ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 72 ทหารเดี่ยวบุกเข้ามา
รัฐเหลียงโจวเป็นถิ่นทุรกันดารที่กว้างใหญ่ไพศาล ไร้ผู้คน มีเพียงพุ่มไม้กกสูงเท่าคน เต็มไปด้วยหนองน้ำและสัตว์ที่อันตราย เช่น จระเข้ งู หรือแม้แต่มังกรยาวที่ขดเคี้ยว หากไม่มีเหตุจำเป็น คนทั่วไปก็จะไม่เข้าใกล้ที่นี่
แต่เป็นสถานที่ ‘ปรากฏตัว’ ของเมืองโบราณแห่งถัดไป
หากเมืองโบราณปรากฏในสถานที่ที่ไม่มีผู้คนหรืออยู่ไกลร้อยลี้จริง นั่นจะเป็นหลักฐานการคาดเดาของไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ว่าการเคลื่อนไหวของเมืองโบราณแห่งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อปล้นสะดมผู้คน…แต่เพื่อจัดวางค่ายกล
ไป๋ชิวหรานมาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เขาซ่อนตัวอยู่ในจุดนัดพบเพื่อรอการปรากฏตัวของเมืองโบราณ ในขณะที่คนอื่น ๆ อยู่ห่างไกลออกไปหลายสิบลี้ อยู่ให้ห่างรัศมีการโจมตีของระฆังและไป๋ชิวหราน
ไป๋ชิวหรานนั่งขัดสมาธิ รวบรวมพลังในร่างอย่างเงียบงัน พยายามดูดซับพลังเข้าด้วยกันเพื่อฆ่าเวลาอันน่าเบื่อ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและคล้อยทางทิศตะวันตก วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิวหรานยังคงพยายามแต่ไม่สําเร็จ แต่ไม่รู้ว่าหมอกหนาทึบปกคลุมสถานที่แห่งนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขายังคงระงับแรงกระตุ้นที่จะทะลวงผ่าน ไป๋ชิวหรานยืนขึ้น และเดินตรงไปยังหมอกหนาที่อยู่ตรงหน้าราวกับเป็นความฝันที่ไม่อาจคาดเดาได้ เมืองโบราณแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันท่ามกลางหมอกหนา!
“เราประมาทพวกเขามากเกินไป”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองประตูเมืองที่ปิดสนิทตรงหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้น
พลังอันไร้ที่เปรียบเริ่มก่อตัวบนฝ่ามือราวกับรับรู้ถึงอันตราย ทันใดนั้นประตูเมืองโบราณก็เปิดโพล่งออกอย่างรวดเร็ว ปรากฏเสียงระฆังดังกึกก้อง!
เหง่ง…หง่าง…
เสียงระฆังกระทบหู พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นเริ่มโจมตีจิตสํานึกของไป๋ชิวหรานอย่างแปลกประหลาด แต่ไป๋ชิวหรานรวบรวมจิตสํานึกไว้มั่นจนก่อตัวเป็นป้อมปราการที่ไม่อาจทําลายได้ แม้แต่การโจมตีเมื่อครู่ยังไม่สามารถสร้างระลอกคลื่นได้!
