ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 73 แม้แต่ผียังโอ้อวดคนรักกับข้า!
บทที่ 73 แม้แต่ผียังโอ้อวดคนรักกับข้า!
คนที่ถูกแขวนอยู่บนประตูเมืองโบราณคือเยว่เชียนเหริน พี่ชายของเยว่เชียนเหลียน เจ้าสำนักเทียนอวี้
ไป๋ชิวหรานใช้จิตสํานึกสัมผัส พบว่าจุดกําเนิดแท่นวิญญาณของเขายังคงอยู่ ส่วนวิญญาณเจ็ดสีที่อยู่ในขั้นแยกวิญญาณก็อยู่ในตําหนักอย่างเป็นระเบียบ
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งออกมาจากถุงเก็บสมบัติ ปราณกระบี่ไหลเข้าไปในตัวกระบี่ก่อนจะปักกระบี่เหล็กเล่มนี้ลงบนแผ่นหินหน้าประตูเมือง
จากนั้นไป๋ชิวหรานก็กระโดดดึงเยว่เชียนเหรินออกจากประตูเมืองพร้อมแบกร่างนั้นออกจากเมืองโบราณ
เมื่อไป๋ชิวหรานจากไป ความมืดรอบด้านกลับมารวมตัวกันทันที พวกมันดูเหมือนอยากจะกําจัด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ของกระบี่เหล็กที่ไป๋ชิวหรานทิ้งไว้ แต่ทุกครั้งที่ความมืดพลุ่งพล่านพยายามทําลายกระบี่เหล็ก… ตัวกระบี่ก็จะปลดปล่อยแสงอันน่ากลัวออกมาเพื่อขับไล่ความมืดโดยรอบออกไป
แต่แล้วก็ต้องพบว่ามันไร้ประโยชน์ หลังจากได้ทำการสำรวจความมืดโดยรอบ ความมืดเหล่านี้ทําได้เพียงล้อมรอบกระบี่เหล็กเอาไว้ พยายามย่อยสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเมืองโบราณอย่างเชื่องช้า…
บนเนินเขาห่างจากเมืองโบราณหลายสิบลี้ ซูเซียงเสวี่ย หวงฝู่เฟิง ท่านอาจารย์เว่ยเฉิน จางรุ่ยเฟย ผู้อาวุโสฉี หลี่เผิงเฟย ผู้อาวุโสภูต และเยว่เชียนเหลียนจากสํานักวิญญาณหยินต่างเฝ้ามองเมืองโบราณที่อยู่ไกลออกไป
ไป๋ชิวหรานพุ่งเข้าไปในเมืองได้สําเร็จ ทุกคนกําลังรอข่าวจากชายหนุ่มอยู่
“เขาออกมาแล้ว…”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยพูดอย่างแผ่วเบา
ทุกคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มองไปยังทิศทางของเมืองโบราณ เห็นไป๋ชิวหรานวิ่งออกมาจากเมืองโบราณอีกครั้ง ประตูเมืองยังมีสัตว์ประหลาดมืดจํานวนมากติดอยู่ เสียงระฆังยังคงดังไม่หยุด นอกจากนี้ไหล่ของไป๋ชิวหรานดูเหมือนจะแบกคนคนหนึ่งไว้ แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาต่อเขา ไป๋ชิวหรานจับคนบนไหล่ด้วยมือเพียงข้างเดียวและฆ่าสัตว์ประหลาดมืดด้วยมืออีกข้าง วิ่งมายังทิศทางที่คนเหล่านี้รออยู่
ไป๋ชิวหรานวางคนบนไหล่ลง ในขณะที่ซูเซียงเสวี่ยพาทุกคนไปต้อนรับ
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
นางถาม
“ข้าไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานส่ายหัวและพลิกร่างของคนที่แบกมาวางบนพื้นเพื่อให้ทุกคนเห็นใบหน้าให้ชัด ๆ
“พี่ใหญ่!”
