ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 667 ล่องเรือสู่อนาคต
บทที่ 667 ล่องเรือสู่อนาคต
บทที่ 667 ล่องเรือสู่อนาคต
เคียวของคนพายเรือวาดตัดอากาศพุ่งใส่อี้ฝาน
ทว่านักรบผมขาวไม่ยอมอยู่เฉย เขายกดาบขึ้นมาป้องกันจนอาวุธทั้งสองปะทะกัน… สร้างแรงสั่นสะเทือนส่งต่อไปยังซากปรักหักพัง! คลื่นกระแทกหลายระลอกปะทุขึ้นมาและแผ่กระจายไปทั่ว ทำลายเหล่าซากให้แตกหักกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกว่าเดิม!!
เหวอันมืดมิดโผล่ขึ้นมาจากรอยแตกเหล่านี้ มันพยายามลากเอาซากปรักหักพังของวังเทวาลัยและเมืองหลวงหมิงกวงให้จมหายลงไป
ทว่าอี้ฝานและคนพายเรือต่างไม่ใส่ใจ ทั้งสองยังคงต่อสู้กันบนเศษซากปรักหักพังที่เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ
ด้วยพลังจากพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ความแข็งแกร่งของคนพายเรือเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง มันเพิ่มขึ้นมากเสียจนเข็งแกร่งยิ่งกว่าอี้ฝานซึ่งกลับสู่สภาพสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ หลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับคมเคียวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมือของอี้ฝานก็มีบาดแผลจนเลือดออก
แต่ด้วยพลังแห่งแสง บาดแผลของเขาพลันหายไปอย่างรวดเร็ว …จากนั้นจึงเข้าต่อสู้กันกับคนพายเรือต่อไป!!
คำที่อี้ฝานเคยนิยามให้กับตัวเองก่อนหน้านี้ไม่มีผิดจริง ๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็เปิดเพียงแค่คนบ้าบิ่นมาตั้งแต่เริ่ม มีเพียงแค่คนบ้าเท่านั้นจึงจะกล้าต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเองมาก และเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชนะ
ก่อนหน้านี้ยามที่เขาเอาชนะราชาปีศาจก็เป็นเช่นนี้ และในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันออกไป
อี้ฝานใช้ดาบใหญ่สกัดใบมีดที่เล็งมายังคอของเขาอีกครั้ง ก่อนจะออกแรงส่งดาบใหญ่สีดำสับฟันลากไปตามความโค้งของคมเคียวจนเกิดเป็นประกายไฟ และมุ่งตรงไปยังมือที่ถืออาวุธอยู่ของคนพายเรือ
คนพายเรือคำรามร้องออกมาหนึ่งครั้ง เขาปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากด้ามเคียวไปคว้าจับใบดาบของอี้ฝาน
ทว่าเขาก็ต้องกรีดร้องออกมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากโดนพลังสีม่วงกัดกร่อนผิวหนังจนเน่าสลาย ตามมาด้วยเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ฉวยโอกาสพุ่งเข้าใส่ในยามที่เขาเปิดช่องว่าง
คนพายเรือทิ้งเคียวลงทันที จากนั้นก็ใช้มือคว้าเถาวัลย์มาฉีกกระชากออกจากกันอย่างง่ายดาย ทว่าไม่ว่าจะทำลายไปเท่าใด เถาวัลย์เหล่านี้ก็งอกขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รู้จบ
อี้ฝานดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงพลันลุกไหม้ขึ้นมาบนเถาวัลย์ทันที กลายเป็นเส้นไฟพุ่งเข้าใส่ร่างของคนพายเรือ จากนั้นก็เกิดเป็นการระเบิดอย่างรุนแรง
คนพายเรือส่งเสียงกรีดร้อง พลังลึกลับพุ่งเข้ามาฟื้นฟูและรักษาบาดแผลของเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างของคนพายเรือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่าต้นไม้อย่างเจ้าจะไม่เก่งด้านการต่อสู้นะ”
อี้ฝานเค้นเสียงหัวเราะเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“สู้ไม่เก่งแล้วจะทำไม?”
ประกายแสงจากพฤกษาศักดิ์สิทธิ์สว่างวาบขึ้นมาในแววตาของคนพายเรือเพียงชั่วขณะหนึ่ง
“ข้าถือกำเนิดมาเนิ่นนานเกินกว่าที่เจ้าจะคาดคิด สะสมพลังข้ามผ่านยุคสมัยมานับไม่ถ้วน แม้ว่าข้าจะไม่เก่งกาจในการต่อสู้เท่าเจ้า ทว่าข้าก็สามารถใช้พลังบดขยี้เจ้าได้ ด้วยพรจากข้า สาวกผู้นี้จะเป็นอมตะ และสามารถสังหารเจ้าได้ด้วย!”
