ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 660 ภูตที่เปื้อนมลทิน
บทที่ 660 ภูตที่เปื้อนมลทิน
บทที่ 660 ภูตที่เปื้อนมลทิน
ทั้งสองสบตาจ้องกันอย่างเงียบงันพักหนึ่ง
ไม่นานนัก เว่ยเอ๋อร์ เจ้าแห่งภูตก็ยกยิ้มเย้ายวนขึ้นบนใบหน้า
“พี่เขย คาดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตนี้ข้าจะได้พบกับท่านอีกครั้ง หรือว่าวันโลกาวินาศเป็นสิ่งที่ปลุกท่านให้ตื่นขึ้นมาจากการนิทรากันนะ?”
นางลุกขึ้นอย่างสง่างาม เดินตรงไปหาอี้ฝานอย่างแช่มช้า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้”
อี้ฝานมองไปที่นาง พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“เจ้าเพียงแต่ต้องตอบคำถามข้ามาว่า ทำไมเจ้าถึงได้นำพาเผ่าภูตตกต่ำลงมาถึงจุดนี้?”
เว่ยเอ๋อร์ชะงัก ใบหน้างดงามเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ข้านึกว่าท่านจะถามว่า… ‘ทำไมข้าถึงหักหลังท่าน?’ เป็นคำถามแรกเสียอีก”
นางกล่าวต่อไปว่า
“คาดไม่ถึงว่าท่านจะสนใจความเป็นอยู่ของเผ่าข้าก่อน”
“เหตุผลของการทรยศ สำหรับข้าในตอนนี้ล้วนไม่สำคัญ ยุคสมัยได้ผ่านพ้นไปแล้ว สืบสาวราวเรื่องไปก็ไร้ค่า”
อี้ฝานพูดต่อไปว่า
“ถึงแม้เจ้าจะมีเหตุผลนับพันประการ ทว่าความจริงที่เจ้าทรยศและยิงธนูใส่หลังข้าย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เช่นเดียวกันกับความตั้งใจที่จะแก้แค้นของข้าจะไม่สั่นคลอนด้วยเหตุผลของเจ้า”
“ตอบกลับมาได้สมกับเป็นท่านจริง ๆ”
เว่ยเอ๋อร์เดินมาถึงตัวอี้ฝาน จากนั้นจึงยื่นมือออกมาลูบลงบนหน้าอกเขาอย่างแผ่วเบา
“แน่นอนว่ายุคสมัยนั้นได้ผ่านไปนานมากแล้ว ทว่าข้ายังจดจำเรื่องราวของท่านได้อย่างชัดเจน ประหนึ่งว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”
นางเปิดริมฝีปากออกพ่นลมออกมาเบา ๆ
“พี่เขย อย่างไรเสียวันโลกาวินาศก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทำไมท่านไม่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงของข้าเล่า พวกเราสามารถมีความสุขต่อไปได้ในสรวงสวรรค์แห่งนี้ท่ามกลางวันสิ้นโลก ท่านสามารถเรียกพี่สาวให้มาเข้าร่วมได้ด้วยนะ อีกทั้ง… ข้ายังได้พบของเล่นชิ้นใหม่”
ทันทีที่นางดีดนิ้ว บนเพดานพลันปรากฏร่างที่ถูกเถาวัลย์สีเขียวมรกตจำนวนนับไม่ถ้วนพันเอาไว้ ร่างนั้นร่วงลงมาต่อหน้าอี้ฝาน
เถาวัลย์บางส่วนขยับเคลื่อนออกไป เผยให้เห็นผู้ที่อยู่ภายในซึ่งเป็นสตรีเผ่าภูตที่ทรงเสน่ห์ผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางงดงามทว่าให้บรรยากาศน่าเกรงขาม ราวกับนักรบหญิงผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อี้ฝานไม่เคยเห็นหน้าคนผู้นี้ แต่เขาเคยเห็นเสื้อผ้าที่นางสวมใส่
“นักบุญข้ารับใช้ทวยเทพ?”
อี้ฝานรู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าคือหลายหยา?”
ภูตหญิงที่ถูกห้อยไว้กลางอากาศยังคงหมดสติ และไม่ตอบคำถามของเขา
“นางจะใช่สตรีที่เจ้ารู้จักหรือไม่ นับเป็นเรื่องสำคัญหรือ?”
