ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 71 วัตถุประสงค์ของเซียนปฐพี
บทที่ 71 วัตถุประสงค์ของเซียนปฐพี
“พลังแห่งดวงดาว?”
ไป๋ชิวหรานก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบแผนที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินออกมาจากอกเสื้อแล้วกางออกบนโต๊ะ
บนแผนที่มีสัญลักษณ์รูปน้ำวนระบุสถานที่บางแห่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นสถานที่ที่เมืองโบราณเคยปรากฏมาก่อน
ไป๋ชิวหรานใช้พู่กันวาดแผนที่ดาราอย่างละเอียดที่ปรากฏขึ้นความทรงจำของตนเอง
หลีจิ่นเหยาเดินเข้ามาเช่นกัน ทั้งสองรีบเปรียบเทียบตําแหน่งของวังวนบนแผนที่กับภาพดวงดาววิญญาณกลางอากาศ
“ไม่ มันไม่ใช่ภาพดวงดาว”
หลีจิ่นเหยาผิดหวังเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าข้าเดาผิดไป”
“ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงการคาดเดาครั้งแรก”
ไป๋ชิวหรานปลอบใจ
“อย่างน้อยนี่ก็เป็นใบเปิดทาง แล้วเจ้าก็คิดถูก วิทยาการของเมืองโบราณมีมากกว่าที่เราคิดไว้มาก”
“อืม…”
ถังรั่วเวยจ้องแผนที่โดยไม่พูดจาพลันถามขึ้น
“ท่านอาจารย์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสถานที่เหล่านี้มีความพิเศษบางอย่าง?”
“หืม?”
ไป๋ชิวหรานตะลึงงัน
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็หมายความตามที่ท่านพูด เป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ? เมืองโบราณแห่งนี้มีวิทยาการที่โลกแห่งการฝึกตนยังไม่ทราบ ข้าจึงคิดว่า…บางทีมันอาจไม่ได้ย้ายมาเพราะพลังงานภายในไม่สามารถหาได้ ใช้พลังจากสวรรค์และโลกเพื่อเคลื่อนย้ายเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่าการที่เคลื่อนไปยังสถานที่เหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น…”
ถังรั่วเวยกล่าว
“อย่างเช่น ค่ายกล…”
ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยายังฟังไม่ทันจบ ทั้งสองเริ่มใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงวาดรูปแบบข่ายอาคมที่เป็นไปได้บนแผนที่ ทั้งสองลงมือพร้อมกันราวกับสายฟ้า แต่เนื่องจากประสบการณ์และความรู้เพียงมองตาก็เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง มิเพียงไปรบกวนฝีเท้าของอีกฝ่าย แต่ยังเติมเต็มความห่างเหินในความคิดของกันและกันอีกด้วย
ผังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนแผนที่ ปกคลุมไปทั่วเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
“นี่คือ…”
สีหน้าของหลีจิ่นเหยาเคร่งขรึมลง
“อือ แม้จะไม่ชัดเจนเป็นรูปธรรมนัก แต่ดูจากองค์ประกอบของอักขระและข่ายอาคมแล้ว นี่อาจเป็นค่ายกลที่ปลุกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้”
ไป๋ชิวหรานพึมพํา…
“รอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปตรวจสอบสักหน่อย”
พูดจบก็ลุกพรวดขึ้นยืนจนถึงขนาดที่หลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยมองไม่ทัน ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงเมืองโบราณที่อยู่ใกล้มากที่สุดในรัฐตงหลิงที่ซึ่งเมืองโบราณปรากฏครั้งแรก
เช่นเดียวกับที่อื่น หลังจากที่เมืองโบราณหายไป ที่นี่จะทิ้งวังวนปราณวิญญาณเอาไว้
ไป๋ชิวหรานเดินวนรอบวังวนนี้อยู่หนึ่งรอบ ทันใดนั้นก็ชักกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งออกมาจากถุงเก็บสมบัติแล้วตวัดกระบี่ฟันใส่อากาศ!