ไป๋ชินหรานพอจะคาดเดาถึงความรุนแรงของการโจมตีทางจิตใจเหล่านี้ได้ หากเตรียมพร้อมไว้ก่อน ตราบใดที่ผู้ฝึกตนอยู่ในขั้นปฐมวิญญาณก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงระฆังนี้ แต่หากอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือด ระฆังนี้จะแทรกซึมเข้ามาอย่างน่ารังเกียจยิ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นแยกวิญญาณยังได้รับอิทธิพลจากเสียงระฆังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์ที่รุนแรง
ไป๋ชิวหรานก้าวไปข้างหน้า พลังบนมือยังคงไม่จางหาย จากนั้นก็ผลักฝ่ามือพุ่งไปยังประตูเมืองโบราณ
พลังอันไร้ที่สิ้นสุดกลายเป็นฝ่ามือสีทองขนาดยักษ์มุ่งตรงไปยังประตูเมือง ความมืดหลังบานประตูเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง กลุ่มสัตว์ประหลาดขั้นขอบเขตแกนทองคําที่เคยเห็นในภาพพุ่งออกมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังสีดําออกจากร่างและใช้ร่างกายเป็นโล่ป้องกันรอยฝ่ามือ
ทว่ากลับไร้ผล ฝ่ามือของเขาพุ่งผ่านมัน ตรงเข้าใส่ความมืดภายในประตูเมืองก่อนจะระเบิดออกมา
คลื่นกระแทกที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกไป ต้นกกจากทุกทิศทุกทางถูกกดลง พื้นดินเป็นเหมือนคลื่น ความมืดที่หน้าประตูเมืองแผ่กระจายออกไป ทําให้ไป๋ชิวหรานมองเห็นแต่ความมืด
ภายในประตูเมืองเป็นถนนหินขรุขระ สองข้างทางมีสัตว์อสูรหัวมังกรและราชสีห์สองตัววางอยู่ ดวงตาเจ้าสัตว์อสูรมีอักขระที่ไป๋ชิวหรานไม่เคยเห็นมาก่อน
ความมืดรอบด้านที่ไหลทะลักเข้ามาราวกับกระแสน้ำบดบังภาพภายในเมืองอีกครั้ง แต่ไป๋ชิวหรานจดจํารูปร่างของอักขระที่เห็นเอาไว้ได้ เพียงครู่ถัดมา เสียงหวีดหวิวดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวที่ถือกระบี่บินสีดําประหลาด เขายาวเหนือศีรษะออกมาจากเมืองโบราณที่มืดมิด กระบี่บินจู่โจมเข้าใส่ไป๋ชิวหรานทันที!
สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวเหล่านี้น่าจะเป็นกลุ่มศิษย์ของสำนักเทียนอวี้ที่หายตัวไป แต่ในตอนนี้ ภายใต้การควบคุมของเจตจํานงลึกลับบางอย่าง พวกมันจึงได้ใช้กระบวนท่าบางอย่างที่ไม่ใช่ของสำนักเทียนอวี้ หรือแม้แต่ในโลกแห่งการฝึกตน
แสงกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมากลายเป็นเส้นตรงสีดําสลับไปมาในอากาศอย่างต่อเนื่อง สะท้อนการโจมตี แสงกระบี่หลายสิบสายพุ่งจากทุกทิศทาง เจาะเข้าไปในชั้นดินแล้วพุ่งโจมตีไป๋ชิวหรานขณะยกมือขึ้นเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาเพื่อป้องกันแสงกระบี่เหล่านี้โดยไม่มีข้อยกเว้น
เสียงดังขึ้น แสงกระบี่สีดําที่แฝงไว้ด้วยพลังอันน่าเกรงขามเหล่านี้ถูกไป๋ชิวหรานดีดออก…บางเล่มตกลงไปเบื้องล่างตัดพื้นหลายสิบลี้จนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ บางเล่มบินไปไกลตัดภูเขาจนแยกส่วน
ไป๋ชิวหรานที่รับการโจมตีเหล่านี้จึงสังเกตเห็นความผิดปกติ
‘การโจมตีที่จุดสูงสุดของขั้นแยกวิญญาณ…ข้าจําได้ว่าศิษย์กลุ่มนี้หลายคนอยู่ในขั้นปฐมวิญญาณ และยังมีผู้อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นขอบเขตปฐมวิญญาณอีกด้วย’
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ในใจ
ข้อมูลที่ได้รับจากภาพ หลังจากผู้บําเพ็ญเพียรขั้นขอบเขตแกนทองคําได้รับการดัดแปลงใหม่แล้ว จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดมืดที่เทียบได้กับขั้นแยกวิญญาณ ตามการคาดคะเนนี้ เมื่อศิษย์ขั้นปฐมวิญญาณติดเชื้อ พวกเขาควรจะก้าวสู่ระดับที่แข็งแกร่งขึ้น
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าการติดเชื้อที่น่ากลัวจะมีขีดจำกัด
เยว่เชียนเหรินที่หายตัวไป…
ไป๋ชิวหรานตัดสินใจแล้ว เขาเคลื่อนไหวในพริบตาไปปรากฏตัวต่อหน้าสัตว์ประหลาดสีดําตัวหนึ่ง ยื่นมือออกไปบีบคอของมันทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นตวัดฟาดฝ่ามือเข้าที่หัวอย่างจัง!