เว่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักก่อนกล่าวว่า
“สำคัญที่นางเป็นนักบุญข้ารับใช้คนสนิทของไอ้สารเลวซีเอ๋อร์เส่อนั้น แถมยังเป็นหญิงงามอีกด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่ พี่เขย?”
นางค่อย ๆ ยื่นแขนออกไปโอบรอบคอของอี้ฝานอย่างแผ่วเบา ก่อนกระซิบลงที่ใบหูเขา
“ขอเพียงแค่ท่านตอบรับคำว่าจะอยู่ที่นี่กับข้าก็พอ หลังจากผ่านผู้ชายมามากมายแล้ว ข้าถึงคิดได้ว่าผู้ชายที่ข้าต้องการมากที่สุดก็คือท่าน… พี่เขย”
อี้ฝานผลักนางออกทันที!
“ดูเหมือนว่าสติของเจ้าจะพร่าเลือนไปแล้ว!”
นักรบผมสีขาวประกายเงินกล่าวกับนาง
“ถ้าหากเจ้าจำได้จริง ๆ ว่าข้าเคยเป็นคนเช่นไร เจ้าคงไม่มีวันถามคำถามข้าแบบนี้! ก่อนที่ข้าจะบรรลุเป้าหมาย ข้าจะไม่มีทางหวั่นไหวต่อสิ่งใด ทั้งยังจะไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”
เขาชักกระบี่ใหญ่ออกมาชี้ไปทางเจ้าแห่งภูตที่ล้มลงบนพื้น ก่อนกล่าวออกมาด้วยความเฉยเมย
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า จงไปสวมเสื้อผ้าใส่เกราะเสีย หยิบอาวุธของเจ้าออกมาพยายามฆ่าข้า หนทางเดียวที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าคือการสังหารข้าเท่านั้น”
“ฮิ ๆ”
เว่ยเอ๋อร์ที่ยังล้มอยู่บนพื้นหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ในยามนี้ท่านยังจะมีเป้าหมายอะไรอีก? ท่านกำลังมองหาสิ่งใดกัน? ตื่นเถอะ ผู้ช่วงชิงแสงสว่าง โลกใบนี้กำลังพังทลายลง ไฉนเลยจะเหลือแสงใดให้ท่านแย่งชิงได้อีก? ไยต้องดิ้นรนออกไปตาย ทำไมไม่พาพี่สาวมาหาข้า แล้วเพลิดเพลินไปกับสรวงสวรรค์ด้วยกัน ไม่ดีหรือ?”
“ไม่ล่ะ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับโลกที่ล่มสลาย หากข้าเฝ้ารอความตายโดยไม่ทำสิ่งใดเลย เกรงว่ายามนั้นข้าคงไม่อาจตายตาหลับ”
อี้ฝานตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
“นอกจากนี้ แค่ปล่อยเจ้าไปข้ายังไม่อาจทำได้ ยิ่งไม่มีทางพาพี่สาวเจ้ามายังสถานที่แห่งนี้”
“เช่นนั้นหรือ? ไม่มีทางก็ไม่มีทาง…”
เสียงของเจ้าแห่งภูตอึมครึมลงในทันใด
“พี่เขย ข้าต้องการพลังอันยิ่งใหญ่ของท่าน เพื่อให้สรวงสวรรค์ของข้าคงอยู่ แม้เพียงชั่วครู่ก่อนถึงวันโลกาวินาศก็ตาม ทว่าในเมื่อท่านไม่เต็มใจที่จะยินยอม ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแย่งชิงมันมา…. โอ้ก!”
