ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 662 ก้าวไปด้านหน้าอย่างไร้ความหวั่นเกรง
บทที่ 662 ก้าวไปด้านหน้าอย่างไร้ความหวั่นเกรง
บทที่ 662 ก้าวไปด้านหน้าอย่างไร้ความหวั่นเกรง
“โอ้”
หลังจากฟังคำพูดของหลายหยาแล้ว อี้ฝานยังคงมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“ท่านไม่ตกใจบ้างหน่อยหรือ?”
หลายหยาอดถามออกมาไม่ได้
“มีอะไรน่าแปลกใจ วันโลกาวินาศใกล้จะมาถึงแล้ว หากรู้ความจริงที่ข้าถูกทรยศเมื่อครั้งนั้นแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง? อีกอย่างข้าก็ไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจอันไร้ประโยชน์ของผู้อื่น”
อี้ฝานมองลงไปทางหลายหยา
“ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ และต้องการจะสังหารข้าแทนนายของเจ้า ก็จงนำอาวุธออกมาสู้กับข้าเสียที่นี่ ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะฟื้นตัวดี ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าทำในครั้งนั้นไม่ถูกต้องแล้วอยากช้วยเหลือข้า ก็บอกที่อยู่ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณและชายาของเขามา แต่ถ้าเข้าไม่อยากช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นเจ้าก็สามารถกลับไปยังสุสานได้เลย”
หลายหยาถึงกับพูดไม่ออก ปฏิกิริยาของอี้ฝานเป็นสิ่งที่นางไม่คาดคิดมาก่อน สภาพจิตใจของนักรบผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก และไม่สะทกท้านใด ๆ กับคำพูดของนาง
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ทว่าเรื่องที่อยู่ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณและชายา ข้านั้นยังไม่สามารถบอกท่านในตอนนี้ได้ แต่ข้าจะบอกเล่าความจริงให้องค์หญิงจั้วซีเอ๋อร์ทราบ และปล่อยให้นางตัดสินใจทางเลือกในตอนสุดท้าย”
หลายหยากล่าวเสียงแผ่วเบา
“ข้าอยากจะกล่าวเตือนท่านอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากได้ฟังคำพูดของเจ้าแห่งภูตแล้ว พี่ชายของข้า… ก็ดูผิดปกติไปเล็กน้อย หากท่านพบกับเขาอีกครั้ง โปรดระวังตัวด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นอี้ฝานจึงกล่าวคำขอบคุณสำหรับคำเตือนของนาง
หลังจากสวมแหวนดอกไม้เพื่อกลับมาซ่อมแซมอุปกรณ์เล็กน้อย อี้ฝานก็เตรียมตัวจะออกเดินทางต่อไปยังวังเทวาลัย
ทว่าก่อนจะทันได้ออกเดินทาง จั้วซีเอ๋อร์ที่พักอยู่ในอาคารเล็ก ๆ ด้านข้างก็เดินออกมาพร้อมหลายหยา และปริปากสนทนากับอี้ฝาน
“ท่านนักรบ”
นางกล่าวกับอีกฝ่าย
“หลายหยาบอกข้าทุกอย่างแล้ว เรื่องที่ท่านพ่อท่านแม่เคยทำกับท่านไว้… ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก”
“เจ้าเสียใจรึ?”
“มันเป็นเรื่องของข้ากับพ่อแม่เจ้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเจ้า”
เมื่อได้ฟังการตอบกลับอันแสนห่างเหิน จั้วซีเอ๋อร์ผู้ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดีไม่ได้โกรธแต่อย่างใด นางสนทนากับอี้ฝานด้วยความใจเย็น
“ไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านพ่อท่านแม่ข้า ย่อมเกี่ยวพันกับข้าด้วย ข้ายอมรับว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นฝ่ายผิด อีกทั้งท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจึงจึงไม่อาจกล่าวถ้อยคำไร้ยางอายอย่างการขออภัยแทนพวกเขา”
“เช่นนั้นเจ้ามาทำสิ่งใด?”