“เช่นนั้น…”
นักรบผมขาวพลันยกดาบสีดำขึ้นมา
“มาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายฆ่าใคร!”
…
“เกิดอะไรขึ้น?”
ด้านในสุสาน คนแคระฮั่วฉีหอบหิ้วข้าวของทั้งหมดวิ่งออกจากสุสานขึ้นไปยังลานจัตุรัส
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะออกมา แต่เป็นเพราะชั้นใต้ดินเริ่มส่งสัญญาณของการพังทลาย เขาจึงต้องรีบวิ่งออกมา
หลังจากฮั่วฉีออกมาได้ไม่นาน จั้วซีเอ๋อร์ก็รีบตามออกมาภายใต้การคุ้มครองของหลายหยา
หลังจากพวกนางออกมา สุสานด้านใต้ก็พังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วถูกความมืดอันน่าสะพรึงกลัวกลืนกินเข้าไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใด!
“ดูเหมือนว่า ท่านนักรบจะทำสำเร็จแล้ว”
อวี่ฝูที่นั่งอยู่ในลานวงกลมตั้งแต่แรกมองมาที่พวกนางแล้วกล่าวออกมาเสียงเบา
“แสงสุดท้ายบนโลกใบนี้ได้มอดดับลงไปแล้ว!”
“นี่มัน…”
ฮั่วฉีมองไปรอบ ๆ
“นี่คือวันโลกาวินาศหรือ?”
อวี่ฝูพยักหน้า
“โลกใบนี้กำลังจะถึงคราวดับสูญ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ฮั่วฉีก็วางข้าวของทั้งหมดที่หอบหิ้วอยู่ จากนั้นก็โยนศิลาแดงเข้าไปในเตา! ใช้พลังไฟจากมันเพื่อเริ่มทำการตีเหล็ก!
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”
หลายหยามองเขาด้วยความสงสัย
“ตีเหล็ก”
ฮั่วฉีตอบกลับมาสองคำ
“ในเมื่อกำลังจะต้องตายแล้ว ก่อนจะตาย ข้าก็ต้องการจะทำในสิ่งที่ข้าชอบ!”
“อย่าตื่นตระหนกไปเลย…”
อวี่ฝูประสานมือเข้าด้วยกัน ทำท่าทางราวกับกำลังอธิษฐาน
แสงสว่างที่นุ่มนวลราวกับแสงจันทราแผ่ออกมาจากร่างของนาง และโอบล้อมลานจัตุรัสขนาดเล็กเอาไว้
“ข้ายังสามารถรักษาที่แห่งนี้เอาไว้ได้สักพัก อย่างน้อยพวกเราก็ต้องรอให้ท่านนักรบกลับมา เพื่อเผชิญหน้ากับจุดจบไปด้วยกัน”
“ความสัมพันธ์ของพวกท่านชวนให้รู้สึกอิจฉาเสียจริง”
จั้วซีเอ๋อร์ยกกระโปรงของตนขึ้นมาก่อนจะนั่งลงข้างอวี่ฝู แล้วมองไปยังความมืดอันไร้ขอบเขตที่อยู่ภายนอก
“เขายังจะกลับมาที่นี่ใช่หรือไม่?”
นางกล่าวถามออกมา
“เขาสัญญากับข้าไว้แล้ว” อวี่ฝูตอบกลับ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา”
…
ซากปรักหักพังส่วนสุดท้ายของเมืองหลวงหมิงกวงและวังเทวาลัยถูกความมืดกลืนกินลงไป
ทว่าการต่อสู้ของอี้ฝานและคนพายเรือยังคงดำเนินต่อไป ใต้บาทาของพวกเขามีพลังห่อหุ้มเอาไว้ต้านทานการกัดเซาะและเสื่อมสลาย ทั้งสองดั่งกำลังเข้าต่อสู้โรมรันกัน
ทักษะการต่อสู้ของจิตวิญญาณแห่งพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบงำจิตวิญญาณของคนพายเรือนั้นด้อยกว่าอี้ฝานอยู่มาก ในการปะทะกันอย่างดุเดือด แขนและขาของเขาถูกนักรบผมขาวตัดขาดออกไปหลายครั้ง แต่ด้วยพลังจากพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ทำให้แขนขาได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ ทั้งยังแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เมื่อต่อสู้ไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ กดดันอี้ฝานได้ด้วยพลังของตน ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ยอมรับชะตากรรมซะ! นักรบ!”
