ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 77 กระบี่จี้หลิง
บทที่ 77 กระบี่จี้หลิง
ไม่กี่วันต่อมา ศิษย์จากสำนักใหญ่ต่างมารวมตัวกันด้านนอกประตูสำนักเทียนอวี้ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการตามแผน
ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ไม่รอเยว่เชียนเหลียนที่จนช่วงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที พวกเขาตั้งหลักก่อนจะมุ่งตรงไปที่ตำแหน่งหนึ่งเพื่อหยุดยั้งเมืองโบราณ
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกไปนั้น เยว่เชียนเหลียนกลับปรากฏตัวขึ้นได้ทันเวลา
หากแต่สีหน้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ยับยู่ยี่ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบเขม่า ดูแล้วไม่มีราศีแห่งผู้ฝึกตนเอาเสียเลย
เขาถือห่อผ้าสีขาวไว้ในมือ แล้วเดินตรงไปหาหวงฝู่เฟิง
“ศิษย์พี่หวงฝู่ นี่สำหรับท่าน”
เขาเปิดห่อผ้าสีขาวออก ภายในมีกระบี่ซึ่งเปล่งแสงเย็นเยียบออกมา ตัวใบกระบี่เป็นสีดำสนิท ลักษณะเรียบง่ายไร้ที่ติ มีเพียงอัญมณีสีเขียวฝังอยู่หลังด้ามกระบี่เท่านั้น
หวงฝู่เฟิงจำอัญมณีที่ฝังอยู่บนด้ามกระบี่
“หินวิญญาณ? เสี่ยวเยว่จื่อ นี่เจ้า…”
“ข้าตระหนักดีว่าไม่อาจช่วยเหลือพี่ใหญ่ได้ กระบี่เล่มนี้มีนามว่าจี้หลิง ใช้กระดูกมังกรปีศาจกับหินวิญญาณหลอมขึ้นมาจากโรงหลอมเหล็กเทียนอวี้ ซึ่งสามารถดูดซับวิญญาณของผู้ฝึกตนที่มันสังหารได้”
เยว่เชียนเหลียนถือกระบี่ไว้ในมือ ก่อนยื่นมันไปตรงหน้า
“ศิษย์พี่หวงฝู่ กระบี่เล่มนี้ขอมอบเป็นของกำนัลให้แก่ท่าน โปรดใช้มันช่วยสังหารพี่ใหญ่ของข้าเสีย!”
เขาก้มศีรษะลงเพื่อปกปิดความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดภายในจิตใจ พร้อมยื่นกระบี่เล่มนั้นให้หวงฝู่เฟิง
“ข้าทราบแล้ว”
หวงฝู่เฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะคว้าด้ามกระบี่อันล้ำค่าตรงหน้ามาเหน็บไว้ตรงแผ่นหลัง
“ข้าจะใช้มันเพื่อล้างแค้นให้กับเจ้า… เสี่ยวเยว่จื่อ”
…
ภายในเมืองโบราณ ‘เย่วเชียนเหริน’ มองดูจุดแสงที่หนาแน่นที่อยู่ใกล้กับรัฐชิงโจวอย่างพึงพอใจ
การใช้ค่ายกลในเมืองโบราณได้สร้างมิติขนาดเล็กเพื่อสร้างวังวนของปราณวิญญาณ จึงจะสามารถรวบรวมพลังเข้าด้วยกัน… อันนำไปสู่กุญแจสำคัญสู่การเปิดผนึกถ้ำเซียน
นี่เป็นวิธีการของเหล่าเซียนปฐพี ที่ทิ้งไว้ก่อนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะล่มสลาย
“ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าแผนการฟื้นคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะล้มเหลวอีกครั้ง…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหวนคืนมาอีก”
เขากล่าวกับตนเอง
“ต่อไปนี้ จะเป็นครั้งสุดท้าย…”
เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์ในตำหนักกลางเมือง สายตาทอดมองผ่านความมืดมิดไปยังลานกว้างนอกตำหนัก
ภายในลานจัตุรัสกว้าง ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่มีอักขระสีขาวพวยพุ่งออกมาตามร่างกายอย่างพลุ่งพล่าน หลายวันมานี้เมืองโบราณเคลื่อนย้ายไปทั่วทุกหนแห่ง ผู้คนที่ได้ยินเสียงระฆังดังแว่วต่างสูญเสียพละกำลัง กระทั่งสูญเสียสติสัมปชัญญะ หลังจากนั้นดวงวิญญาณทั้งหมดล้วนถูกเขาดัดแปลงจนกลายเป็นสัตว์อสูร
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยุคก่อนเรียกพวกมันว่านักรบโพกผ้าเหลือง เป็นเพราะผู้นำดินแดนใช้ผ้าพันคอสีเหลืองคลุมร่างนักรบสัตว์อสูรไว้เพื่อปกปิดรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัว และตั้งชื่อตามการกระทำนั้นสืบมา
พวกมันจำเป็นต้องอาศัยปราณแก่นแท้จากเซียนปฐพีจึงจะสามารถแปลงกายหรือถือกำเนิดขึ้นได้ อีกทั้งขีดจำกัดสูงสุดของความแข็งแกร่งยังไต่ระดับไปถึงเพียงขั้นแยกวิญญาณเท่านั้น เพื่อเปลี่ยนแปลงทักษะ ‘เยว่เชียนเหริน’ จึงได้รวบรวม ‘วัตถุดิบ’ บางประการเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น จวบจนถึงขณะนี้ เขาได้ใช้พลังเซียนที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายทิ้งไว้ไปจนหมด เพื่อสร้างพวกมันให้กลายเป็นกองทัพใหญ่!
