ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 666 นักบุญแห่งสังสารวัฏ
บทที่ 666 นักบุญแห่งสังสารวัฏ
บทที่ 666 นักบุญแห่งสังสารวัฏ
อี้ฝานปล่อยร่างอันไร้ลมหายใจของโค่วเวยให้ล้มลงบนพื้น
พลังส่วนสุดท้ายในร่างกายนางกลับคืนสู่ร่างเจ้าของเดิมอย่างอี้ฝานเช่นเดียวกัน
นักรบผมขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม และเก็บลูกตาสองข้างในมืออย่างระมัดระวัง ทว่าขณะที่กำลังจะจากไป จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้น
อี้ฝานมองไปรอบ ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ข้างซากปรักหักพังที่เขายืนอยู่มีแม่น้ำดำสนิทไหลผ่าน ซึ่งมันพัดพาซากพังทลายระหว่างทางทั้งหมดเข้าไป… ตามมาด้วยเรือลำเล็กลอยโคลงเคลงออกมาจากความมืดเทียบฝั่งข้างที่เขายืนอยู่
“ยอดเยี่ยมมาก”
คนพายเรือลุกขึ้นยืนและปรบมือให้อี้ฝาน เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องทำได้ นักรบเอ๋ย เมื่อครั้งนั้นท่านสร้างยุคสมัยนี้ขึ้นมา ยามนี้ก็เป็นท่านที่ทำลายยุคสมัยนี้ลง ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ผลงานของท่านช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”
อี้ฝานมองอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมา
“เจ้าเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังจริง ๆ สินะ ในตอนที่ข้าต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลัง เจ้าก็จะใช้มนตราปิดกั้นทางเข้าออกไม่ให้ข้าหลบหนีออกไปได้ เจ้าใช้เรือพาข้าไปส่งใกล้ ๆ และชักนำให้ข้าไปแก้แค้นสังหารคนเหล่านั้นตามที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่?”
“เป็นข้า แต่ก็ไม่ใช่ข้าเช่นเดียวกัน”
คนพายเรือยิ้มจาง ๆ
“ข้าคงต้องกล่าวลาการเดินทางของท่านแล้ว นักรบเอ๋ย ตอนนี้การเดินทางของท่านมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
“…เป้าหมายของเจ้าคืออะไรกันแน่?”
อี้ฝานไม่พูดเรื่องไร้สาระ เริ่มเปิดปากถามเข้าประเด็นทันที
“เป้าหมายของข้า?”
คนพายเรือนั่งอยู่บนเรือ สายตาเหลือบมองอี้ฝานที่อยู่ด้านข้าง
“เป้าหมายของข้าสำเร็จแล้ว นักรบเอ๋ย”
เขาแบมือสองข้างออกแล้วพูดต่อไปว่า
“ลองมองรอบ ๆ ตัวท่านเสียสิ ไม่ว่าจะยุคสมัยนี้หรือโลกใบนี้ ก็ล้วนใกล้จะถึงคราวพินาศลง”
อี้ฝานได้ยินดังนั้นจึงหันมองไปทั่วทุกทิศทาง สุดสายตาของเขาสามารถมองเห็นเส้นแบ่งขอบเขตเมืองหลวงหมิงกวง เป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่วังสวรรค์จะพังทลายลงมา
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของเผ่ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แม้ว่าจะกลายเป็นเพียงเศษซากปรักหักพัง แต่ก็ไม่อาจมองเห็นปลายสุดขอบเขตเมืองทุกด้านได้
ทว่าในตอนนี้ เขตสิ้นสุดเมืองในสายตาอี้ฝานชัดเจนและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
สถานที่แห่งนี้กำลังจมหายไป
อี้ฝานตระหนักได้อย่างรวดเร็ว
“เมื่อถึงเวลาที่ยุคสมัยหนึ่งของโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ควรจะหวนกลับคืนสู่ความมืด แต่พวกนั้นกลับอาศัยพลังที่แย่งชิงจากเจ้ามาประคับประคองแต่ละสถานที่ไม่ให้ความมืดแพร่กระจายออกไป ทว่าตอนนี้ท่านฆ่าพวกเขาทั้งหมดแล้ว ดินแดนเหล่านี้ก็ย่อมเริ่มเสื่อมลง”