ทันใดนั้นนางก็อาเจียนสำรอกของเหลวสีดำพิสุทธิ์จำนวนมากออกจากปาก เห็นได้ชัดว่าปริมาณของเหลวเหล่านี้มีมากเกินกว่าที่ร่างกายเพรียวบางของเว่ยเอ๋อร์จะสามารถบรรจุเอาไว้ได้ พวกมันกลายเป็นหนวดสีดำ พุ่งเข้าไปจับเหล่าภูตชายหญิงทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้เข้าไปหาเว่ยเอ๋อร์ทันที
ของเหลวคล้ายโคลนสีดำเชื่อมต่อเหล่าหนุ่มสาวรูปงามจำนวนมากเข้าด้วยกัน จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นอสูรขนาดใหญ่เต็มไปด้วยมือเท้าและแผ่นอกเปลือยเปล่านับไม่ถ้วน โดยมีเว่ยเอ๋อร์กลายเป็นส่วนหัวของอสูรตัวนี้
ตอนนี้ร่างกายท่อนร่างของนางขยายออก กลายเป็นปากจระเข้ขนาดใหญ่ ปล่อยเสียงคำรามออกมาอย่างไร้ซึ่งสติ
“ส่วนหนึ่งของความมืด…”
เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาบนกระบี่ของอี้ฝาน
“ที่แท้ก็เป็นพลังของจอมเทพอสูรที่กัดกร่อนเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่มันอยู่ในสภาวะไม่สมบูรณ์”
แต่เว่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ แย่งชิงพลังของเขาไป แล้วจะถูกพลังของจอมเทพอสูรกัดกร่อนได้อย่างไร…
อี้ฝานยังคงเกิดข้อสงสัยในใจ ทว่าอสูรร่างแปลงของเว่ยเอ๋อร์ได้พุ่งเข้ามาหาเข้าแล้ว
อี้ฝานยกโล่ขึ้นมาป้องกันการพุ่งเข้ามากัดของอสูรยักษ์ ร่างใหญ่อันหนักอึ้งของมันกระแทกเข้ากับโล่ พื้นทั้งหมดของเทวาลัยพลันแตกออกจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่
คลื่นกระแทกพุ่งออกไปทางประตูและหน้าต่าง ทว่าสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงไม่อาจรับแรงกระแทกที่เหลือได้ ทำให้ผนังของตำหนักเทพเจ้าร้าวและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงเสาบางต้นที่แบกรับเพดานเอาไว้
ขณะเดียวกันนั้น มืออีกข้างของอี้ฝานที่ถือกระบี่ยักษ์เอาไว้ก็เหวี่ยงออกไปพุ่งเข้าใส่ท้องของอสูรยักษ์เพื่อป้องกันการโจมตีของเว่ยเอ๋อร์
พลังของเทพปีศาจลาวาและเจ้าแห่งเพลิงและโลหะถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน… กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งทะลวงผ่านคมกระบี่เข้าสู่ช่องท้องของมัน และเกิดเป็นบาดแผลไหม้เกรียมทันที
อสูรแผดเสียงร้องโหยหวน รยางค์*[1] สีดำเหล่านั้นแยกตัวออกทันที ทิ้งร่างที่ถูกเปลวเพลิงลุกไหม้ลงบนพื้น ทำให้ตัวของมันหดลงกลายเป็นอสูรที่ตัวเล็กกว่าเดิม
ทันทีที่อสูรล้มลงบนพื้น พื้นก็พลันแตกออกเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน เถาวัลย์งอกเจาะขึ้นมาจากรอยแยกเหล่านี้ก่อนจะพุ่งมาตวัดพันเกี่ยวอี้ฝานจนคล้ายกลายเป็นต้นไม้โบราณและขังเขาไว้ในนั้น!
อี้ฝานตวัดกระบี่สีดำตัดเถาวัลย์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ทว่าเถาวัลย์เหล่านี้ล้วนเหนียวแน่นเป็นอย่างมากจนไม่สามารถตัดขาดได้ แม้ว่าไฟจากเทพปีศาจลาวาและจ้าวแห่งเปลวเพลิงจะสามารถเผาพวกมันได้ แต่ผลลัพธ์จะกลายเป็นว่าเขานั้นจุดไฟเผาตนเอง
เขาจึงทำได้เพียงจุดไฟขึ้นบนร่างตัวเองเท่านั้น เพื่อกันไม่ให้เถาวัลย์เข้ามามัดร่างกายตนเองได้ ทว่ามันกลับเป็นโอกาสให้เถาวัลย์รอบ ๆ ตัวเขาได้มีเวลาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นตัวเขาที่ถูกขังอยู่ในกรงพฤกษา
[1] อวัยวะที่ยื่นออกมาจากร่างกายของสัตว์ ช่วยในการเคลื่อนที่และจับอาหาร