เขาใช้เคียวกดอี้ฝานให้คุกเข่าลงข้างหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะพร้อมกล่าวต่อไปว่า
“ตอนนี้พลังในร่างนี้ของข้าอยู่เหนือกว่าเจ้าแล้ว ทุกครั้งที่ร่างกายนี้ถูกเจ้าทำลาย ยิ่งสร้างใหม่ก็ยิ่งสามารถรองรับพลังของข้าได้มากขึ้น”
“งั้นหรือ? ข้ายอมรับว่าพลังของเจ้าอยู่เหนือกว่าข้าจริง ๆ แต่ความเข้าใจและทักษะการต่อสู้ของเจ้านั้นเข้าขั้นย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง”
อี้ฝานเค้นแรงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง
“หากปราศจากร่างของสาวกผู้นี้ เจ้าคงจะไร้หนทางต่อต้านสินะ?”
“แล้วอย่างไร?”
คนพายเรือมองลงมาที่อีกฝ่าย
“ดูเจ้าตอนนี้เสียสิ ยังคิดว่าจะสามารถทำลายร่างกายของข้าได้อีกหรือ? ….หือ?”
ทันใดนั้นก็พลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จิตวิญญาณของคนพายเรือคล้ายถูกสั่นคลอนด้วยพลังบางอย่าง
“ไม่! เจ้าทำอะไรลงไป?”
“มันคือความตาย”
เมื่อพลังที่กดอยู่เหนือหัวเขาค่อย ๆ อ่อนแรงลง อี้ฝานก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
เขาชี้ไปที่คนพายเรือแล้วพูดว่า
“จำได้หรือไม่? ตอนที่ข้าตัดแขนขาของเจ้า พลังแห่งความตายของข้าได้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเจ้าผ่านบาดแผล เจ้าสามารถอยู่ยงข้ามยุคสมัยและการดับสลายได้! แต่สาวกของเจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้!! เขาอาศัยพลังที่เจ้ามอบให้เพื่ออยู่รอดจากการดับสลายและมีชีวิตอยู่รอดผ่านยุคแล้วยุคเล่า ทว่าตัวเขาเองไม่มีพลังเช่นนี้อยู่ ดังนั้นจึงไม่อาจต้านทานการกัดกร่อนจากความตายได้ ทำให้จิตวิญญาณของเขาถูกขับออกจากร่าง แน่นอนว่าจิตวิญญาณของเจ้าที่ผูกติดอยู่กับเขาก็ต้องลงเอยเช่นเดียวกัน”
ครั้นกล่าวจบ พลังแห่งความตายสีม่วงก็พุ่งออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายคนพายเรือ ควันเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นวิญญาณสองดวง หนึ่งเล็ก หนึ่งใหญ่
วิญญาณดวงใหญ่หลุดพ้นออกจากพลังแห่งความตายอย่างรวดเร็ว หมายจะกลับคืนสู่ร่างเดิมที่ออกมา ทว่าอี้ฝานก็เตะร่างของคนพายเรือลงไปในความมืดแห่งการดับสลาย
“ไม่!”
จิตวิญญาณของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ร้องออกมาเสียงดัง แต่มันก็ทำได้เพียงเฝ้าดูร่างของคนพายเรือจมหายลงไปอย่างสิ้นหวัง!
“คราวนี้ก็เป็นตาของเจ้าแล้ว”
อี้ฝานถือดาบใหญ่เดินตรงไปยังใต้พฤกษาศักดิ์สิทธิ์
“นักรบเอ๋ย!”
จิตวิญญาณของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์เชื่อมเข้ากับเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอ่ยร้องขอความเมตตา
“พวกเรามาพูดคุยกันดี ๆ เถอะ!!”
อี้ฝานไม่สนใจ ทั้งยังเหวี่ยงดาบสับฟันลำต้นของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์
ตู้ม!
“เจ้าตัดข้าไม่ได้หรอก!”
ตู้ม!
“ข้าขอสาปแช่งเจ้า สาปแช่งให้เจ้าไม่ตายดี!”
ตู้ม!
“ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วย!”
