ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 74 ยึดครอง
บทที่ 74 ยึดครอง
“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เรื่องที่เจ้ามายังโลกมนุษย์ด้วยตัวเองนั้นก็นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”
“เจ้าน่าจะรู้เรื่องดังกล่าวดีกว่าข้า”
เชวียหลิงถอนหายใจอย่างยากลำบาก
“เมื่อไม่นานมานี้ มีดวงวิญญาณนับหมื่นดวงที่ยังไม่ถึงคราวสิ้นอายุขัยหายไปอย่างไร้สาเหตุ บรรดายมทูตผู้ส่งสารของข้าได้ออกตามหาไปทั่วทั้งโลกมนุษย์ ทว่ากลับไม่พบจวบจนตอนนี้”
“หืม?”
ไป๋ชิวหรานชี้ไปยังต้นกกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้าลองตรวจสอบดูว่ามีคนที่เจ้าว่าอยู่หรือไม่?”
“ข้าเคยเห็นมันแล้ว ร่างกายเป็นของคนเหล่านั้นจริง ทว่ากลับหาดวงวิญญาณไม่พบ หรือต่อให้เจอร่างก็ไม่มีประโยชน์…”
เชวียหลิงโคลงศีรษะก่อนกล่าวต่อ
“ข้าเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำฝ่ายยมทูตเพื่อจัดการดูแลโลกใบนี้ และสิ่งนั้นก็นำมาซึ่งภาระรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”
“โอ้? เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งอย่างนั้นหรือ? ขอแสดงความยินดี”
ไป๋ชิวหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป
“หลังจากนี้เจ้า… เชวียหลิง จะเป็นผู้ปราศรัยสุดท้ายที่บรรดาภูตผีต่างต้องเกรงกลัว”
สำหรับไป๋ชิวหรานที่ผ่านความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนย่อมรู้ดีว่าโลกเซียนไม่ได้มีเพียงเก้าทวีปสิบแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังมีโลกที่ครอบงำอยู่เหนือโลกเซียนรวมอยู่ด้วย หากผู้คนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน ปลายทางแห่งสุดท้ายก็คือ การทะยานขึ้นสู่โลกเซียน!
“แสดงความยินดีอะไรกัน? ต่อให้พูดจาดีเพียงใด แต่เมื่อกาลสิ้นสุดอายุขัยมาถึง ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าอย่างแน่นอน”
เชวียหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ครั้งนี้ถือว่าโชคดีไม่น้อยที่มีใครบางคนส่งยาอายุวัฒนะมาให้เจ้า ตอนนี้จึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายร้อยปี ฉะนั้นจงรักษามันไว้ให้ดี”
ไป๋ชิวหรานลูบจมูกตนเอง หวนนึกถึงวัตถุดิบที่ซูเซียงเสวี่ยมอบให้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ หากนางไม่นำมันมามอบด้วยตนเอง ในเวลานั้นเขาคงหลงลืมไปเสียสนิท… จนต้องต่อสู้กับยมทูตคุมวิญญาณเช่นเชวียหลิง
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าและหมิงอิงคงต้องขอตัวกลับก่อน”
เชวียหลิงเหลือบมองไป๋ชิวหราน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“ครั้งนี้ข้ารู้เพียงว่ามีใครบางคนปล้นเอาดวงวิญญาณไป ทว่าในสมุดแห่งชีวิตและความตายกลับไม่มีร่องรอยใด ๆ ปรากฏขึ้น ช่างน่าฉงนสนเท่ห์เสียจริง”
“หืม?”
เมื่อไป๋ชิวหรานได้ยินเชวียหลิงพึมพำกับตนเองเช่นนั้น จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วตะโกนตามแผ่นหลังของเชวียหลิงทันที
“ประเดี๋ยวก่อน!”
เชวียหลิงหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถาม
“มีอะไรอีกรึ?”
“ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้…”
ไป๋ชิวหรานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองโบราณให้เชวียหลิงรับรู้
“เซียนปฐพีงั้นรึ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นการกระทำของเซียนปฐพีหรอกหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่สมุดแห่งชีวิตและความตายจะไม่ปรากฏปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ”
หลังจากฟังจบ เชวียหลิงจึงพึมพำออกมา
“เจ้ารู้จักเซียนปฐพีด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าข้ารู้ มันถูกบันทึกไว้ในตำราของยมโลก”
เชวียหลิงพยักหน้า
“แต่เซียนปฐพีบนโลกมนุษย์น่าจะทะยานขึ้นสู่โลกเซียนเมื่อเกือบแสนปีก่อนหน้านี้แล้ว ข้านึกว่าบนโลกนี้จะไม่มีเซียนปฐพีหลงเหลืออยู่แล้วเสียอีก”
“โอ้? แล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกัน?”