ไป๋ชิวหรานกับฝ่ามืออันบ้าคลั่ง เขาดึงชั้นพลังงานสีดําซึ่งดูคล้ายโคลนที่ปกคลุมสัตว์ประหลาดออกทั้งหมดราวกับถูกพายุทอร์นาโดค่อย ๆ พัดจางหายไปจากร่างกาย เผยให้เห็นร่างที่แท้จริง!
หลังจากที่เปลือกนอกสีดําถูกลอกออก ปรากฏศิษย์ที่สวมเครื่องแบบสำนักเทียนอวี้ทว่าหมดสติอยู่
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือออกไปสัมผัสจมูกของตัวเอง แต่ไม่พบลมไม่หายใจ ก่อนจะสัมผัสจิตวิญญาณภายในกายอีกฝ่าย แต่ทั้งแท่นบูชาวิญญาณหรือหอวิญญาณต่างว่างเปล่า… ไม่เห็นวิญญาณของผู้ฝึกตนคนนี้เลย
“วิญญาณแตกสลาย?”
ไป๋ชิวหรานวางศิษย์สำนักเทียนอวี้ลงกับพื้น
สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวล้อมรอบพวกเขาอีกครั้ง แสงกระบี่เปลี่ยนไป แทงเข้าไปในจุดสําคัญบนร่างกายของไป๋ชิวหราน!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า
วิญญาณของคนที่ถูกสิงจะหายไป สําหรับพวกเขานับว่าเป็นข่าวร้าย แต่นั่นหมายความว่าไป๋ชิวหรานสามารถลงมือได้ตามใจนึก
ปราณที่ยากจะจินตนาการได้ระเบิดออกมากลายเป็นคลื่นพลังแห่งวิญญาณ แสงกระบี่สีดําที่พุ่งออกมาถูกพายุพลังงานพัดพากลับ สัตว์ประหลาดมืดโดยรอบถูกบดเป็นชิ้นในพริบตา ท่ามกลางพายุ ไป๋ชิวหรานเริ่มพุ่งเข้าโจมตีเมืองโบราณทันที!
เมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคามที่น่ากลัว เมืองโบราณจึงได้ตอบโต้อย่างสุดกําลัง เสียงระฆังดังกึกก้อง สัตว์ประหลาดมืดขั้นขอบเขตแกนทองคํา ปฐมวิญญาณ หรือแม้แต่อสูรมิติเทพนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ไม่อาจหยุดไป๋ชิวหรานที่เดินไปข้างหน้าได้…
เขาวิ่งผ่านฟากฟ้า เมื่อมองลงมาราวกับมีกระแสน้ำสีดำไหลย้อนกลับไม่มีที่สิ้นสุด มีถนนเส้นใหญ่เส้นหนึ่งวิ่งผ่านใจกลางของกระแสน้ำ ลึกเข้าไปในความมืดของเมืองโบราณ
ไป๋ชิวหรานก้าวข้ามประตูเมืองก่อนจะปลดปล่อยพลังความมืดออกไป เขาเดินไปตามถนนหิน จากนั้นจึงหยุดเดินไปที่ประตูเมืองแห่งที่สองในเมืองโบราณ
เหนือประตูเมืองมีคานยื่นออกมา ปรากฏชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดถูกแขวนไว้ด้านบน
ไป๋ชิวหรานใช้กระบี่ยื่นไปแตะตัวคนด้านบน ก่อนจะพบว่า…เขาคือเยว่เชียนเหริน!!