ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 66 เข้าสู่ขั้นสร้างลมปราณธาตุ
บทที่ 66 เข้าสู่ขั้นสร้างลมปราณธาตุ
คําพูดของซูเซียงเสวี่ยฟังดูประชดประชัน แต่แท้จริงแล้วกลับสมเหตุสมผลมาก
จากภาพที่บันทึกไว้ เมืองโบราณแห่งนี้กับสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นไม่ใช่สิ่งที่รับมือได้ยากนัก ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารเป็นสององค์กรใหญ่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แม้ภายในจะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวมากมาย แต่เมื่อสิ่งนี้ปรากฏขึ้น การยืนหยัดเพื่อปกป้องเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินก็เป็นความรับผิดชอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้
หลังจากซูเซียงเสวี่ยพูดจบ สิ่งแรกที่นางตอบได้คือสหายร่วมเดินทางสองคนจากสำนักผู้ฝึกตนฝ่ายมารอย่างหวงฝู่เฟิงและเยว่เชียนเหลียนที่กลายไปเป็นเพื่อนรักกันน่าจะไปเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจนัก
“คําพูดของเจ้าสํานักซูมีเหตุผล ท่านผู้อาวุโสภูต ท่านว่าอย่างไร?”
ตัวแทนจากสำนักวิญญาณหยินที่เขาเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสภูต’ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไม่มีความเห็น”
“ข้าสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าสำนักซู”
ไป๋ชิวหรานในฐานะตัวแทนของสำนักกระบี่ชิงหมิงกล่าวตอบ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ พร้อมถาม
“พวกเจ้าทั้งสามเล่า… ว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่มีความเห็นอื่นใด”
ผู้อาวุโสฉีจากสํานักเสวียนฝ่ากล่าวทันที
“มิสู้จะบอกว่าสามารถศึกษาสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นนี้ได้ ศิษย์สํานักเสวียนฝ่าของเราล้วนปีติยินดีกันทั้งนั้น”
“ข้าไม่มีความเห็นเหมือนกัน”
ผู้บัญชาการจางรุ่ยเฟยแห่งกองทัพเทพยุทธ์ตอบ
“ภารกิจของกองทัพเทพยุทธ์คือการปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน”
สุดท้ายหลี่เผิงเฟยมองซ้ายมองขวาแล้วถอนหายใจ
“เรื่องนั้นช่างเถิด เรื่องดี ๆ พวกเจ้าก็พูดไปหมดแล้ว นี่ยังต้องพูดสิ่งใดอีก… หากสำนักหอหยกแห่งเซียนตูไม่ยินยอม ข้าคงไม่มาที่นี่”
“เช่นนั้นแสดงว่าทุกคนเห็นด้วย เริ่มจัดการเรื่องนี้เลย”
ไป๋ชิวหรานเสนอ
“เสี่ยวเยว่ นอกจากหินเงาแล้ว ท่านผู้อาวุโสหลิวยังมีข้อมูลอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มี”
เยว่เชียนเหลียนส่ายหัว
“ผู้อาวุโสหลิวหมดสติไปตั้งแต่กลับมา ในความเป็นจริงเขาล้มพับตั้งแต่อยู่ด้านนอกภูเขาหลายสิบจั้งแล้ว ศิษย์ในสำนักจึงกลับมานำเขาตัวกลับไป”
“เช่นนั้นก็ทําอะไรไม่ได้แล้ว”
ไป๋ชิวหรานก้มหน้าลง
“ตอนนี้แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองโบราณนั่นเลย กลไกการทำงานเป็นอย่างไร ปรากฏตัวและหายไปได้อย่างไร เปลี่ยนคนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด… ที่กล่าวมานี้เราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม”
ซูเซียงเสวี่ย ผู้อาวุโสภูต และหวงฝู่เฟิงมองหน้ากัน จากนั้นซูเซียงเสวี่ยก็พูดขึ้น
“ระหว่างทางมา พวกเราได้แยกย้ายกันออกจากสำนัก ใช้สายข่าวกรองค้นหาข้อมูลให้มากที่สุด ตราบใดที่เมืองโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง จะต้องทราบได้อย่างเร็วแน่”
“พวกเราระดมสายข่าวกรองของสํานักแล้ว”
ผู้อาวุโสหลี่จากหอหยกแห่งเซียนตูและจางรุ่ยเฟยจากกองทัพเทพยุทธ์เอ่ยตอบเช่นกัน
ท่ามกลางสํานักทั้งมวลในดินแดนผู้ฝึกตน สำนักและเครือข่ายข่าวกรองของสํานักเหอฮวนเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกใบนี้ เพราะหน่วยข่าวที่แม่นยำที่สุดในโลกนี้คือพ่อค้า และบรรดาพ่อค้าที่ฉลาดที่สุด มักตกเป็นเป้าหมายไม่ก็กลายเป็นคนของสํานักเหอฮวนอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเพียงศิษย์สํานักเหอฮวนที่มากไปด้วยเสน่ห์ ดื่มสุราไปหนึ่งหรือสองจอก อีกฝ่ายก็ยอมพูดออกมาแล้ว…
“ด้วยเครือข่ายข่าวกรองของพวกเจ้า คงไม่มีปัญหาอะไร”
ไป๋ชิวหรานมองไปที่ซูเซียงเสวี่ย
“จําไว้ว่าอย่าให้ใครล่วงรู้ จงบันทึกสถานที่ที่ปรากฏตัวไว้… ระวังเล่า มันอาจมีอะไรอันตรายรออยู่”
“ข้าเข้าใจ”
ซูเซียงเสวี่ยตอบอย่างเข้าใจ