ดวงตาของไป๋ชิวหรานเป็นประกายขณะเอ่ยถามต่อ
“ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก เพราะเป็นช่วงที่เราเพิ่งจะถือกำเนิด… อา… ไม่สิ มันเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ข้าตายตกไปเมื่อหลายปีก่อน เพิ่งได้ยินยมทูตผู้อาวุโสบางคนบอกว่าการถือกำเนิดของมันมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน บางทีอาจเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น”
เชวียหลิงเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นเจ้าพอจะล่วงรู้กลไกการทำงานของเมืองโบราณบ้างหรือไม่?”
ไป๋ขิวหรานสอบถามอีกครั้ง
“ข้าขอลองนึกดูสักครู่…”
เชวียหลิงเดินวนไปมาโดยรอบด้วยความไม่แน่ใจ พลางเงยหน้าขึ้นมองหมิงอิงครั้งหนึ่ง
“พี่ใหญ่เชวีย กฎของยมโลกระบุไว้…”
“ข้ารู้”
เชวียหลิงเดินย้อนกลับไปหาไป๋ชิวหราน พร้อมกล่าวว่า
“จงฟังให้ดี วันนี้ถือว่าไม่เคยพบเห็นข้าหรือหมิงอิงทั้งสิ้น ข้าไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการกระทำของเซียนปฐพี เจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารและกลไกการทำงานของเมืองเซียนปฐพีด้วยตนเอง…”
“ข้า… ไป๋ชิวหราน มีพรสวรรค์ที่เหนือชั้น ทั้งยังไร้เทียมทาน แน่นอนว่าสามารถอนุมานเรื่องราวทั้งหมดได้ด้วยตนเอง”
ไป๋ชิวหรานรีบเอ่ยรับคำทันควัน
“ดีมาก ข้าจะกลับไปยังยมโลกเพื่อช่วยเจ้าตรวจสอบเรื่องนี้ โปรดรอรับข่าว”
เชวียหลิงจับมือหมิงอิงกระชับไว้แน่น
“อีกอย่าง… การช่วยข้าจัดการเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะไม่นับเป็นคุณความดีในสมุดบันทึกความดีของเจ้า”
“ข้าไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้ารู้ดี ถึงอย่างไรบนโลกมนุษย์ในตอนนี้ ผู้ที่สามารถต่อกรกับเซียนปฐพีได้ เห็นทีคงมีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
เชวียหลิงกล่าว
“ตอนนี้จึงทำได้เพียงพึ่งพาเจ้าในการคลี่คลายปมปัญหานี้เท่านั้น ก่อนที่เจ้าจะมาถึง ข้าเคยตรวจสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว ทว่าสมุดแห่งชีวิตและความตายกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ สนองตอบต่อเมืองโบราณ คาดว่าทุกคนในสมุดเล่มนั้นคงถูกเซียนปฐพีแย่งชิงดวงวิญญาณไปเสียแล้ว”
“ประเดี๋ยวก่อน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเชวียหลิง ไป๋ชิวหรานพลันยกมือขึ้นพร้อมเอ่ยถาม
“ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลยงั้นหรือ? ข้าจำได้ว่าสมุดแห่งชีวิตและความตายที่ว่า…ควรจะมีปฏิกิริยาสนองตอบแม้แต่กับผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นผสานร่างไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังไม่เคยผ่านความทุกข์ตรมแห่งนิพพาน ชื่อของพวกเขาล้วนปรากฏอยู่ในสมุดแห่งชีวิตและความตาย”
เชวียหลิงถามกลับ
“เจ้าถามด้วยเหตุใด?”
“แย่แล้ว”
ไป๋ชิวหรานตอบสนองทันควัน ร่างของเขาแปรสภาพกลายเป็นอสนีบาตที่พาดผ่าน ก่อนจะพุ่งตรงไปทางเนินเขาทันที
…
“อืม… โอ๊ย!”
บนเนินเขาสูง เยว่เชียนเหรินซึ่งนอนอยู่บนเปลหามพลันเริ่มฟื้นคืนสติ เอาแต่ร้องคร่ำครวญอย่างอ่อนแรง
ฝ่ามือของชายหนุ่มเริ่มขยับเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเปิดปรืออย่างยากลำบาก พยายามลืมตาขึ้นให้ได้
“ท่านเจ้าสำนัก! ผู้อาวุโสใหญ่ฟื้นแล้ว!”
