ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 664 โลงศพ
บทที่ 664 โลงศพ
บทที่ 664 โลงศพ
อี้ฝานเมินเฉยต่อการแนะนำตัวเองของหลายเส้อโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะดูหมิ่นอีกฝ่าย แต่ต่อให้หลายเส้อจะเป็นนักรบผู้แข็งแกร่งก็ดี หรือจะเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม อย่างไรเสีย วันนี้ก็ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งอี้ฝานได้
เขามาเพื่อสะสางบัญชีแค้นกับซีเอ๋อร์เส้อและโค่วเวย คนบาปจะต้องได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม ต่อให้วันโลกาวินาศมาถึง หรือทั้งซีเอ๋อร์เส้อและโค่วเวยต่างก็ตายไปแล้วก็ตาม อี้ฝานก็จะลากคนทั้งสองออกมาจากโลงศพแล้วฆ่าพวกเขาอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาของอวี่ฝูอยู่ที่อยู่กับโค่วเวย หนี้แค้นระหว่างอี้ฝานกับนางจึงไม่ได้มีเพียงการทรยศหักหลังเท่านั้น
อี้ฝานไม่ได้เอ่ยตอบโต้อีกฝ่ายด้วยคำพูด ทว่าเขากลับยกดาบใหญ่ขึ้นกลางอากาศ หมายตัดศีรษะของหลายเส้ออย่างไร้ความปรานี
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ นักบุญหลายเส้อก็ก้าวขาแทบไม่ออก ในสายตาของใครหลายคน เขาคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ เป็นบุคคลระดับสูงผู้เป็นอมตะ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอี้ฝาน เขากลับรู้สึกว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคืออี้ฝานต่างหาก
ทว่าทันใดนั้น ด้านหลังของหลายเส้อก็มีปีกแห่งแสงสีขาวสามคู่ยื่นออกมา ทันทีที่กระพือปีก ร่างของเขาพลันพุ่งไปอยู่ด้านหลังอี้ฝานในทันใด!
ดาบใหญ่ร่วงลงสู่พื้นดิน รอยร้าวกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นเทวาลัยเหนือผืนฟ้า เปลวเพลิงและหินหลอมเหลวพุ่งออกมาจากรอยแยก และในตอนนี้หลายเส้อกำลังชักดาบออกมาแทงอี้ฝานจากด้านหลัง!!
ดูเหมือนว่านักรบทมิฬผู้นี้จะคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ เขาจึงค่อย ๆ ตวัดดาบใหญ่ในมือกวัดแกว่งอย่างช่ำชอง ก่อนจะหันหลังกลับพร้อมดาบในมือ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับปลายดาบของหลายเส้อที่กำลังจะแทงเข้ามาด้านหลังเขา
เกิดเสียงกระทบกันของคมดาบทั้งสอง ดาบของหลายเส้อถูกปัดออกจนเกิดแสงแปลบปลาบ อี้ฝานรีบใช้มืออีกข้างคว้าหมับเข้าที่คอของหลายเส้อ
เขาคว้าคอของหลายเส้อแล้วทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง นักรบผู้แข็งแกร่งส่งเสียงครวญครางพลางถูกพันธนาการด้วยเถาวัลย์นับไม่ถ้วนที่เลื้อยขึ้นมาจากพื้นดิน
เปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ด้านล่างเถาวัลย์ค่อย ๆ ลามขึ้นมาแผดเผาข้ารับใช้เทพเจ้าจนร่างกายเริ่มแหลกสลาย
เสียงโครมครามดังขึ้นพร้อมกับร่างของข้ารับใช้เทพเจ้าที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงเศษขนที่ไหม้เกรียมลอยล่องออกมาจากจุดที่เกิดการระเบิด
ทว่าเมื่ออี้ฝานเงยหน้าขึ้นมองบนผืนฟ้า กลับได้พบว่าข้ารับใช้กำลังสยายปีกทั้งหกอยู่บนนั้น พร้อมดาบยาวในมือกวัดแกว่งไปมาจนเกิดแสงสีขาว ก่อนจะปล่อยดาบพุ่งลงมาหาเขา