อี้ฝานถาม
“จะมาบอกที่อยู่พ่อแม่ของเจ้ากับข้างั้นหรือ?”
“ข้าเพียงมาเตือนทาง ตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต”
จั้วซีเอ๋อร์กล่าว
“ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นท่านพ่อท่านแม่ของข้า จึงไม่อาจบอกท่านได้ถึงที่อยู่และจุดอ่อนของพวกเขา แต่ข้าสามารถเตือนท่านได้ว่ามีตราประดับอยู่ตรงประตูวังเทวาลัย เมื่อมันถูกทำลาย ท่านอาจต้องเผชิญหน้ากับกองทัพทั้งหมดของวังเทวาลัย ยิ่งไปกว่านั้น หลายหยาได้แวะไปยังที่พำนักของท่านแม่มาก่อนหน้านี้ นางบอกข้าว่าท่านแม่ไปจากที่แห่งนั้นแล้ว ดังนั้นในครั้งนี้ ท่านอาจต้องเผชิญหน้ากับท่านพ่อท่านแม่ข้าในเวลาเดียวกัน ไม่อาจเอาชนะได้โดยง่าย”
อี้ฝานมองไปทางซีเอ๋อร์ ในขณะเดียวกันอวี่ฝูก็เดินมาด้านข้าง ดึงเขามากระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง หลังจากนั้นอี้ฝานจึงหันกลับไปพูดกับจั้วซีเอ๋อร์
“อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณที่เอ่ยเตือนข้า แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าสนใจความคับแค้นของคนรุ่นพ่อแม่ หากเจ้าเข้าไปผลีผลามเข้ามาแทรกแซง เกรงว่าจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ อยู่ที่นี่ เช่นนั้นจงอย่าไปไหน หากข้าหาวิธีเอาตัวรอดจากวันโลกาวินาศได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะมาพาเจ้าไปด้วย”
พูดจบแล้ว อี้ฝานก็ดึงแหวนดอกไม้บนนิ้วก่อนจะเดินทางออกจากสุสาน
อี้ฝานเดินผ่านม่านหมอกจนถึงข้างแม่น้ำก่อนจะขึ้นไปยังเรือของคนพายเรือ
“ไปวังเทวาลัย!”
อี้ฝานกล่าวขึ้นหลังจากนั่งลงบนเรือ
“โอ้ ดูเหมือนว่าเจ้าเตรียมตัวจะไปสังหารทวยเทพจอมปลอมนั่นแล้ว”
คนพายเรือมองเขาด้วยความคาดหวังเป็นอย่างมาก
“แต่เรือของข้าไม่สามารถไปถึงวังเทวาลัยได้ ข้าทำได้แค่ส่งเจ้าไปที่ประตูเท่านั้น จะเข้าไปอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า”
“เช่นนั้นพาข้าไปส่งที่ประตูวังเทวาลัย”
อี้ฝานกล่าว
เรือลำน้อยโคลงเคลงไปมา ระหว่างทางไร้ซึ่งบทสนทนาใด อี้ฝานค่อย ๆ จมลงสู่ความทรงจำที่วิญญาณในร่างเทพเจ้าแห่งภูตส่งมาให้เขา ทว่าไม่ว่าเขาจะได้รับความทรงจำของเว่ยเอ๋อร์มา เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงร่วมมือกับซีเอ๋อร์เส้อเพื่อทรยศเขาในครั้งนั้น
เขารู้สึกว่ามันไร้เหตุผล เขาเห็นซีเอ๋อร์เส้อเดินมาที่ประตู ก่อนจะกล่าวเรื่องบางอย่างออกมาด้วยความคลุมเคลือ เว่ยเอ๋อร์เองก็เข้าใจแล้วทำท่ายอมรับ
แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือ เรื่องทั้งหมดเผยให้เห็นถึงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเบื้องหลังนี้มีคนจงใจชักใย นอกจากซีเอ๋อร์เส้อแล้ว อาจมีผู้บงการเบื้องหลังคนอื่นอีก….