ในเวลานี้ตัวแทนจากห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารต่างจ้องมองกันด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง แต่เมื่อไป๋ชิวหรานหันมาสนใจซูเซียงเสวี่ย คนที่เหลือในห้องต่างแสดงท่าทางที่เป็นธรรมชาติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ต่อไปนี้คือสิ่งที่ข้าและหวงฝู่เฟิงนํากลับมา ผู้อาวุโสฉี สิ่งที่ข้าให้ไป เจ้าได้อะไรจากมันมาบ้างหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานหันหน้ามองผู้อาวุโสฉีแห่งสํานักเสวียนฝ่าแล้วเอ่ยถาม
“เมื่อได้รับของจากท่าน ท่านเจ้าสำนักก็นํากลุ่มกลุ่มผู้อาวุโสมาศึกษา ทว่าพลังนั้นเรายังไม่สามารถวิเคราะห์ได้”
ผู้อาวุโสฉีส่ายหัว
“แต่หลังจากตรวจสอบค่ายกลนั่นแล้ว เจ้าสำนักได้จําลองข่ายมนตร์ด้วยพลังปราณจนสําเร็จ ทำให้ค้นพบบางสิ่ง… มันน่าพิศวงมาก ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะรวมกฎเกณฑ์สองข้อที่แตกต่างเข้าด้วยกัน”
“ข้าจะส่งต่อให้กับหลิงอวิ๋น เพื่อขอให้นางส่งมอบกับสำนักเหอฮวน สํานักวิญญาณหยิน และให้แก่คนอื่น ๆ ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ให้ศึกษามัน”
เมื่อหวงฝู่เฟิงเห็นผู้อาวุโสฉีพูดจบ เขาจึงพูดขึ้น
“บังเอิญมาก ข้ายังไม่มีความคืบหน้าในการวิจัยค่ายกลเลย แต่ภายใต้การชี้แนะของศิษย์แห่งสำนักอสูรสวรรค์ พวกเราจึงสามารถค้นพบพลังงานที่คล้ายกับพลังนั้นได้สําเร็จ”
“แล้วพลังที่ว่าคืออะไรหรือ?”
ผู้อาวุโสฉีถามด้วยความสงสัย คนอื่น ๆ หันมองไปที่หวงฝู่เฟิง
“หากศิษย์ของเราคาดเดาไม่ผิด นั่นเป็นวิถีเซียนที่เขาได้รับหลังจากฝึกมาจนบรรลุเซียน… ซึ่งคล้ายกับตอนที่พวกเจ้าทะยานขึ้นสู่เซียนสำเร็จ” หวงฝู่เฟิงพูดขึ้น
“ถึงแม้ลักษณะโดยรวมดูจะแตกต่างออกไป แต่ธรรมชาติพื้นฐานก็เหมือนกัน… ดังนั้นทุกท่าน บนแผ่นศิลาที่ข้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงพบก่อนหน้านี้ และสิ่งที่เรียกว่า ‘เซียนปฐพี’ อาจจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือโอ้อวด”
“นั่นอาจจะเป็นเซียนปฐพีจริง…. เป็นพลังระดับเซียนที่พบได้ ณ โลกเบื้องล่างแห่งนี้งั้นหรือ?!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ไม่เพียงเยว่เชียนเหลียนเท่านั้น แต่สีหน้าของทุกคนในที่นี้ล้วนหมองคล้ำลง
แม้ว่าห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะร่วมมือกัน แต่เมื่อมีเทพเซียนเข้ามาเกี่ยวข้อง… ใครจะรู้ว่าเซียนปฐพีในเมืองโบราณนั่น แท้จริงแล้วมีพลังมากเพียงใด?!
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ศัตรูที่แข็งแกร่ง ทว่าเป็นศัตรูที่ไม่รู้จักต่างหากที่น่ากลัว
“เอาเถิด อย่าคิดมากไป”
ในเวลานี้ ไป๋ชิวหรานผู้ซึ่งจิตใจแข็งแกร่งที่สุดเป็นกําลังใจให้ทุกคน ปรบมือพร้อมกล่าว
“ในเมื่อเมืองโบราณไม่ได้จัดกองทัพออกมาฆ่า นั่นหมายความว่า ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกเรา กล่าวอีกอย่างคือ ยังไม่มั่นใจว่าจะกำจัดได้หรือไม่น่ะสิ มิฉะนั้นคงจะบดขยี้พวกเขาโดยตรงแล้วขึ้นปกครองเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินตามที่ใจต้องการ… แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ?”
“สิ่งที่บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงพูดมีเหตุผล”
จางรุ่ยเฟยแห่งกองทัพเทพยุทธ์กล่าวเสียงเข้ม
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเขามีพลังกดดัน เราจะยอมจำนนหรือ? อย่างน้อยก็ต้องต้านจนจบ ไม่เช่นนั้นถ้าพูดออกไปคงน่าขันอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“เฮ้อ แต่จะว่าไป… จะสบประมาทศัตรูไม่ได้นะ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเสริม
“พวกเขามาจากยุคสมัยหรือดินแดนที่เราไม่รู้จัก มีความสามารถอะไร ควบคุมวิชาเทพเซียนหรือค่ายกลอะไรบ้าง… ดังนั้นจึงขอแนะนําว่า ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน การต่อสู้ที่มั่นคงต้องเป็นไปตามขั้นตอน ให้เครือข่ายข่าวกรองกระจายออกไปก่อน หากพบอะไรจะรีบจัดทีมสืบเสาะทันที… ถ้าหากไม่สามารถกลับมาได้ อย่างน้อยต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาส่งข้อความกลับมาได้มากพอ… เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวส่วนที่เหลือได้ ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?”