คนพายเรือส่งยิ้มมาให้
“เป้าหมายของข้าคือการทำให้ยุคสมัยของโลกใบนี้หมุนเวียนไปตามวัฏจักร ท่านเป็นผู้ช่วยให้ข้าบรรลุได้ตามเป้าหมาย และหลังจากที่ดินแดนเหล่านี้ค่อย ๆ สลายไปจนหมดสิ้น ทุกสิ่งก็จะดับสลายลง แม้กระทั่งสุสานที่ท่านหลับใหลก็ไม่อาจรอดพ้น”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
อี้ฝานก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายแล้วถามออกมา
“ข้าหรือ ข้าก็เป็นเพียงแค่นักบุญแห่งสังสารวัฏ”
คนพายเรือลุกขึ้นยืนบนเรือลำเล็กแล้วพูดกับอี้ฝาน
“ผู้ปฏิบัติตามเจตจำนงของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ ทวยเทพที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้”
“พฤกษาศักดิ์สิทธิ์?”
อี้ฝานนึกขึ้นมาได้ว่าห้องที่ตนเองได้ตื่นขึ้นมา ทั้งบัลลังก์และเพดานถูกรากไม้ชนิดหนึ่งปกคลุมอยู่จริง ๆ
“ใช่แล้ว สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนหนีไม่พ้นชะตากรรม ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด มีเพียงพฤกษาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถหยั่งรากลึกและยืนหยัดท่ามกลางความวุ่นวาย รอดพ้นจากการเวียนวัฏฏะนับหมื่นนับพันครั้ง”
สีหน้าของคนพายเรือดูบ้าคลั่งขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มเปิดปากเกลี้ยกล่อมอี้ฝาน
“อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้แปรปรวนเป็นอย่างมาก นักรบเอ๋ย ด้วยความแข็งแกร่งของท่านแล้ว ไม่แน่ว่าท่านอาจรอดพ้นจากการดับสลายในครั้งนี้ได้ ก้าวข้ามสังสารวัฏแห่งยุคสมัย และใช้ชีวิตอยู่ในยุคต่อไปอันสว่างสดใส”
“เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร”
อี้ฝานก้มหน้าลงและกล่าวต่อไปว่า
“คนที่ข้ารักและคนที่รักข้าจะต้องตายไปพร้อมการดับสลายในครั้งนี้ ทิ้งข้าไว้ให้มีชีวิตรอดเพียงผู้เดียวในยุคสมัยหน้า เช่นนั้นข้าเองก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว”
“เช่นนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก”
คนพายเรือดีดนิ้ว ทันใดนั้นพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ขนาดยักษ์ก็ลอยขึ้นมาบนสายธารปรภพ หรือแม่น้ำสีดำสนิทที่เขาพายเรือมาตลอด
ใต้พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏช่องว่างเกิดขึ้น และที่มุมหนึ่งของพื้นที่แห่งนั้นมีบังลังก์สังเวยที่อี้ฝานเคยนั่งอยู่
“ท่านเพียงขึ้นไปนั่งบนนั้น ทำการสังเวยตนเองอีกครั้ง การเสียสละพลังของท่าน อาจสามารถรักษายุคสมัยนี้ได้อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้”
คนพายเรือหัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ปล่อยโลกทั้งใบให้ดับสลาย เหลือท่านโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว หรือจะเสียสละตนเองเพื่อรักษาโลกเอาไว้ ท่านจะเลือกอย่างไรดี?”
“ไม่เลือกสักทาง”
อี้ฝานจับจ้องไปทางคนพายเรืออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกดาบใหญ่ขึ้นมาในทันใด เขาเหวี่ยงมันไปทางพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ทันที!!