อี้ฝานตัดลำต้นของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์โดยไม่สนใจคำพูดต่าง ๆ ของมัน จนกระทั่งเสียงของจิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ค่อย ๆ เงียบลง
เขาทำตามคำพูดของตัวเอง ใช้ดาบใหญ่ฟันลำต้นของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเรือลำใหญ่ จากนั้นก็หยิบเคียวที่ถูกคนพายเรือทิ้งไว้ในเรือลำเล็กขึ้นมา
หลังจากสูญเสียพลังจากพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เคียวก็กลับสภาพกลายมาเป็นไม้พายอีกครั้ง อี้ฝานสัมผัสมันแล้วเกิดความคุ้นเคยขึ้นมาเล็กน้อย คาดว่าไม้พายนี้น่าจะสร้างมาจากกิ่งก้านของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์
สุดท้ายแล้ว นักรบผมขาวก็พายเรือมุ่งหน้าไปยังสุสาน
…
ภายในสุสาน แสงม่านพลังป้องกันของอวี่ฝูเริ่มริบหรี่ลงแล้ว
“มันจบแล้ว”
ฮั่วฉีถอนหายใจออกมาขณะที่ยังคงกวัดแกว่งค้อนตีเหล็กต่อไป มีความฝืนใจในแววตาของเขา ทว่าความปล่อยวางนั้นมีมากกว่า
จั้วซีเอ๋อร์พิงไหล่ของนักรบองครักษ์ นางและหลายหยาเอนตัวเข้าหากันแนบชิด
อวี่ฝูยังคงอยู่ในท่าคล้ายสวดภาวนา ทว่าทันใดนั้น นางก็เอามือลง …แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จั้วซีเอ๋อร์ หลายหยา และฮั่วฉีก็มองตามไปเช่นกัน จนได้พบกับเรือลำใหญ่ที่ค่อย ๆ ล่องออกมาจากความมืดมิดและมุ่งหน้ามาทางพวกเขา
เรือลำใหญ่จอดลงข้าง ๆ ลานทรงกลม ตามมาด้วยคนผู้หนึ่งที่กระโดดลงจากเรือและทะลุม่านพลังเข้ามา… คนผู้นั้นคืออี้ฝาน
“ยินดีต้อนรับกลับมา ท่านนักรบ”
อวี่ฝูยิ้มออกมาด้วยความสุขระคนโล่งใจ
“ข้ากลับมาแล้ว”
อี้ฝานจับมือแล้วค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมหน้าของนางออก
เขามองไปยังใบหน้างดงามของอวี่ฝู จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้านำเรือมาแล้ว ทุกคนขึ้นเรือเถอะ”
“เรือลำนี้จะไปที่ใด?”
ฮั่วฉีมองเรือแล้วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้ บางทีมันอาจจะพาพวกเราไปสู่โลกใบใหม่”
อี้ฝานกล่าวตอบ
“พวกเจ้าต้องการจะขึ้นเรือหรือไม่?”
“มาถึงเวลานี้แล้ว บางทีจบลงแบบนี้ก็ไม่เลว”
ฮั่วฉีเก็บสัมภาระของเขาอีกครั้ง จากนั้นจึงกระโดดขึ้นเรือก่อนใคร
จั้วซีเอ๋อร์และหลายหยามองหน้ากันก่อนจะเดินขึ้นเรือ ตามด้วยอี้ฝานที่จับมืออวี่ฝูและพานางขึ้นไปนั่งบนเรือ แล้วจึงหยิบไม้พายขึ้นมาเริ่มออกเรือไปบนสายธารสีดำ
ขณะที่พวกเขากำลังล่องเรือ ท่ามกลางความมืดมิดก็ปรากฏบางสิ่งที่ดูแปลกประหลาด
บนนภาปรากฏแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นจากพลังงานส่องแสงประกายระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วน และยังเชื่อมต่อเข้ากับธารน้ำสีดำ
แม่น้ำที่เราเรียกกันว่า ‘สายธารแห่งความว่างเปล่า’
“นั่นคืออะไร?”
จั้วซีเอ๋อร์และหลายหยาพึมพำออกมา
“ไม่รู้ พวกเราลองเข้าไปดูเสียหน่อย” อี้ฝานพายเรือเข้าไปตรงจุดนั้น ทว่าดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้อย่างกะทันหัน จึงวางไม้พายลงแล้วหันไปมองอวี่ฝูที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“อวี่ฝู ข้ามีของขวัญบางอย่างจะมอบให้เจ้า”
เขาเคลื่อนไปอยู่ด้านหลังของหญิงสาว ก่อนจะใช้ฝ่ามือปิดตาทั้งสองข้างของนาง แสงสีขาวพลันสว่างวาบ จากนั้นอี้ฝานจึงปล่อยมือออก เปลือกตาของอวี่ฝูสั่นไหวก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น… เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ดูราวกับมีดวงดาราเปล่งประกาย
“งดงามจริง ๆ”
จั้วซีเอ๋อร์และหลายหยามองดวงตาคู่นั้นด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ใช่แล้ว”
อวี่ฝูมองไปยังสายธารบนท้องฟ้าก่อนจะพึมพำออกมา
“งดงามจริง ๆ”
สายธารที่เชื่อมต่อออกไปนอกโลกทอดยาวออกไปไม่รู้จบ รายล้อมไปด้วย ‘โลกวัตถุ’ อื่น ๆ อีกมากมาย
ใครจะรู้… ในโลกวัตถุที่แสนห่างไกล
ข้ามผ่านสายธารที่มีดวงดาราพร่างพรายนั้น
อาจมีเผ่าพันธุ์มากมาย และความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่…
เหล่าผู้ที่ผจญภัยไปในห้วงแห่งความว่างเปล่า
นักรบผมขาว และบรรพชนเซียนเอ๋ย
ขอให้มีความสุขกับการเดินทาง…