อี้ฝานมองไปด้านหน้า ท้องฟ้าสว่างแล้ว เรือเล็กพาเขาล่องไปจนถึงประตูสีขาวสูงตระหง่าน
“ขึ้นบันไดหลังประตูบานนี้ไป แล้วจึงจะเป็นวังเทวาลัย”
คนพายเรือกล่าวกับเขา
“ส่วนวิธีที่จะไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า ข้ามาส่งเจ้าได้แค่นี้ แล้วพบกันใหม่หลังสิ้นสุดการเดินทางของเจ้า ท่านนักรบ”
เขาพายเรือกลับเข้าไปในความมืด
อี้ฝานเฝ้ามองเขาจนกระทั่งเรือนั้นหายลับไปในความมืด
ผู้บงการเบื้องหลัง …บางทีอาจเป็นคนพายเรือผู้นี้?
เขาคิดขึ้นมา
แต่หลังจากครุ่นคิดต่ออีกครู่หนึ่ง อี้ฝานก็เลิกคิด อย่างไรเสียคนพายเรือก็บอกว่าจะพบกันอีกหลังสิ้นสุดการเดินทาง ดังนั้นก็คงได้พบกันอีกเมื่อถึงเวลานั้น
ถ้าคนพายเรือคนนี้เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง… ก็แค่ฆ่าอีกฝ่ายเสีย
เขาเดินมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะตราบนประตู
ผนึกที่ทรงพลังเป็นอย่างมากถูกประทับเอาไว้บนประตู พลังนี้เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นหนึ่งในพลังที่เขาสูญเสียไป ทั้งยังเป็นส่วนที่ทรงพลังที่สุดอย่างพลังแห่งแสง
ผู้ที่ประทับตราลงบนประตูบานนี้ย่อมต้องเป็นเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ซีเอ๋อร์เส้อ ผู้เป็นตัวการวางแผนทรยศเขา!!
ตอนนี้ชายเกศาขาวได้ความทรงจำและดวงวิญญาณทวยเทพคืนมาหลายส่วนแล้ว ความแข็งแกร่งของอี้ฝานในปัจจุบันจึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าซีเอ๋อร์เส้อ การทำลายผนึกจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แม้จั้วซีเอ๋อร์จะเตือนเขาก่อนหน้านี้ว่าหากทำลายตราประทับจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพติดอาวุธทั้งหมดของวังเทวาลัย
ทว่าถึงอย่างนั้นอี้ฝานก็ไม่หวั่นเกรง
เขาเป็นทั้ง ‘แสงแรกของโลกใบนี้’ และ ‘ผู้ช่วงชิงแสงสว่าง’ ดังนั้นแม้จะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ชายผมขาวก็มั่นใจว่าตนจะไม่พ่ายแพ้
อี้ฝานดึงดาบใหญ่ของเขาออกมา พลังทุกสีที่กำลังพุ่งพล่านก่อตัวเป็นพายุอันยุ่งเหยิง ก่อนจะพุ่งตรงใส่ตราประทับ! ผ่าประตูเมืองออกเป็นสองส่วน!!
ตูม!!
ประตูเมืองพังทลายลง อี้ฝานลากดาบยักษ์เหยียบเศษซากปรักหักพังก้าวเดินขึ้นสู่บันไดที่นำพาไปยังวังเทวาลัยอย่างแช่มช้า
ด้านบนนั้น กองกำลังติดอาวุธของวังเทวาลัยรวมพลกันอย่างเร่งด่วน มีทั้งยักษ์ในชุดเกราะสีทองและนักรบในชุดเกราะสีขาว และใกล้หมู่เมฆบนนภายังมีทูตสวรรค์บินอยู่อย่างหนาแน่น พลหน้าไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปที่บันไดแล้วยิงศรออกมา
ทว่าอี้ฝานไร้ซึ่งความหวั่นเกรง เขาพุ่งไปด้านหน้าโดยไม่ลังเล