ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 70 เปิดเผยความคิด
บทที่ 70 เปิดเผยความคิด
หลังจากรวบรวมข้อมูลในหมู่บ้านบนภูเขาของรัฐหนานหลิงแล้ว ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ต่างแยกย้ายกันออกไป
ศิษย์บางคนของสำนักเทียนอวี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพื่อเฝ้าหมู่บ้าน ในขณะที่ศิษย์คนอื่น ๆ ต่างตามท่านอาจารย์เว่ยเฉินไปยังสำนักเทียนอวี้ ผู้อาวุโสจากนิกายอื่นกลับไปรับตําแหน่งของพวกเขา ในขณะที่ไป๋ชิวหรานจากไปตามลําพัง เขาเดินไปรอบเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเพื่อดูว่ามีข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไป๋ชิวหรานเดินวนอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบเมืองโบราณ หลังจากสังเกตพร้อมสรุปมาได้ระยะหนึ่ง ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารได้ร่วมมือกันรวบรวมกฎของการเคลื่อนไหวในเมืองโบราณขึ้น
ประการแรก ตามร่องรอยของเมืองโบราณที่พบ เมื่อผนวกกับช่วงที่ไป๋ชิวหรานและหวงฝู่เฟิงเห็นศิลาจารึกเปิดออก เมืองโบราณจะหายลับไปประมาณสามวัน
ประการที่สอง ทุกครั้งที่เมืองโบราณปรากฏขึ้นและหายไปจะมีหมอกหนาปกคลุมเสมอ
ประการที่สาม หลังจากที่เมืองโบราณหายไปพื้นที่บริเวณนั้นจะทิ้งวังวนปราณวิญญาณที่ไม่เลือนหายเป็นเวลานาน
ประการที่สี่ เมืองโบราณไม่ได้จํากัดอยู่แค่รัฐชิงโจวเท่านั้น แต่ทั่วทั้งเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินปรากฏร่องรอยของมัน แต่ด้วยรัฐชิงโจวเป็นแหล่งกําเนิด ยิ่งเมืองโบราณบังเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งมีการเคลื่อนไหวน้อยลงเท่านั้น
ประการที่ห้า เมืองโบราณใช้ระฆังเพื่อลักพาตัวผู้คน หากจํานวนคนใกล้เคียงถึงระดับหนึ่ง เมืองโบราณจะเปิดใช้งานและพยายามจะลักพาตัวคนเหล่านี้ แต่หากระฆังไม่เพียงพอที่จะจับจิตวิญญาณของเป้าหมาย เมืองโบราณจะปล่อยสัตว์ประหลาดมืดทะมึนออกโจมตีแล้วลักพาตัวเป้าหมาย เมืองโบราณดูเหมือนจะคอยควบคุมสัตว์ประหลาดแห่งความมืด ซึ่งในตอนนี้ยังไม่รู้วิธีการที่แน่นอน ไม่เคยพบเจอมาก่อนนอกจากเนื้อหาของหินที่ผู้อาวุโสหลิวทิ้งไว้
ตอนนี้ผู้คนในสํานักเสวียนฝ่าเริ่มทดลองกฎเหล่านี้ ดูว่าเพียงพอที่จะคาดการณ์ตำแหน่งต่อไปของเมืองโบราณได้หรือไม่ ไป๋ชิวหรานที่ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจึงกลับไปที่สำนักเทียนอวี้เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรสามารถช่วยได้ไหม
เขาช่วยคาดเดาได้ หากคนของสํานักเสวียนฝ่าคาดเดาได้จริง ความเร็วและความแข็งแกร่งของไป๋ชิวหรานในหมู่ทุกคนล้วนอยู่ในระดับสูงที่สุด การที่จะทดสอบคลื่นลูกแรกนับว่าเหมาะสมที่สุด
กว่าไป๋ชิวหรานจะมาถึงสำนักเทียนอวี้ ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว ศิษย์ที่ช่วยสํานักเสวียนฝ่าพลันเดินออกมาต้อนรับ ไม่นานเขาก็กลับมาถึงห้องทํางาน เพราะถังรั่วเวยออกตามหา อีกฝ่ายยังพาหญิงสาวที่ไม่รู้จักมาด้วย
ไป๋ชิวหรานมองหญิงสาวหน้าตาดีละม้ายคล้ายเด็กสาวข้างบ้าน ก่อนจะมองไปยังศิษย์ที่กำลังสำนึกผิด ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“นี่ รั่วเวย ทุกครั้งที่เราพบกัน เจ้าจะพาสาวสวยมาปรากฏต่อหน้าข้าเสมอ…เจ้านี่เกิดผิดเพศเสียจริง”
“อะไรหรือ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ถังรั่วเวยเบิกตากว้าง นางเข้าใจดีว่าท่านอาจารย์หมายถึงอะไร หลังจากแสร้งทําเป็นไม่รู้เรื่อง ก่อนจะกัดฟันกล่าว
“นี่คือศิษย์พี่หลีจิ่นเหยาจากสํานักอสูรสวรรค์ นางบอกข้าว่าอยากพบท่าน”
“หืม? หลีจิ่นเหยา?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไป๋ชิวหรานมองนางอย่างประหลาดใจ
“เจ้าคือกายอสูรสวรรค์ที่สำนักฝ่ายมารผนึกกําลังซ่อนไว้เมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่หรือ?”
