหนุ่มสาวชาวภูตบนถนนบุปผาแล้ว บรรดานักรบที่เดินตรวจตราและเฝ้ายามต่างก็กลายเป็นอสูรทันทีที่เผชิญหน้ากับอี้ฝาน เพียงแต่พวกหลังนั้นน่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่าพวกแรกหลายเท่า พวกมันเอาแต่โจมตีอี้ฝานราวกับว่าจะต้องบดขยี้มนุษย์แปลกหน้าผู้นี้ให้แหลก
ส่วนอี้ฝานนั้นยังคงมุ่งมั่นใช้กำลังของตนบอกกล่าวให้อสูรเหล่านี้ได้รู้ ว่าเขาไม่ใช่อาหารที่กลืนและย่อยได้ง่าย ๆ อย่างในอดีต!
ชายเกศาขาวรีบวิ่งตรงมายังวิหารแห่งเทพของเผ่าภูต ตลอดทางที่เขาผ่านซากอสูรภูตก็กองเป็นภูเขาเกลื่อนกลาดเต็มถนน เลือดแดงฉานไหลรินเป็นสายน้ำ
ในที่สุดอี้ฝานก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าวิหารแห่งเจ้าแห่งภูต เว่ยเอ๋อร์ ผู้เป็นน้องสาวของอวี่ฝูกำลังพำนักอยู่ที่นี่ ทว่าบรรยากาศเบื้องหน้าดูแย่ยิ่งกว่าบนถนนบุปผาเสียอีก
อี้ฝานเดินหน้าเครียดเข้าไปทั้งที่ยังถือดาบใหญ่ไว้ในมือ ทันทีที่เขาเตะประตูให้เปิดออก ภาพที่ไม่น่าดูก็ปรากฏแก่สายตา
ภายในวิหารเต็มไปด้วยม่านผ้าโปร่งสีชมพูอ่อนแขวนกั้นเป็นห้อง ๆ พื้นปูพรมกำมะหยี่สีขาวดูอบอุ่น สะดวกสบาย อยากจะนอนลงตรงที่ใดก็ย่อมได้ หากมองเข้าไปด้านในผ้าโปร่งทั้งหลายก็จะเห็นหนุ่มหล่อสาวสวยจากเผ่าภูตมากมายต่างตกอยู่ในห้วงแห่งไฟราคะ
นี่ไม่ใช่เผ่าภูตผู้สูงศักดิ์ในความทรงจำของอี้ฝานอีกต่อไป อี้ฝานไม่คิดเลยว่าเจ้าแห่งภูตผู้นี้จะปกครองพวกเขาให้ตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
ถ้าอวี่ฝูได้เห็นภาพเหล่านี้ ไม่รู้ว่านางจะเศร้าใจเพียงใด
อี้ฝานก้าวเข้าไปข้างใน ถีบหนุ่มสาวที่ขวางทางออกไป ในที่สุดก็มาถึงห้องบัลลังก์ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในวิหาร
ทันทีที่เขาผลักประตูบานใหญ่ออกก็เห็นอดีตน้องสาวนั่งอยู่บนบัลลังก์เจ้าแห่งภูต เสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิง รอบกายห้อมล้อมด้วยกลุ่มภูตหนุ่มรูปงามกำลังกอดจูบกันอย่างแนบชิดสนิทสนม อี้ฝานสุดจะทนกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ทันใดนั้นเอง!
“ข้าขอปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ภักดีตลอดไป”
ทันทีที่อี้ฝานเห็นนาง คำสาบานที่เคยได้ยินเมื่อครั้งก่อนก็ดังหลอกหลอนอยู่ในหูอีกครั้ง จนเขาต้องชกประตูวิหารบานใหญ่เพื่อระบายความโกรธ
เสียงดังสนั่นทำให้หนุ่มสาวที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้วงเสน่หาตื่นตกใจ ภูตหนุ่มรูปงามต่างก็ลุกขึ้นส่งเสียงหวีดร้องพร้อมจ้องมองอี้ฝาน ทว่าพวกเขากลับต้องตื่นกลัวยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้สบตาเข้ากับนักรบเส้นผมสีขาว
ทางด้านเจ้าแห่งภูตอย่างเว่ยเอ๋อร์ก็ใช้มือจับเสื้อผ้าตรงหน้าอกไว้ พร้อมลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วจ้องมองอี้ฝานด้วยสายตาประหลาดใจ
“นี่ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่?”
นางพึมพำกับตนเอง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังมีสติอยู่นะ เว่ยเอ๋อร์”
อี้ฝานเงยหน้ามองนางอย่างเฉยชา
“ลงมา ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”