เปลวเพลิงถูกฟันออกจากดาบเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พุ่งเข้ากระทบกับลำต้นของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ พฤกษาศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินกว่าจะสามารถล้มลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทว่าแรงปะทะของอี้ฝานก็สร้างรอยเอาไว้บนลำต้น อีกทั้งยังทิ้งเปลวเพลิงลุกไหม้บนเปลือกไม้อย่างต่อเนื่อง
“เจ้า!”
เมื่อเห็นว่าอี้ฝานทำสิ่งใดลงไป คนพายเรือก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที
“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
มีแสงสว่างวาบขึ้นมาบนพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ พลังลึกลับบางอย่างดับเปลวเพลิงของอี้ฝานลงไป
“หมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ? ข้าเพียงแค่ต้องการเรือแบบเจ้า! ที่สามารถล่องผ่านสายธารปรภพนี้ได้”
อี้ฝานยกดาบขึ้นฟันไปยังพฤกษาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
“ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะสามารถพาคนที่ข้ารู้จักข้ามผ่านจุดสิ้นสุดของโลก เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ยังยุคสมัยถัดไปด้วยกัน ส่วนต้นไม้นี่ ก็ดูจะเป็นวัสดุชั้นยอดสำหรับทำตัวเรือไม่ใช่หรือ?”
คนพายเรือเงียบลง ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยเงามืด ดาบที่ฟันออกไปของอี้ฝานในครั้งนี้ถูกกั้นไว้ด้วยม่านพลัง
“ดูเหมือนข้าจะประเมินความโง่เขลาของเจ้าเอาไว้ต่ำเกินไป”
หลังจากที่การโจมตีของอี้ฝานถูกสกัดเอาไว้ คนพายเรือก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วหยิบไม้พายขึ้นมา
พลังลึกลับที่เหมือนกับพลังของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ถูกรวบรวมเข้ามา จากนั้นร่างของคนพายเรือก็ขยายขึ้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน พลังของเขานั้นเหนือกว่าพวกเจ้าแห่งรุ่งอรุณ อี้ฝานรู้สึกว่าอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าเทพอสูรเมื่อครั้งอดีตเสียด้วยซ้ำ
พลังนี้ส่งผลให้ไม้พายของอีกฝ่ายพลันบิดเบี้ยว และเปลี่ยนรูปกลายเป็นเคียวขนาดใหญ่
คนพายเรือเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าชราที่กำลังแย้มยิ้ม นัยน์ตามีประกายแสงบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
“เจ้าได้เลือกเส้นทางเลวร้ายที่สุดเสียแล้ว นักรบ”
จิตสำนึกของคนพายเรือคล้ายถูกควบคุมด้วยสิ่งลึกลับบางอย่าง น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมาจึงเริ่มเปลี่ยนไป
“เจ้าเป็นไพ่ที่ดีใบหนึ่ง ทว่าก็เป็นไพ่ที่ควบคุมยากที่สุดเช่นกัน เมื่อครั้งนั้นยามที่ข้าได้ชักนำเจ้าให้สังหารราชาปีศาจ นำพาโลกสู่ยุคแห่งแสงสว่าง ก็ได้ฝังพลังทำให้พลังของราชาปีศาจสามารถกัดกร่อนเหล่าผู้ติดตามของเจ้าได้ ทำให้พวกเขาทรยศและผนึกเจ้าเอาไว้ เมื่อถึงตอนนี้มาย้อนคิดดูแล้ว ข้าควรจะปล่อยให้สาวกผู้นี้สังหารเสียตั้งแต่พบหน้าเจ้าครั้งแรก”
“ที่แท้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าก็มีต้นตอมาจากเจ้า”
อี้ฝานเงยหน้าขึ้นมองพฤกษาสูงใหญ่
“ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะเอาเจ้ามาทำเป็นเรือลำใหม่!”