“ท่านคือบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
หลีจิ่นเหยาไม่ได้ปฏิเสธ แต่มองไป๋ชิวหรานอย่างละเอียด
“อืม ดูแล้วไม่น่ารําคาญตาเลย”
“ท่านอาจารย์”
ตอนนั้นเอง ถังรั่วเวยที่ได้ยินทั้งสองคนคุยกันก็ถามขึ้น
“กายอสูรสวรรค์คืออะไร?”
“ในคัมภีร์โบราณของสำนักอสูรสวรรค์บันทึกไว้ว่า ‘ร่างกายระดับตํานานนั้นสูงกว่ารากวิญญาณขั้นสร้างรากฐานอีกระดับ หนึ่งขั้นเทียบเท่ากับรากฐานวิญญาณที่มีคุณสมบัติทั้งหมดของผู้ฝึกตนนอกรีต คนที่มีรากฐานวิญญาณเช่นนี้ แม้ว่าเคล็ดวิชาของสํานักอสูรสวรรค์จะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและไม่มีผลข้างเคียงใด…แต่ร่างกายนี้ปรากฏเฉพาะในคัมภีร์โบราณเท่านั้น ข่าวลือหายไปหลังจากยุคสมัยสิ้นสุดลง”
ไป๋ชิวหรานมองหลีจิ่นเหยาแล้วกล่าว
“และนางเป็นกายอสูรสวรรค์เพียงร่างเดียวที่ถือกําเนิดขึ้นในสามพันปีให้หลัง แล้วถูกสำนักฝ่ายมารผนึกเอาไว้ เพราะกลัวว่าห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมจะทราบ”
“เอ่อ แล้วท่านทราบได้อย่างไร?”
ถังรั่วเวยถามออกมาทันที
“ซูเซียงเสวี่ยบอกข้ามา”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“ข้าดื่มเป็นเพื่อนสองจอก พูดคุยไปสองสามประโยค คุยโม้ก็ดีใจแล้ว นางจึงบอกข้า”
ทร…ทรยศเสียจริง!
ตอนนี้แม้นางจะมีความรู้สึกดี ๆ ต่อซูเซียงเสวี่ย แต่ถังรั่วเวยก็อดตะโกนในใจไม่ได้
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า ท่านสํานักซูมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะบอกได้แม้กระทั่งข่าวนี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่ระวังท่านเลย”
หลีจิ่นเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าข้าจะไม่ทําร้าย”
ไป๋ชิวหรานมองหลีจิ่นเหยาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แต่ในเมื่อเจ้าเป็นกายอสูรสวรรค์ คงได้เรียนรู้ทักษะเงามายาของนางสินะ? เหตุใดจึงไม่เห็นผล?”
“เพราะปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย ข้าเก็บผลลัพธ์พิเศษได้”
หลีจิ่นเหยาพูด ทันใดนั้นเธอจึงขยิบตาซ้ายใส่ไป๋ชิวหราน
“ดูนี่สิ”
ทันใดนั้นร่างกายได้เผยเสน่ห์อันไร้ที่สิ้นสุด ถังรั่วเวยที่ไม่ทันตั้งตัวพลันใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ไป๋ชิวหรานยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์
“อืม…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หลังจากมองอ่านไปสองอึดใจ เขาก็ประเมิน
“นี่เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่ข้าเปลี่ยนมาเพื่อเก็บผลเสน่ห์ แต่พลังของเสน่ห์กลับลดลงไปหลายส่วน อีกอย่างการที่จะเก็บพลังทั้งหมดได้ก็เพราะร่างกาย นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะกับเจ้าเท่านั้น”
หลีจิ่นเหยาได้ยินดังนั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเจื่อน
“สมแล้วที่เป็นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าใช้เวลาสองปีในการเปลี่ยนเคล็ดวิชานี้จนสําเร็จ ท่านผู้อาวุโสมองออกตั้งแต่แรกเห็น แม้แต่อาจารย์ยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะมองออก”
“ข้าแค่มีชีวิตที่นานกว่าจี้หลิงอวิ๋นเท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าไม่เข้าใจ”
หลังจากที่หลีจิ่นเหยาเก็บเสน่ห์ได้แล้ว ถังรั่วเวยที่ได้สติกลับมาพลางส่ายหัวแล้วถาม
“ผลเสน่ห์อันน่าสยดสยองนี้มีผลข้างเคียงด้วยหรือ?”
“ไม่สามารถปล่อยวางได้ตามใจตัวเอง แน่นอนว่าเป็นผลข้างเคียง”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองศิษย์ของเขา
“เจ้าลองคิดดูสิ หากซูเซียงเสวี่ยหาชายไร้ซึ่งเสน่ห์ในอนาคต นางจะโดนสายตาจับจ้องทุกวัน ผู้ชายคนนั้นจะตายในเวลาไม่ถึงสองปี แต่งงานไม่มีห้องหอ เจ้าคิดว่านี่เป็นผลเสียหรือไม่?”
ถังรั่วเวยพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“เอาล่ะ เมื่อรู้แล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปทํางานเถอะ”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ
“ตอนนี้จะบอกว่านี่เป็นเรื่องโกหก รีบทํานายวิถีการเคลื่อนที่ของเมืองโบราณดูไหม ข้าเองก็ต้องคิดหาวิธี”
“พูดมาถึงจุดนี้ ที่จริงแล้วข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่”
หลีจิ่นเหยาพลันพูดขึ้นมา
“หืม? มีความคิดอันใดจะพูด ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกล่าว
“เชิญนั่งก่อนเถิดศิษย์พี่หลีจิ่นเหยา รั่วเวยอย่ามัวยืนโง่อยู่เลย”
“ขอบคุณมาก”
หลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยนั่งลงข้าง ๆ จากนั้นสาวน้อยจากสํานักอสูรสวรรค์จึงพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้เขามาช่วยผู้อาวุโสฉีที่สำนักเสวียนฝ่า แม้ว่าจะคอยระวังข้า แต่สายตาอันแหลมคมคู่นี้มองเห็นเบาะแสบางอย่าง สิ่งที่เขาคาดคะเน ดูเหมือนว่าเมืองโบราณนั้นอาศัยพลังชีพจรปฐพีเพื่อเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วิธีการทํางานเป็นวิชาหลบหนีซึ่งน่าจะหลอมรวมเข้ากับชีพจรปฐพี”
“อืม ความคิดนี้ไม่เลว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“การจะให้เมืองโบราณขนาดใหญ่นี้เคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ร่องรอย ต้องอาศัยพลังของชีพจรปฐพีถึงจะทําได้”
“แต่ไม่แน่ใจว่า บางสถานที่ที่เมืองโบราณปรากฏอาจไม่ได้อยู่เหนือจุดชีพจรปฐพี”
หลีจิ่นเหยาพูดต่อ
“ดังนั้นจึงคิดว่าเมืองโบราณจะใช้พลังอื่นหรือไม่ เพราะพลังที่โลกนี้สามารถใช้ได้นั้นไม่ได้มีเพียงชีพจรปฐพี…ยกตัวอย่างเช่น พลังแห่งดวงดาวที่ตรงข้ามกับชีพจรปฐพี บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคิดเห็นอย่างไร?”