ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 69 หลีจิ่นเหยา
ณ สำนักเทียนอวี้ ภายในกระท่อม
ถังรั่วเวยที่ยุ่งทั้งวันเดินออกมาจากห้องพร้อมกับคนอื่น ๆ นางบิดขี้เกียจเหยียดมือออกไปทางท้องฟ้าที่มืดมิดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ
จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นกํามะถัน แต่เมื่อเทียบกับความยุ่งตลอดทั้งวันแล้ว ช่วงเวลานี้ค่อนข้างผ่อนคลายลงอย่างมาก หลังจากได้ใช้ความคิดอย่างหนักตลอดทั้งวันแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกว่าสมองของนางกําลังเหนื่อยล้าเต็มที
นางนวดคลึงขมับไปมา เตรียมจะกลับเข้าที่พัก แม้วันนี้จะทำเพียงช่วยคาดการณ์และคํานวณทุกอย่างภายใต้การบัญชาการของผู้อาวุโสฉีแห่งสำนักเสวียนฝ่า หากแต่ทักษะของสำนักเสวียนฝ่าก็ทําให้ถังรั่วเวยได้รับความรู้กับประโยชน์มากมายทีเดียว ดังนั้นความเหนื่อยยากที่เสียไปจึงนับว่าคุ้มค่า
นางเพิ่งหันกายเดินไปยังที่พักซึ่งจัดโดยสำนักเทียนอวี้ พลันเสียงเด็กสาวก็ดังมาจากด้านหลัง
“สวัสดี ศิษย์น้องจากสำนักกระบี่ชิงหมิง”
ถังรั่วเวยหันมองอย่างประหลาดใจ คนที่ปรากฏตัวตรงหน้านางคือหญิงงาม สวมชุดกระโปรงยาวสีแดงสด คิ้วสวยราวกับภาพวาด ผมดําขลับ รูปร่างสูงโปร่งออกท้วมเล็กน้อย…ทว่าไม่ได้โดดเด่นอะไร รูปร่างของหญิงสาวรับกับใบหน้าของนางอย่างดี ถึงจะไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนซูเซียงเสวี่ย แต่ก็งดงามมาก ถังรั่วเวยจึงรู้สึกสนิทสนมราวกับโตมาด้วยกัน
ถังรั่วเวยมองหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็ทักทายแล้วพูดอย่างลังเล
“พี่สาว… ท่านคือ?”
“ข้าเป็นศิษย์สํานักอสูรสวรรค์ มาช่วยพวกเขาเช่นเดียวกับเจ้า มีนามว่าหลีจิ่นเหยา”
หญิงสาวแนะนําตัวกับถังรั่วเวยอย่างอ่อนโยน
“ข้าลองสังเกตดูแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ช่วยในครั้งนี้จะมีเพียงเราสองคนที่เป็นหญิง ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนเป็นชาย…จึงอยากมาทักทายทำความรู้จักกับเจ้าไว้”
“สวัสดีศิษย์พี่!”
บางทีอาจเป็นเพราะหวงฝู่เฟิง ประมุขแห่งสำนักอสูรสวรรค์ที่มอบความรู้สึกปลอดภัยแก่ถังรั่วเวย กระทั่งได้ยินว่าหญิงผู้นี้มาจากสำนักอสูรสวรรค์ ถังรั่วเว่ยจึงไม่ได้ตอบสนองอะไรและทำเพียงแนะนําตัวกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
“สวัสดีศิษย์พี่หลี ข้าถังรั่วเวยจากสํานักกระบี่ชิงหมิง ปีนี้…อายุยี่สิบสี่ปี อยู่ในขั้นสร้างรากฐาน”
การบําเพ็ญเพียรไม่บอกวันเวลา ถังรั่วเวยจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปีนี้อายุเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะเข้าเป็นศิษย์สํานักกระบี่ชิงหมิง ในรัฐซ่างหลิง อายุเท่านี้เกรงว่าคงเป็นมารดาลูกสองไปแล้ว…
“อายุยี่สิบสี่ปี อยู่ในขั้นสร้างรากฐานงั้นหรือ?”