เยว่เชียนเหลียนกล่าวเสียงหลง
เขารีบพุ่งเข้าไปหาเยว่เชียนเหรินพร้อมอุ้มขึ้นมา เอ่ยปากขอให้ศิษย์คนอื่น ๆ ให้นําเปลที่เตรียมไว้มาวาง
ศิษย์ของสำนักเทียนอวี้เข้าล้อมรอบไป๋ชิวหราน ในขณะที่คนอื่น ๆ เดินมาอยู่ข้างไป๋ชิวหราน ผู้อาวุโสฉีจากสํานักเสวียนฝ่าถามไป๋ชิวหราน
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานอธิบายสถานการณ์ภายในเมืองโบราณอย่างคร่าว ๆ
“ข้าไม่ได้เข้าไปลึกนัก เพราะเห็นเยว่เชียนเหรินที่หน้าประตูเมือง แต่จําอักขระในดวงตาของสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ ถึงเวลานั้นจะเขียนมันขึ้นมาเพื่อศึกษาและวิจัย”
“เมืองนั่นหายไปแล้ว…”
ในเวลานี้ซูเซียงเสวี่ยเตือนทุกคน
ทุกคนหันกลับไปมองพร้อมกัน เป็นดังคาด… ท่ามกลางป่ารกร้างเต็มไปด้วยหมอกหนา เมืองโบราณค่อย ๆ เลือนหายไปท่ามกลางหมอก หมอกหนากระจายออกตามไปด้วย
ผู้อาวุโสฉีรีบหยิบหินออกมาเพื่อบันทึกการหายตัวไปของเมืองโบราณ ไป๋ชิวหรานถอนสายตากลับมาพร้อมกล่าว
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทิ้งกระบี่ไว้ที่นั่น ขอเพียงมันปรากฏตัวอีกครั้ง… จะสามารถสัมผัสตําแหน่งได้ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าเมืองโบราณจะเปลี่ยนตําแหน่งอย่างไร้ร่องรอย”
“โอ้ ใช่แล้ว คนจากสำนักกระบี่ชิงหมิงมีความไวต่อกระบี่…”
หวงฝู่เฟิงพยักหน้ากล่าว ทันใดนั้นเขาก็ตกใจพร้อมกล่าวต่อ
“ไม่สิ บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าจําได้ว่ากระบี่ของท่านเป็นกระบี่เหล็กกลั่นของเสี่ยวเยว่ไม่ใช่หรอกหรือ?”
“แม้จะไม่มีกระบี่บิน แต่ตราบใดที่ปราณกระบี่ยังอยู่บนกระบี่เล่มนั้น ข้าก็จะสามารถสัมผัสตําแหน่งของมันได้”
ไป๋ชิวหรานชําเลืองมองเขาอย่างอารมณ์เสีย
“อะไรกัน? เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“ไม่มี ไม่มีเลย”
หวงฝู่เฟิงประสานมือ รีบวิ่งไปหาเยว่เชียนเหรินเพื่อตรวจสอบอาการ อีกทั้งยังเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของไป๋ชิวหรานด้วย
ไป๋ชิวหรานไม่สนใจเขา ก่อนจะหันไปถามซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ
“เจ้าได้บันทึกไว้หรือไม่? ใช้เวลานานแค่ไหนที่เมืองโบราณปรากฏตัวและหายไป?”
“บันทึกไว้แล้ว ใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งในสามถ้วยชา”
หลี่เผิงเฟยจากหอหยกแห่งเซียนตูหยิบนาฬิกาพกออกมาจากอกเสื้อ หลังจากตรวจสอบเวลาแล้วจึงเอ่ยออกไป
“ตัดความเป็นไปได้ที่เมืองโบราณจะไม่กล้าขยับเพราะบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงบุกเข้าไปในเมืองโบราณได้เลย ระยะห่างระหว่างการปรากฏกับหายไปน่าจะประมาณหนึ่งในสามถ้วยชา”
“…เพียงพอแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
ดูจากช่วงเวลาที่บุกเข้าไปในเมืองโบราณแล้ว ในเมืองโบราณก็ไม่มีพลังที่แข็งแกร่งอีก น่าจะอดอยากมาก ภายในเสี้ยวถ้วยชา หากไป๋ชิวหรานใช้พลังทั้งหมดเพื่อพุ่งเข้าไป เช่นนั้นต่อให้เมืองโบราณยังมีมือสํารองอยู่… ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่สามารถหยุดเขาได้
หากถึงเวลานั้น แม้ไม่มีทางจะหยุดยั้งการเคลื่อนย้ายของเมืองโบราณ แต่สามารถทําลายเมืองโบราณทั้งหมดได้!