อี้ฝานไม่รอช้า ยกดาบขนานกับพื้น แล้วควงดาบใหญ่ไปมาจนเกิดแสงสีขาว ก่อนจะเหวี่ยงดาบออกไปปะทะเข้ากับดาบอีกเล่มจนมันพุ่งกลับไปทิศทางเดิม!! หลายเส้อรีบกระพือปีกหลบหลีกด้วยความไวแสง ทว่าส่วนปลายของปีกก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี เขารีบบินหายเข้าไปในม่านเมฆ แต่ยามนี้ในใจเขากลับสัมผัสได้ถึงความหนาวลึกถึงกระดูกทันที
แต่เขายังพยายามหนีให้ถึงที่สุด แต่แล้วมันก็สายเกินไป ลำแสงหลายสายพุ่งตามมาติด ๆ ก่อนจะทะลวงผ่านแขนและปีกของเขา หลายเส้อหันกลับไปมองก็พบว่า อี้ฝานปักดาบใหญ่ไว้บนพื้น ก่อนจะถอดคันธนูที่สะพายไว้ข้างหลังออกมา แล้วหันปลายลูกธนูขึ้นบนฟ้าเพื่อยิงมันใส่เขา
ความเร็วในการเปลี่ยนอาวุธนั้นยากจะหาสิ่งใดเปรียบ แม้จะอาศัยความสามารถในการต่อสู้ที่มีแต่เดิม ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้หลายเส้อมีโอกาสตอบโต้อีกฝ่ายเพียงสักนิด
ลูกธนูหลายดอกติดอยู่ที่ปีกของเขา ทันใดนั้นไม้ดอกเถาเลื้อยก็ผลิดอกบนลูกธนู มันเลื้อยออกมาบีบรัดบาดแผลของหลายเส้อให้สาหัสกว่าเก่า
หลายเส้อร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า อี้ฝานดึงดาบใหญ่ออกจากฝักอีกคราพร้อมพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ และแทงเข้าที่หน้าอกและหน้าท้องของหลายเส้อ!!
ด้วยอานุภาพแห่งแสงจากดาบใหญ่สีทมิฬ ส่งผลให้อี้ฝานสามารถแยกส่วนบนและส่วนล่างของนักรบผู้แข็งแกร่งออกจากกันก่อนที่มันจะลงบนพื้น
“สำหรับข้า เจ้ามีคุณสมบัติไม่มากพอที่จะล้างมลทินให้นายของเจ้า!”
อี้ฝานเก็บดาบใหญ่ไว้ด้านหลังก่อนจะพูดกับหลายเส้อ
“อ้า… ก็คงเป็นเช่นนั้น สมกับเป็นผู้บุกเบิกยุคแห่งแสงสว่างที่แท้จริง แค่ก… ดูเหมือนว่าครานี้เจ้าแห่งรุ่งอรุณและเทพธิดาจะถึงคราวเคราะห์เสียแล้ว”
แม้ว่าร่างกายส่วนบนและส่วนล่างของหลายเส้อจะถูกแยกออกจากกันแล้ว แต่พลังปราณของเขายังมีอยู่เล็กน้อย สถานะนักบุญในกายค่อย ๆ จางหายไปจนกลายร่างเป็นเพียงภูตหนุ่มรูปงามเช่นเดียวกับหลายหยา ใบหน้าของทั้งสองนั้นคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ในปากของภูตหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลอาบคาง
“บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา หรือไม่ก็คงถึงจุดจบของโลกนี้… แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ได้ปฏิบัติตามคำปฏิญาณในฐานะนักรบอย่างถึงที่สุดแล้ว ฝ่าบาท ข้าไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจภายหลังแล้ว”
มือของเขาค่อย ๆ อ่อนแรงลง ดวงตาปิดลงอย่างเชื่องช้า วิญญาณสีขาวล่องลอยออกจากร่างมาอยู่บนฝ่ามือของอี้ฝาน มันคือพลังส่วนหนึ่งที่เจ้าแห่งรุ่งอรุณซีเอ๋อร์เส้อขโมยมันไปจากเขา
อี้ฝานเดินตรงไปที่ประตูเทวาลัยโดยไม่คิดหันกลับมามอง เขาก้าวเข้าไปยังด้านในของเทวาลัยเหนือผืนฟ้า
ที่นี่คือวังเทวาลัยแห่งสรวงสวรรค์ แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องงดงามตระการตาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้างในเทวาลัยเต็มไปด้วยตำหนักมากมาย แต่ละตำหนักมีรูปปั้นแกะสลักแตกต่างกัน ภายในตำหนักจะมีบัลลังก์หนึ่งถึงสองบัลลังก์ที่แกะสลักจากหยกขาว
ในระหว่างที่เขาพยายามพื้นฟูความทรงจำด้วยการพูดคุยกับอวี่ฝู ครั้งหนึ่งนางเคยพูดถึงเทวาลัยเหนือผืนฟ้าว่าทวยเทพในเทวาลัยแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงซีเอ๋อร์เส้อเท่านั้น ทว่าหลังจากขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ซีเอ๋อร์เส้อยังได้หาวิธีกลั่นพลังจากผลึกศิลาที่เป็นสมบัติของอี้ฝานออกมา แล้วมอบให้แก่พรรคพวกที่เหลือของตน ทำให้คนพวกนั้นกลายเป็นทวยเทพเช่นเดียวกัน