ดวงตาหลีจิ่นเหยาฉายแววสนิทสนมขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางยิ้มพลางกล่าว
“การที่ศิษย์น้องก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่นั้นคงจะเทียบเคียงกับข้าได้ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหญิงจะไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา อาจารย์เจ้าคงภูมิใจไม่น้อย”
“ใช่แล้ว… ไม่ธรรมดาเลย”
ถังรั่วเวยพูดด้วยสายตาที่พร่ามัว
“สำนักกระบี่ชิงหมิง ไม่สิ… ควรจะบอกว่าในห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมทั้งหมด เกรงว่ามีเพียงข้าที่เป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน ขณะที่อาจาร์ยข้าอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณ…”
“กลั่นลมปราณ…”
หลีจิ่นเหยาตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความประหลาดใจ
“หรือว่าอาจารย์ของศิษย์น้องรั่วเวยจะเป็นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
ถังรั่วเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ถึงอย่างไร ประมุขแห่งสํานักอสูรสวรรค์ที่พบเจอก่อนหน้านี้ก็เรียกเขาเช่นนี้…ศิษย์พี่หลีรู้จักด้วยหรือ?”
“ฮ่า ๆ ในพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร พวกเราไม่มีทางไม่รู้จักบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงหรอก คงจะมีเพียงสํานักที่ไม่เข้าขั้นดีเท่านั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความปลอดภัย เมื่อศิษย์สำนักฝ่ายมารทุกคนเข้าสํานัก สิ่งแรกที่ได้เรียนรู้คือบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ศิษย์สำนักฝ่ายมารจึงมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ”
หลีจิ่นเหยายิ้ม
“ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เข้าสํานักมา ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าตั้งบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นเป้าหมาย หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถก้าวข้ามเขาได้”
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่หญิงจะมีพรสวรรค์มาก”
ถังรั่วเวยถามอย่างสงสัย
“ศิษย์พี่หญิง ท่านคิดว่าในอนาคตจะสามารถก้าวข้ามอาจารย์ของข้าได้หรือไม่?”
“คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากไม่ได้ฝึกฝนอย่างจริงจังมานานแล้ว แต่หากเป็นเรื่องทำอาหาร ซักผ้า หรือดูแลเด็ก ข้าเก่งกว่าเขาแน่”
หลีจิ่นเหยายิ้ม
“ทําอาหาร ซักผ้า ดูแลเด็ก…”
ถังรั่วเวยพูดไม่ออก
“แต่หากเป็นพลังจิตใจหรือด้านอื่น ๆ …บางทีข้าอาจเอาชนะเขาได้”
หลีจิ่นเหยายิ้มแล้วพูดต่อ
“ถึงอย่างไร หลังจากอยู่ในขั้นสร้างรากฐานมานาน ที่ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ความหวังในการจะก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้นริบหรี่…ข้ารู้สึกว่าตัวเองทําไม่ได้ หากยังไม่บรรลุขั้นต่อไปในสองถึงสามปี บางทีอาจจะละทิ้งการบําเพ็ญเพียรแล้วกลับบ้านเกิดไปแต่งงานเสีย”
“แต่งงาน…”
ถังรั่วเวยตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีปฏิกิริยากลับมา
สองถึงสามปีหากไม่บรรลุขั้นต่อไปจะกลับบ้านเกิดไปแต่งงาน แต่ศิษย์คนนี้ยังอยู่ที่นี่ นั่นไม่ได้หมายความว่าตั้งแต่เริ่มบําเพ็ญเพียรจนถึงตอนนี้…ไม่เคยติดอยู่ในขอบเขตอื่นมาก่อนเลยหรือ?
