ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 67 ท่านอาจารย์เว่ยเฉิน
“ท่านอาจารย์ จะพาข้าไปที่ใด?”
ทิวทัศน์รอบด้านผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ถังรั่วเวยมองไป๋ชิวหรานที่ดึงแขนนางไว้แล้วถามออกไป
หลังจากได้รับจดหมายจากท่านเจ้าสํานัก ไป๋ชิวหรานวิ่งลงเขาด้วยสีหน้ามืดมน ไม่กี่วันก็กลับมา ตรงไปที่สำนักกระบี่ชิงหมิงเพื่อพูดคุยกับท่านเจ้าสํานักและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก่อนจะพบหญิงสาวแล้วลากลงเขาโดยไม่พูดพร่ำทําเพลง
เมื่อดูจากทิศทางที่นำไป ปลายทางของไป๋ชิวหรานน่าจะเป็นรัฐชิงโจวที่อยู่ติดกันกับกู่โจว
“จะพาข้าไปที่ไหน?”
ไป๋ชิวหรานยังคงเดินต่อไป
“ข้าจะพาเจ้าไปศึกษาต่อ… ไม่สนใจเล่าเรียน?”
“เอ่อ… ท่านจะพาข้าไปเรียนรู้อะไรหรือ?”
ถังรั่วเวยถาม
“สองวันมานี้ท่านมีเรื่องด่วนไม่ใช่หรือ?”
“มีเหตุฉุกเฉิน แต่นี่เป็นโอกาสอันดี คราวนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาศาสตร์เหล่านี้ เจ้าต้องไปเรียนและช่วยเขา”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“ถึงแล้ว”
ฝีเท้าของเขาช้าลง ถังรั่วเวยเงยหน้าพบว่า เบื้องหน้าเป็นภูเขาสูงตระหง่าน ด้านบนสุดของภูเขาเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีลาวาพ่นออกมาจากด้านในไม่หยุด ไหลลงมาตามเชิงเขา ฝุ่นควันที่พ่นออกมาจากส่วนยอดปกคลุมท้องฟ้าจนเมฆสลัว
อันตรายไม่ได้มีแค่ลาวาเท่านั้น แต่ฝุ่นควันที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟมีผลต่อระบบทางเดินหายใจมนุษย์เช่นกัน หากไม่ใช่ผู้ฝึกตน คนธรรมดาคงไม่สามารถอยู่รอดได้ในละแวกนี้
อย่างไรก็ตาม ด้านหน้าของภูเขาไฟยังมีเส้นทางภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้น บันไดที่ทําจากโลหะสีดําที่สามารถลอยอยู่บนลาวาได้โดยไม่ละลาย ไป๋ชิวหรานพาถังรั่วเวยเดินขึ้นบันไดไปตามเส้นทางภูเขา ผ่านประตูภูเขาที่มีคําว่า ‘สำนักเทียนอวี้’ ข้ามสะพานที่ทําจากโลหะสีดําที่ดูคล้ายสายพานหลายเส้นไปยังกระท่อมหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นบนทะเลสาบลาวาภูเขาไฟ!
อาจเป็นเพราะได้รับการบอกล่าวมาล่วงหน้า ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง ไป๋ชิวหรานชี้ไปที่คนผู้นั้นพร้อมแนะนําถังรั่วเวย
“นี่คือผู้อาวุโสฉีจากสํานักเสวียนฝ่า เชี่ยวชาญด้านการทําแผนที่ ค่ายกล ปรากฏการณ์แห่งสวรรค์ ชีพจรปฐพี และวิชาอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นผู้เชี่ยวชาญการวิจัยในด้านนี้”
ว่าจบจึงหันไปชี้หน้าถังรั่วเวยพร้อมแนะนําผู้อาวุโสฉี
“ผู้อาวุโสฉี นี่คือศิษย์สมองน้อยของข้า แม้การบ่มเพาะจะไม่ดีนัก แต่ในหัวยังหลงเหลือความฉลาดอยู่บ้าง ท่านใช้นางเป็นแรงงานที่ดีได้ หรือจะพานางไปไหนด้วยก็ได้หากท่านสะดวก”
ได้ยินดังนั้นถังรั่วเวยจึงมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นที่ไป๋ชิวหรานที่หาอาจารย์ให้ นางรีบคารวะผู้อาวุโสฉีทันที
“ข้าน้อยถังรั่วเวย ขอคารวะท่านผู้อาวุโสฉี”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ”
ผู้อาวุโสฉีมองอย่างไม่ใส่ใจแล้วกล่าวต่อ
“ไม่เคยคิดเลยว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะรับศิษย์… แต่นั่นก็ดี บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงผู้นี้มีบุญคุณต่อสํานักเสวียนฝ่ามาก พอดีข้ามาศึกษาและวิเคราะห์กฎการทํางานของเมืองโบราณ ต้องใช้กําลังคน เจ้ามาช่วยข้าเถิด บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว… คงต้องขอตัวก่อน”
ท่าทางของเขาดูเร่งรีบ มองกลับไปกลับมาระหว่างพูดคุยกับไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย ราวกับในห้องมีสตรีงดงามดุจเทพธิดาซ่อนอยู่ บางทีสำนักเสวียนฝ่า… ความปรารถนาสนองความใคร่รู้อาจจะต้องเหนือกว่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ไป๋ชิวหรานอดยิ้มไม่ได้จึงหันมาพูดกับถังรั่วเวย
“เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แล้วห้ามวิ่งไปทั่ว ฟังคําสั่งของผู้อาวุโสฉี เข้าใจหรือไม่?”