คราวนี้เก็บปราณกระบี่ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แสงสีขาวบนคมกระบี่เกือบจะก่อตัวเป็นรูปร่างให้เห็น เมื่อคมกระบี่เหล็กแตกละเอียดพลันปรากฏรอยแยกสีดําขึ้นกลางอากาศ
ไป๋ชิวหรานมองเห็นภาพด้านในได้สําเร็จ เมื่อมองผ่านรอยแยก ปราณวิญญาณจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังไหลทะลักเข้ามาก่อนจะรวมตัวกันเป็นหมอกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มีคนเปิดอีกมิติหนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบงัน ราวกับว่าแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปรากฏรูขยายกว้างแล้วพลังปราณโดยรอบต่างไหลเข้าสู่มิตินี้ผ่านรอยแยกเล็ก ๆ ทำให้เกิดเป็นวังวนปราณวิญญาณที่ไม่สลายหายไป
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นพื้นที่นี้ก็พูดกับตัวเอง
“ข้าเข้าใจแล้ว ทุกอย่างเชื่อมโยงกันแล้ว”
ไป๋ชิวหรานกลับมาที่ห้องของตัวเอง หลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยยังนั่งรออยู่ที่นี่ เมื่อเห็นเขากลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ถังรั่วเวยจึงรีบเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานได้สติแล้วยื่นมือไปลูบหัวถังรั่วเวย
“ต้องขอบคุณเจ้า ข้าเข้าใจแล้ว ถึงจุดประสงค์ของเมืองโบราณนั่น”
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลีจิ่นเหยาถามอย่างสงสัย
“นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจทีเดียว”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ข้าไปตรวจสอบสถานที่ที่เมืองโบราณปรากฏ วังวนปราณวิญญาณที่นั่นเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นมา ตรงกลางของวังวนมีรอยแยกของมิติที่ยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า พลังปราณได้ไหลผ่านรอยแยกเหล่านี้ไปแล้วรวมตัวกันอยู่ในมิติอื่น…คิดว่าที่อื่นก็เป็นเช่นนี้”
“นี่คือเนตรค่ายกล?”
หลีจิ่นเหยามองแผนที่
“เป็นเช่นนี้นี่เอง หากใช้มิติเล็กเช่นนี้สร้างค่ายกล ไม่แน่ว่าอาจจะปกคลุมเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินได้สำเร็จ”
“ใช่แล้ว ซึ่งจุดประสงค์ของค่ายกลนี้ จะปลุกอะไรขึ้นมากันแน่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ
“ตอนที่ข้ากับหวงฝู่เฟิงเห็นศิลาจารึกเปิดใช้งานในแดนรกร้าง จุดแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาหนาแน่นมาก ในเวลานั้นข้าคิดว่าสัญญาณเหล่านั้นคงตรงมาที่เมืองโบราณแห่งนี้ แต่เมื่อคิดดูแล้ว หากจุดแสงแต่ละจุดแสดงถึงเมืองที่คล้ายกับเมืองโบราณแห่งนี้…”
“สัตว์ประหลาดขั้นขอบเขตแกนทองคำไร้ที่สิ้นสุด”
หลีจิ่นเหยาตอบต่อ
“ตอนนี้ยังไม่ทราบจํานวนที่แน่ชัดของสัตว์ประหลาดที่ถูกปรับเปลี่ยน ซึ่งดูจากภาพสัตว์ประหลาดจํานวนมากที่ปรากฏขึ้นในหินแล้ว…อย่างน้อยก็น่าจะบดขยี้ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำทั้งหมดจากห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมได้ นี่ยังไม่นับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานหลังจากถูกดัดแปลงให้แข็งแกร่งขึ้น!”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ไปสมทบกับคนอื่นกันเถอะ ถึงเวลาคุยเรื่องแผนติดตามผลกันแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเรียกรวมตัวแทนจากห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารที่ประจําการอยู่ในสำนักเทียนอวี้อีกครั้ง ไป๋ชิวหรานบอกกับทุกสํานักเรื่องมโนภาพที่ตนและหลีจิ่นเหยาได้รับแรงบันดาลใจมาจากถังรั่วเวย
หลังจากฟังคําอธิบายและข้อสันนิษฐานของเขาแล้ว ตัวแทนจากทุกสํานักจึงได้เริ่มติดต่อผู้นํากับผู้อาวุโสฉีอย่างเร่งด่วน ผู้อาวุโสฉีแห่งสํานักเสวียนฝ่ารีบร้อนพาคนไปด้วย ตามผังที่ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาสร้างขึ้นมา จึงทำให้เริ่มคาดเดาได้ว่าเมืองโบราณครั้งต่อไปจะปรากฏตัวที่ไหน
ด้วยผังนี้จึงทําให้เรื่องนี้มีความคืบหน้าขึ้นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงวัน ผู้อาวุโสฉีก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เมืองโบราณจะปรากฏขึ้น
“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าเมืองโบราณจะพิสูจน์ข้อสมมติฐานของเราได้หรือไม่”
ผู้อาวุโสฉีกล่าวกับตัวแทนทุกคน
“นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น เรายังไม่รู้ว่าเมืองโบราณแห่งนี้จะใช้เวลาเตรียมตัวหรือไม่…ตั้งแต่การปรากฏตัวไปจนถึงการหายตัวไป ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสําเร็จของเรา เพราะจากคําสันนิษฐานของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงและคนอื่น ๆ เมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองที่เปิดรับพลังงานภายนอกแล้วค่อยเคลื่อนย้ายระหว่างมิติปัจจุบัน เครื่องไม้เครื่องมือในโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรยังห่างไกลจากตรงนั้นมาก หากมันหลุดพ้นจากมิติอื่นแล้ว…คงยากที่จะจับร่องรอยได้อีก เราจําเป็นต้องทดสอบข้อมูลอื่นด้วย”
“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ในเมื่อข้าปล่อยให้มันหลบหนีไปได้ ก็จำต้องลงมือเอง…เพื่อดูว่ายังมีกลอุบายอะไรอีก”