ทั้งราชาแห่งเมืองหลวงหมิงกวงผู้ปกครองปวงประชา เทพแห่งวังเทวาลัยปกครองมนุษย์ หรือแม้แต่ตัวเขาเองที่ปกครองเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์
ทว่าตั้งแต่ที่อี้ฝานก้าวเข้ามาในเทวาลัยแห่งนี้ กลับพบเพียงเหล่าเทพที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หยก และกลายเป็นเพียงซากศพที่เหี่ยวแห้ง วิญญาณเร่ร่อน เหล่าเทพที่ครั้งหนึ่งเคยสูงส่ง บัดนี้หลงเหลือไว้เพียงผิวหนังบางส่วน ไม่ต่างอันใดกับโครงกระดูกในสุสาน
ดูเหมือนว่าเพื่อรักษาแสงสว่างของมหาเทวาลัยแห่งสรวงสวรรค์ เทพเหล่านี้ต้องสูญเสียวิญญาณทั้งหมดไปเช่นกัน
พวกเขาไม่ได้ยินยอมด้วยความสมัครใจอย่างแน่นอน อี้ฝานคิดว่าสาเหตุที่ซีเอ๋อร์เส้อแจกจ่ายผลึกศิลาให้คนเหล่านี้เพียงเพราะจะใช้พวกเขาเป็นพลังงานสำรองก็เท่านั้น
บนบัลลังก์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ให้พลังแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงพลังออกมาใช้ในยามจำเป็นอีกด้วย
หลังจากจัดการเหล่าซากศพเร่ร่อนที่ไม่ได้เป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดาได้อย่างง่ายดายแล้ว ในที่สุด อี้ฝานก็มาถึงประตูของมหาเทวาลัยแห่งสรวงสวรรค์อันสูงส่ง เขาใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก พลันเห็นโลงศพขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านใน!
สายตาปะทะเข้ากับร่างของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ‘สหายร่วมเป็นร่วมตาย’ ของเขาอย่างเจ้าแห่งรุ่งอรุณซีเอ๋อร์เส้อและโค่วเวยที่นั่งบนบัลลังก์สองบัลลังก์สูงสุดเคียงข้างกัน
อี้ฝานจ้องมองร่างทั้งสองที่สวมอาภรณ์หรูหราสง่างาม บนชุดคลุมมีดวงดาวส่องแสงสกาวบ่งบอกสถานะอันสูงส่ง อีกทั้งดวงตาของโค่วเวยนั้นสวยงามเป็นพิเศษ มันคือดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายราวกับดวงดาว
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงเสียทีนะ”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคืออี้ฝาน ซีเอ๋อร์เส้อผู้มีผมเงินผู้หล่อเหลากลับไม่มีท่าทีตื่นตะหนกหรือประหลาดใจแต่อย่างใด เขาเพียงปรายตามองลงมาที่อีกฝ่ายและเอ่ยว่า
“ข้ารู้อยู่แล้วว่ากองกำลังข้างนอกนั่นไม่มีทางหยุดยั้งเจ้าได้”
“เจ้าก็ยังเป็นเจ้า กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เป็นผู้ไล่ตามแสงสว่าง ความกล้าหาญของเจ้าชักจะทำให้ข้ากลัวซะแล้วสิ”
โค่วเวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะเอ่ยกับเขาไม่ได้เช่นกัน
“ช่างน่าเสียดายที่ทางเดินของเจ้าต้องสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เจ้าเห็นโลงศพนั่นหรือไม่? มันคือของเจ้า คนตายก็สมควรจะกลับไปอยู่ในที่ของคนตาย!”
“อย่างนั้นหรือ?”
อี้ฝานมองโลงศพขณะเอ่ยออกมา
“ข้าว่าโลกศพนี่มันใหญ่เกินกว่าคนผู้เดียว แต่ข้าว่าโลงศพนั่นมันไม่เหมาะกับข้า แต่มันกว้างพอสำหรับพวกเจ้าทั้งสอง ทว่าก่อนที่จะลงไปนอนในโลงนั่น โค่วเวย! ข้าจะควักเอาดวงตาของเจ้าออกมาเสียก่อน”
เขาเอ่ยเสียงกร้าวพร้อมชี้หน้าอีกฝ่าย
“ส่งดวงตาของอวี่ฝูกลับมาให้ข้าก่อน แล้วค่อยกลับไป!”