“ปฏิบัติตามแผนเดิม เข้าใจหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ชิวหรานที่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถังรั่วเวยจึงรีบพยักหน้าอย่างว่าง่าย ครั้งนี้ไม่ได้พูดจาเหลวไหลใส่อีก
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับผู้อาวุโสฉี
“ข้ารบกวนท่านมามากแล้ว เชิญเถิด”
หลังจากทิ้งถังรั่วเวยไว้ในสำนักเทียนอวี้ให้ช่วยเหลือผู้อาวุโสฉีและคนอื่น ๆ ในสํานักเสวียนฝ่า ไป๋ชิวหรานจึงขอตัวก่อนและมุ่งหน้าไปหนานหลิงในรัฐชิงโจว
เดิมทีชิงโจวมีเพียงรัฐเดียว ชื่อว่ารัฐซ่างหลิง แต่เมื่อไป๋ชิวหรานอายุได้สองพันปีก็เกิดการแยกตัวออก กลายเป็นสี่รัฐ โดยรัฐหนานหลิงอยู่ทางตอนใต้สุดของชิงโจว ที่นั่นท่านอาจารย์เว่ยเฉิน ตัวแทนจากสำนักพุทธเทียนเซิ่งกําลังรอไป๋ชิวหรานพร้อมทั้งคนอื่น ๆ ให้มารวมตัวกัน
หลังจากหารือในวันนั้น บรรดาสํานักใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงกันแล้ว ตอนที่แต่ละสํานักเปิดเครือข่ายข่าวกรอง ส่งคนไปแจ้งสํานักพุทธเทียนเซิ่ง ระหว่างทางมา ท่านอาจารย์เว่ยเฉินและคนอื่น ๆ เริ่มสังเกตร่องรอยของเมืองโบราณแห่งนั้นแล้ว ผลปรากฏว่าพบเบาะแสใกล้รัฐหนานหลิงจริง ดังนั้นจึงส่งข้อความมาว่า ตนหยุดอยู่ที่รัฐหนานหลิงเนื่องจากพบร่องรอยพร้อมรอให้คนอื่นมารวมตัวกัน
ตามข้อความจากท่านอาจารย์เว่ยเฉิน ไป๋ชิวหรานจึงวิ่งไปยังสถานที่นัดพบทันที ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ห่างจากเมืองใกล้เคียงพอสมควร เนื่องจากสัตว์ป่าในละแวกนี้มีมาก ชาวบ้านจึงไม่ค่อยไปบริเวณนั้น การจะติดต่อกับทางการจึงน้อยมาก เพราะเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีของหนานหลิงจะมาที่นี่ก็ต่อเมื่อเก็บภาษีรายปี ดังนั้นการปรากฏตัวของเมืองโบราณในครั้งนี้ จึงไม่เกิดข่าวคราวใดในละแวกนั้น
ไป๋ชิวหรานมาถึงนอกหมู่บ้าน พบว่าควันไฟในหมู่บ้านจางหายไปแล้ว มีเพียงศิษย์สำนักพุทธเทียนเซิ่งเท่านั้นที่เดินไปมา ศิษย์เหล่านี้ที่แท้แล้วต่างละทางโลก พวกเขาสวมจีวร ส่วนศีรษะเปลือยเปล่า… ซึ่งทุกคนต่างพอใจกับมัน
ท่านอาจารย์เว่ยเฉินแห่งสำนักพุทธเทียนเซิ่งที่นําคณะมา ขณะนี้พวกเขานั่งสมาธิอยู่ใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของไป๋ชิวหรานจึงลุกขึ้นยืนต้อนรับ
แม้ท่านอาจารย์เว่ยเฉินจะมีฉายาว่าพระอาจารย์ แต่ดูไม่เหมือนพระที่ปฏิบัติธรรมเลย ศีรษะแบนราบมีเส้นผมบางเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อหนัง ดูแล้วเป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าใด ชุดพระตัวใหญ่แน่นขนัดไปด้วยกล้ามเนื้อจนนูนออกมา
ท่านอาจารย์ท่านนี้เคยให้คนจารึกพระไตรปิฎกที่ร่ำเรียนมา แปลงเป็นรอยสักรูปพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติธรรมตามร่างกาย เมื่อมองไปเห็นพระพุทธรูป ราวกับความโกรธพวยพุ่งออกมาจากแขนของเขา ส่งให้ภาพลักษณ์ดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม ดู ๆ ไปแล้วเหมือนตัวร้ายในยุทธภพที่รอคนมาปราบ
“ยินดีต้อนรับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
เมื่อมาถึง ก่อนที่ไป๋ชิวหรานจะเข้ามาใกล้ ชายคนนี้ก็ยกมือขึ้นทําความเคารพไป๋ชิวหรานด้วยมือเดียว
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเว่ยเฉิน”
ไป๋ชิวหรานส่งยิ้มให้
“แค่ทักทายก็พอแล้ว สถานการณ์ที่นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่จําเป็นต้องยึดติดกับมารยาทนัก… แล้วสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“อือ”
ท่านอาจารย์เว่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อยกับไป๋ชิวหราน ราวกับว่ากําลังโค้งคํานับพี่ใหญ่ เมื่อได้ยินคําพูดของไป๋ชิวหราน จึงนำพาไป๋ชิวหรานไปยังหมู่บ้านพร้อมกล่าว
“เรื่องเป็นเช่นนี้ ระหว่างทางมา พวกเราทําตามจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า ตลอดทางที่บําเพ็ญเพียร… ได้รับแจ้งจากพวกเจ้า ซึ่งในระหว่างทางได้ยินว่าที่นี่เกิดเรื่องประหลาดขึ้น จึงพาศิษย์มาดูแล้วพบกับนายพรานคนหนึ่ง เขาบอกว่าเห็นเมืองในแม่น้ำบนหน้าผา ข้าจึงพาลูกศิษย์มาที่นี่ แต่ไม่พบใครในหมู่บ้านนี้เลย”