ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 661 ภูตผู้รับใช้ทวยเทพ
บทที่ 661 ภูตผู้รับใช้ทวยเทพ
บทที่ 661 ภูตผู้รับใช้ทวยเทพ
“กิ๊ กิ๊ กิ๊… ”
เจ้าแห่งภูตที่ตกต่ำจนกลายเป็นอสูรนั้นส่งเสียงหัวเราะแปลก ๆ ออกมา อี้ฝานสามารถรับรู้ได้ว่ามันกำลังคลานไปมาบนต้นไม้
เขาเอื้อมมือไปจับพฤกษา เปลวเพลิงบนร่างของเขาทำให้ต้นไม้ติดไฟได้อย่างง่ายดาย ทว่าต้นไม้ที่ถูกกระตุ้นด้วยพลังของเจ้าแห่งภูตนั้นทนทานต่อไฟเป็นอย่างมาก หลังจากเพลิงลุกโชนมาอย่างต่อเนื่องสิบถ้วยชา เปลือกนอกของไม้ก็ไหม้เกรียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าไฟยังคงเผาไหม้ด้วยความเร็วเช่นนี้ คงไม่มีทางที่จะทำลายต้นไม้ต้นนี้ทิ้งได้
อี้ฝานเปลี่ยนไปใช้พลังแห่งความตายของเจ้าแห่งยมโลก พลังสีม่วงราวกับควันพวยพุ่งออกมา ในครั้งนี้ได้ผลทันตาเห็น ต้นไม้รอบตัวของเขาที่สัมผัสเข้ากับควันสีม่วงพลันเหี่ยวเฉาลงแล้วกลายเป็นฝุ่นผงสลายไป
อสูรที่ประกอบขึ้นจากโคลนสีดำและร่างของภูตจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดขึ้นไปบนกรงไม้ขนาดใหญ่ที่ตนเป็นผู้เรียกออกมา มันเปิดปากแลบลิ้นยาวออกมาเตรียมจะดูดกลืนเหยื่อที่ติดอยู่ในกรง ทว่าจู่ ๆ มันก็ได้ยินเสียงแกร็ก แกร็ก ดังออกจากกรง
คนผู้นั้นอาบล้อมไปด้วยพลังสีม่วง เถาวัลย์รอบตัวพลันเหี่ยวเฉาลง เขาก้าวเดินราวเหยียบย่างบนอากาศ เดินผ่านออกจากชั้นในสุดของคุกพฤกษาได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่อสูรเห็นเขา มันก็กรีดร้องออกมาดังลั่น ทว่าในพริบตาต่อมา ดาบใหญ่สีดำก็พุ่งลงมาจากด้านบนและผ่าร่างของมันออกเป็นสองส่วนด้วยเปลวเพลิง
อี้ฝานเล็งดาบใหญ่ฟาดไปยังปากที่สร้างขึ้นมาจากร่างของเว่ยเอ๋อร์ และผ่าร่างอสูรออกเป็นสองส่วน โคลนสีดำพวยพุ่ง ก่อนที่อสูรจะคายร่างที่ได้รับความเสียหายออกมา อี้ฝานพบว่าร่างนั้นไม่ใช่เว่ยเอ๋อร์แต่เป็นภูตสาวอีกคน
เมื่อครู่นี้ ตอนที่โคลนสีดำพุ่งออกมา เขาเหลือบไปเห็นเว่ยเอ๋อร์หลับตาหลบซ่อนอยู่ที่ส่วนลึกสุดของร่างกายอสูรและโคลนดำ มีของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างของนางคล้ายกับกำลังปกป้องนาง
หากไม่โจมตีเข้าไปยังร่างกายของนางโดยตรง เกรงว่าอี้ฝานจะต้องเสียเวลาอยู่กับอสูรตัวนี้อีกนาน เพราะนอกจากของเหลวสีดำที่ดูเหมือนจะสามารุสร้างใหม่อย่างต่อเนื่องแบบไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว ยังเป็นเรื่องยากสำหรับอี้ฝานที่จะล่วงรู้ว่านางยังจะมีลูกไม้น่ารำคาญอื่นอีกหรือไม่