“ว่าอย่างไรนะ!? พี่ใหญ่! พี่ใหญ่? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
สุ้มเสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นข้างใบหูของเขา เยว่เชียนเหรินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบเข้ากับเยว่เชียนเหลียนซึ่งเผยสีหน้าประหลาดใจยิ่ง
“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ แท้จริงแล้วท่านยังมีชีวิตอยู่!”
เยว่เชียนเหลียนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดี
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? จำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“อ่า ข้าต้องจำได้อย่างแน่นอน”
เยว่เชียนเหลียนเผยรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“เจ้าคือคนในครอบครัวของน้องชายข้า!”
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นวัตถุแปลกประหลาดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ก่อนจะแทงเข้าไปตรงท้ายทอยของเยว่เชียนเหลียน
“ระวัง!”
ภายในชั่วพริบตา เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เอื้อมมือเข้ามาขวางระหว่างด้านหลังศีรษะของเยว่เชียนเหลียน ฉับพลันสิ่งแปลกประหลาดนั้นจึงแทงลงบนหลังมือของเขา ก่อนจะระเบิดจนปริแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“หึ!”
‘เยว่เชียนเหริน’ เบ้ริมฝีปากออกด้วยความไม่พอใจ เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อพุ่งออกจากเปลหามทันที
“จะไปไหน?!”
หลายคน ณ ที่แห่งนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวยกเว้นไป๋ชิวหราน แม้แต่หวงฝู่เฟิงที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มก็ตกตะลึงในท่าทางที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสหายรัก มีเพียงซูเซียงเสวี่ยเท่านั้นที่ตอบสนอง เจ้าสำนักเหอฮวนร้องตะโกน ทันใดนั้นพิณยาวปรากฏขึ้นในอ้อมแขนของนางก่อนจะเอื้อมมือออกไปลูบไล้ เสียงพิณอันไพเราะเสนาะหูจึงค่อยบรรเลงครอบคลุมร่างกายของ ‘เยว่เชียนเหริน’ เอาไว้
“เฮอะ กระบวนแห่งมนตร์เสน่ห์งั้นรึ?”
มนตร์เสน่ห์ที่แฝงอยู่ในเสียงเพลงพิณทำให้ ‘เยว่เชียนเหริน’ เริ่มว้าวุ่นใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็ตั้งสติรู้ตัวได้ทันท่วงที เมื่อกระบี่ซึ่งเหน็บอยู่บริเวณเอวถูกชักออกมา ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่แผ่ออกถาโถมเข้าใส่ซูเซียงเสวี่ยที่กำลังบรรเลงพิณอยู่
ปัง!
ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นขวางระหว่างซูเซียงเสวี่ยไว้ ก่อนที่จะใช้หลังมือป้องกันปราณกระบี่ที่ลุกโชน ทำให้ปราณกระบี่สีขาวเจิดจ้าระเบิดออกเป็นรอยแยกระยะกว่าหนึ่งร้อยลี้ข้างดินแดนรกร้าง ไป๋ชิวหรานซึ่งเป็นผู้ป้องกันการโจมตีเมื่อครู่ยกฝ่ามือขึ้นโดยไม่ลังเล ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่ ‘เยว่เชียนเหริน’ เต็มแรง
ตูม!
อย่างไรก็ตาม ร่างเงาของ ‘เยว่เชียนเหริน’ กลับเป็นเสมือนภาพมายา ฝ่ามือของไป๋ชิวหรานทะลุลอดผ่านร่างของ ‘เยว่เชียนเหริน’ ก่อนถ่ายโอนพลังการโจมตีไปยังเนินเขาสูงด้านหลัง หลังจากนั้นภูเขาทั้งลูกก็ถล่มทลายลงเอนไปอีกฝั่งทันที
“โอ้ คาดไม่ถึงเลยว่าไม่กี่หมื่นปีต่อมา จะมียอดฝีมือผู้ทรงพลังถึงเพียงนี้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์”
ร่างกายของ ‘เยว่เชียนเหริน’ เกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้น ราวกับเมืองโบราณที่กำลังเคลื่อนย้ายไปอีกแห่ง บรรยากาศโดยรอบปกคลุมไปด้วยหมอกหนา เขามองไปที่ไป๋ชิวหรานพร้อมแสยะยิ้มเยาะ
“แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงวิถีภายนอก ซึ่งไม่อาจเทียบเคียงกับวิถีแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า คอยก่อนเถิด… มนุษย์ทั้งหลาย ยุคสมัยแห่งการมาถึงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาบรรจบอีกครั้ง แล้วพบกันใหม่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
สิ้นเสียง ร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกหนาทึบ ก่อนจะอันตรธานหายไป…