คนอื่นเริ่มยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง ผู้อาวุโสฉีจากสํานักเสวียนฝ่าเริ่มศึกษาภาพการหายตัวไปของเมืองโบราณที่ตนบันทึกไว้ ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ไปหาเยว่เชียนเหลียน และเริ่มแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ของเยว่เชียนเหริน
ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานที่ไม่มีอะไรทํา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงพลังหยินที่คุ้นเคย
ชายหนุ่มมองไปรอบด้าน พบร่างที่คุ้นเคยอยู่ใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไป เมื่อเห็นว่าคนอื่นไม่ได้สังเกตเห็น เขาจึงเดินไปหาอีกฝ่าย
“นี่”
เชวียหลิงที่กําลังสังเกตสถานการณ์อยู่พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง จึงหันหน้าไปและเห็นไป๋ชิวหรานเดินเข้ามาหาอย่างเกียจคร้าน
“เชวียหลิง เจ้ามาทําอะไรที่นี่?”
“ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มาจับเจ้า วางใจเถอะ”
เชวียหลิงตอบ
ไป๋ชิวหรานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเชวียหลิง ในตอนนั้นเอง ยมทูตหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเชวียหลิงก็ถามขึ้น
“พี่ใหญ่เชวีย ชายผู้นี้เห็นพวกเราด้วยหรือ? เขาเป็นใคร?”
ไป๋ชิวหรานมองไปยังหญิงสาวนางนี้ พบว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ดูสะอาดสะอ้าน สบายตา นอกจากใบหน้าซีดขาวแล้วก็ไม่มีข้อบกพร่องใด และที่สําคัญกว่านั้นคือ ในความงามของหญิงสาวนางนี้มีหน้าอกคู่หนึ่งที่ทําให้ชุดที่ยุ่งเหยิงดูรัดตึง
ไป๋ชิวหรานมองไปที่เชวียหลิงและหญิงสาวที่ดึงชายเสื้อของเขาไว้ ทันใดนั้นก็เผยความอิจฉาออกมา
คงไม่ดีสำหรับมนุษย์ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน ขนาดผียังมีคนรักให้โอ้อวด
ไป๋ชิวหรานคิดอย่างอารมณ์ไม่ดี
“คนผู้นี้คือผู้กระทําความผิดใหญ่ในสมุดบันทึกแห่งชีวิต ไป๋ชิวหรานที่หลบหนีมาสามพันปี”
เชวียหลิงชี้ไปที่ไป๋ชิวหรานพร้อมแนะนําให้กับหญิงสาว จากนั้นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถาม
“อะไรกัน? เจ้ามีอะไรจะกล่าวหรือ?”
ไป๋ชิวหรานมองไปที่หญิงสาวพร้อมถาม
“หรือว่าท่านนี้คือ…”
“นางชื่อหมิงอิง ผู้ใต้บังคับบัญชาและคนรักของข้า”
เชวียหลิงเอื้อมมือไปโอบไหล่ของยมทูตหญิงคนนั้นไว้ หลังจากนั้นหญิงสาวก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีดของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แต่ไม่ได้โต้แย้งกลับไป
ไป๋ชิวหรานไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ จึงมองไปที่ใบหน้าของเชวียหลิง
“บ้าเอ๊ย แม้แต่ผีที่ตายแล้วอย่างเจ้ายังมีคนรัก แต่ข้ากลับเป็นโสด โลกนี้ช่างอยุติธรรม”
ไป๋ชิวหรานสบถเสียงต่ำ
“อืม…”
เชวียหลิงหันหน้ามองเนินสูงฝั่งตรงข้าม ซูเซียงเสวี่ยกล่าวบางอย่าง ขณะกําลังมองไป๋ชิวหรานอย่างเหม่อลอย เขาจึงถอนสายตากลับมาก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา
“หึ คงเป็นบาปกรรมของเจ้าที่ต้องมีชีวิตอยู่เช่นนี้”