ดังนั้นเมื่ออสูรกำลังจะฟื้นสภาพกลับมาอีกครั้ง อี้ฝานจึงรีบทิ้งโล่แล้วถือดาบใหญ่ด้วยสองมือ เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมา พลังแห่งความตายสีม่วงลอยวนอยู่บนใบดาบอย่างต่อเนื่อง มันหลอมรวมกันกลายเป็นพลังพิสดารพุ่งเข้าใส่เว่ยเอ๋อร์อย่างแรง
อสูรสีดำที่กำลังจะฟื้นกลับสู่สภาพเดิมถูกระเบิดออกจนกระจายออกไปอีกครั้ง! พลังบนคมดาบฉีกกระชากโคลนสีดำให้แยกออก ทว่าความเหนียวของโคลนสีดำนั้นน่าทึ่งที่สุด แม้ว่ามันจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แต่ร่างของเหล่าภูตก็ยังคงไม่ขาดการเชื่อมต่อจากกัน
ถึงกระนั้น ร่างของมันในตอนนี้ก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของเว่ยเอ๋อร์ที่อยู่ใจกลางอสูร อี้ฝานปักดาบใหญ่สีดำลงบนพื้น! ก่อนจะหยิบคันธนูออกมา ตามด้วยลูกศรที่ทำจากโลหะจากกระบอกใส่ลูกธนู
เปลวเพลิงอันร้อนแรงและพลังแห่งความตายพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว ก่อนจะก่อตัวเป็นพลังบนหัวของลูกศร
อี้ฝานรั้งสายธนู และเล็งไปทางเว่ยเอ๋อร์
แม้นางจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป แต่สัญชาตญาณยังคงร้องเตือนถึงความตายที่ใกล้เข้ามา นางอ้าปากกรีดร้องส่งคลื่นเสียง ทว่าการตอบสนองในครั้งนี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งศรแห่งความตายได้
ศรทะลวงผ่านของเหลวสีดำอันเป็นเกราะกำบังก่อนปักเข้าไปยังอกของนาง พลังอันไม่เสถียรหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายก่อนจะระเบิด!!
เสียงระเบิดดังสนั่น… พลังของมันรุนแรงเทียบได้กับการระเบิดตัวเองของเทพปีศาจลาวา ทว่าครั้งนี้อี้ฝานเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทันทีที่ลูกศรพุ่งออกไป เขาก็รีบวิ่งไปหาโล่ของตนเองก่อนยกขึ้นตั้งเป็นกำบังด้านหน้า
คลื่นกระแทกแผ่ออกมาจนอี้ฝานถูกปกคลุมด้วยความร้อนและคลื่นพลังงานอันผันผวน แต่ยังดีที่เขายังรอดชีวิตมาได้
เทวาลัยถูกแรงระเบิดทำลายลง เสาค้ำล้มลงกลายเป็นเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้อี้ฝานถูกทับอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง
หลังจากควันฟุ้งตลบสงบลง โล่ที่อี้ฝานตั้งขึ้นก็ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา เขาปีนออกจากใต้เศษซากปรักหักพักด้วยท่าทางคล้ายกับนักรบขุนเขายามออกมาจากกองซากศพ
เขาสบถพร้อมพ่นฝุ่นออกมาจากปากเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปยังมุมหนึ่งของเทวาลัยแล้วเริ่มขุด
ชายหนุ่มคุ้ยเศษซากปรักหักพังออกแล้วดึงดาบใหญ่และธนูของตนออกมา ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็พลันสังเกตเห็นบางสิ่งดันกองเศษซากให้นูนขึ้นมา
“เว่ยเอ๋อร์ยังไม่ตายงั้นหรือ?”