ถังรั่วเวยยังสัมผัสพลังปราณในร่างของศิษย์พี่ตรงหน้าที่มั่นคงและแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าฝึกทุกย่างก้าวจนสําเร็จ
เช่นเดียวกับอาจารย์ของนางซึ่งเปรียบดั่งสัตว์ประหลาดอีกตัว!
นางแอบตกใจ
แต่หลีจิ่นเหยากลับไม่มีปฏิกิริยาใด นางได้ยินถังรั่วเวยพึมพํากับตัวเองจึงยิ้มและพยักหน้า
“ใช่แล้ว…แต่งงาน ไม่รู้สึกหรือว่าต้องหาบุรุษที่สมปรารถนามาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นทั้งสามีและสอนบุตร ดีกว่าฝึกบําเพ็ญเพียรเป็นเซียนมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ผู้ฝึกตนยังไม่รู้ว่าหลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้วทะยานขึ้นสู่สวรรค์ได้หรือไม่ จริงสิ พูดถึงเรื่องนี้… ศิษย์น้องรั่วเวย ข้าจะมีโอกาสได้พบบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงหรือไม่? “
“หา?”
ถังรั่วเหวยกล่าว
“ด้วยสถานะของศิษย์พี่หญิง ข้าไม่จําเป็นต้องพาไปท่านก็มีโอกาสเจอเขา…แต่อยากพบเพื่อสิ่งใดกัน?”
“เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นเป้าหมายของข้า”
หลีจิ่นเหยากะพริบตาตอบอย่างไม่ลังเล
“มาตรฐานแรกที่ตามหา ชายผู้นั้นต้องแข็งแกร่งกว่า ในอนาคตถึงจะปกป้องครอบครัวของเราได้ อีกทั้งขั้นพลังต้องไม่สูงนัก มิเช่นนั้นในอนาคตอาจจะทะยานขึ้นสู่ภพได้ หากปล่อยให้อยู่ในโลกมนุษย์เพียงลําพัง ข้าคงทําไม่ได้…คิดไปคิดมา มาตรฐานของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเหมาะเหม็งพอดี…แค่อยากเห็นน่ะว่าเหมาะสมหรือไม่”
“เอ่อ ไม่ นี่…”
ถังรั่วเวยไม่รู้จะตอบอย่างไร เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่คนนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ของสํานักอสูรสวรรค์ แต่คิดอยากจะแต่งงานทุกลมหายใจ พาลให้นึกถึงซูเซียงเสวี่ยประมุขแห่งสํานักเหอฮวนซึ่งยังเป็นสาวพรหมจารี
ผู้ฝึกตนแปลกขนาดนั้นเลยหรือ?
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจ ลืมไปทันทีว่าตนเองได้ฝึกฝนวิชาเพื่อท้าทายสวรรค์ ในสายตาของศิษย์ในสํานักกระบี่ชิงหมิงอดประหลาดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ถังรั่วเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ศิษย์พี่หลีมีแผนการเช่นนี้ หากท่านเจ้าสํานักอสูรสวรรค์รู้เข้า…คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“แน่นอนว่าไม่เห็นด้วย…แต่ไม่เป็นไร ไม่เกินสองร้อยปี อาจารย์ก็ไม่ใช่คู่มือของข้าแล้ว”
หลีจิ่นเหยายิ้มราวกับดอกไม้
“เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่างมากคงรังแกอาจารย์ ทําลายบรรพบุรุษ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้ฝึกตนฝ่ายมารอยู่แล้ว”
ถังรั่วเวยเห็นหลีจิ่นเหยายืนกรานจะพบ เธอก็นึกถึงไป๋ชิวหรานที่มักจะมีท่าทีน่ารําคาญก่อนจะตอบกลับไป
“เช่นนั้นก็ได้ อาจารย์ว่างเมื่อไหร่ ข้าจะแนะนําศิษย์พี่หญิงให้…แต่ขอบอกไว้ก่อน…ว่าปากของอาจารย์ผู้นั้นน่ารําคาญอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นอย่าลงไม้ลงมือเชียว ท่านสู้เขาไม่ได้แน่”