อี้ฝานใช้ดาบใหญ่ที่ถืออยู่แงะเศษซากที่พังลงมาทับเอาไว้ ก่อนจะเห็นร่างของเว่ยเอ๋อร์ที่ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลกำลังนอนอยู่บนร่างที่ถูกพันเอาไว้ด้วยเถาวัลย์ นางเปิดปากออกคล้ายอยากจะกินร่างของสตรีผู้นั้น ทว่ายามที่เห็นอี้ฝาน นางก็กรีดร้องออกมา
อี้ฝานแทงดาบเข้าไปกลางศีรษะ ก่อนจะสังหารนางโดยที่สีหน้าปราศจากอารมณ์!
ลำแสงสีเขียวลอยออกมาจากร่างของเว่ยเอ๋อร์เข้าไปในฝ่ามือของอี้ฝานก่อนจะหายไป จากนั้นเขาจึงใช้ดาบฟันเถาวัลย์ที่พันรอบตัวหลายหยาออก…
…
นักบุญข้ารับใช้ทวยเทพหลายหยารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ สิ่งแรกที่ทำหลังจากสติกลับมาแจ่มชัดคือการตรวจสอบร่างกายตนเอง
หลังจากรับรู้ว่าเสื้อผ้าบนร่างกายนางยังคงอยู่ดี นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงสัมผัสใบหน้าตนเองแล้วพบว่าตนได้เปลี่ยนจากรูปลักษณ์นักบุญข้ารับใช้ทวยเทพกลับสู่ร่างเดิมที่มีหูแหลมแสดงถึงเผ่าภูตอย่างสมบูรณ์แล้ว
“เจ้านับว่าดวงแข็งนัก”
ขณะที่หลายหยากำลังรู้สึกเศร้าสลดใจ อี้ฝานที่กำลังนั่งอยู่บนซากปรักหักพังด้านหน้าเห็นว่านางฟื้นแล้วจึงลืมตาขึ้นแล้วกล่าวออกมา
“ท่านนักรบ?”
หลายหยาลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอบคุณเขา
“ท่านเป็นผู้ที่เอาชนะทวยเทพของเผ่าข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าได้รับการช่วยเหลือจากท่านอีกครั้ง ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณ ตอนที่ข้าต่อสู้ก็ไม่ได้สนใจชีวิตเจ้า”
อี้ฝานโบกมือพร้อมพูดออกมา
“ดังนั้นแล้วที่เจ้าสามารถรอดมาได้ ก็เพราะดวงชะตาของเจ้าล้วน ๆ”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังอยากจะขอบคุณท่าน”
หลายหยาคำนับเขาด้วยความจริงจัง
“ข้าเห็นเจ้าทำงานให้กับเจ้าแห่งรุ่งอรุณจึงคิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์ คาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นภูต”
อี้ฝานปรายตามองไปทางนาง
“เพื่อมิตรภาพเผ่าต่าง ๆ และแสดงถึงความเป็นผู้นำ ข้ารับใช้เจ้าแห่งรุ่งอรุณจึงถูกคัดเลือกมาจากหลากหลายเผ่า จากนั้นจึงใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนข้ารับใช้ให้กลายเป็นร่างแสง”
หลายหยามองเขาอย่างเงียบ ๆ
“นี่เป็นเรื่องที่ทราบกันดี ในยุคแห่งแสงสว่างไม่มีผู้ใดไม่รู้เรื่องนี้”
“ข้าเป็นหนึ่งในคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”
อี้ฝานตอบกลับ
หลายหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“ที่จริงแล้วตอนที่ข้าถูกจับ ยามนั้นพี่ชายของข้าก็มายังเมืองหลวงของภูตด้วย ทั้งยังได้พบกับเจ้าแห่งภูต พวกเขายืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ข้าเองก็ได้ยินบทสนทนานั้น… เทพีเว่ยเอ๋อร์ได้เล่าความจริงเมื่อปีนั้นให้พี่ชายข้าฟัง”