เดิมทีเขาเชื่อว่ากองทัพขนาดใหญ่ดังกล่าวควรจะอยู่ยงคงกระพัน กวาดต้อนศัตรูในยุคสมัยนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง จากสิ่งที่ได้ล่วงรู้จากความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่างนี้ ดูแล้วเกรงว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริง
ทว่ามีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าจะเอาชนะได้
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงงั้นหรือ…ยังมีตัวประหลาดเช่นนี้อยู่บนโลกมนุษย์อีก?”
เขาทอดสายตามองไกลไปยังความว่างเปล่านอกเมืองโบราณ พร้อมกล่าวพึมพำ
“ช่างเถิด..หลังจากนี้เรื่องทั้งหมดจะจบสิ้นลง แสดงให้ข้าเห็นหน่อยว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด และเจ้าจะจับตัวข้าได้หรือไม่?”
แม้ว่าเขาจะตระหนักถึงสิ่งดังกล่าวอย่างถ่องแท้ มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า… มิติการโคจรของเมืองโบราณที่แปรเปลี่ยนไป รวมถึงการหลบหนีเข้าไปในห้วงมิติอื่นด้วยการควบคุมของเขาเอง…นับเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตราบใดที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติอื่น แม้ว่าคนรุ่นหลังผู้นั้นจะมีพลังอันน่ากลัวในการทำลายล้างทั้งดินแดน แต่ในมิติที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ เป็นการยากที่จะหาตำแหน่งเฉพาะเจาะจงได้
…
ภายใต้การควบคุมของ ‘เยว่เชียนเหริน’ เมืองโบราณค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากห้วงแห่งความว่างเปล่าไปยังสถานที่ที่เขากำหนดไว้ ใกล้กับซากปรักหักพังของเมืองหลวงโบราณในรัฐซ่างหลิงกับรัฐชิงโจว หมอกหนาทึบปรากฏขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศ จากนั้นภาพของเมืองโบราณค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากหมอกราวเป็นเพียงภาพลวงตา
ทันทีที่ร่อนลงสู่พื้นดิน ‘เยว่เชียนเหริน’ ซึ่งอยู่ภายในเมืองโบราณก็เปิดใช้งานค่ายกลทันที… เพราะตระหนักได้เป็นอย่างดี แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ล่วงรู้ถึงกลไก แต่เกรงว่าอาจจะคาดเดาผ่านเส้นทางการเคลื่อนที่ของเมืองโบราณถึงจุดปรากฏสุดท้ายได้ในที่สุด
เป็นจริงตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ภายใต้การควบคุมจากห้องโถงใหญ่กลางเมืองโบราณ ลำแสงสว่างวาบพลันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อกลไกค่ายกลทั้งหมดถูกเรียกใช้ กลิ่นอายของผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งมีจุดแข็งต่างกันก็ปรากฏขึ้นจากทุกทิศทาง
ขณะเดียวกัน พลังปราณที่แผ่ออกมาจากทุกทิศทางได้ปรากฏขึ้น ภายใต้การกระตุ้นของพลังปราณเหล่านี้ ค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีกลไกสลับซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า ก่อนจะร่อนลงสู่พื้นดิน เชื่อมต่อกับชีพจรแห่งปฐพีซึ่งอยู่ลึกลงไป ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้พร้อมกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของเมืองโบราณแห่งนี้ไว้อย่างสมบูรณ์
“บัดซบ! เมื่อเราจากไปแล้ว… ฝ่าบาทควรมีรับสั่งเป็นกรณีพิเศษให้จัดการกับผู้ฝึกตนจากต่างมิติทั้งหมดบนโลกไปซะ”
‘เยว่เชียนเหริน’ ขบกรามแน่น
“คนรุ่นหลังเหล่านี้ล่วงรู้ความลับของเรารวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
แผนการเดิมของเขาถูกรบกวนในชั่วพริบตา ‘เยว่เชียนเหริน’ รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนร้อนระอุ ก่อนจะรีบควบคุมกลไกเพื่อป้องกันเมืองโบราณทันที ระฆังขนาดใหญ่ที่แขวนไว้ตรงลานกว้างด้านหน้าตำหนักแกว่งไกวไปมา ทั้งจิตวิญญาณยังส่งเสียงโจมตี ในเวลาเดียวกันนักรบโพกผ้าเหลืองทะยานออกไป โจมตีไปยังทุกทิศทางที่กลิ่นอายจากฝ่ายตรงข้ามแผ่เข้ามาใกล้
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาลุกขึ้นควบคุมเซียนปฐพีที่หลงเหลืออยู่ในเมืองโบราณ สร้างเป็นม่านแสงสีดำห่อหุ้มร่างกายของตนไว้ จากนั้นจึงแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มนักรบโพกผ้าเหลือง
เยว่เชียนเหรินเป็นคนแรกที่ติดตามขบวนทัพไปยังทิศตะวันออก แต่ทันใดนั้น เมฆบนท้องฟ้าทางฝั่งทิศตะวันออกได้กลายเป็นผู้ฝึกตนนับพันคน ยืนอยู่บนก้อนเมฆอย่างหนาแน่นที่ร่วมมือกันเรียกใช้ค่ายกลสังหาร
ก่อนที่เหนือกลุ่มเมฆจะปรากฏค่ายกลสังหารขึ้น มีบุคคลอีกสองคนยืนตระหง่านอยู่ หนึ่งในนั้นถือพู่กันขนาดใหญ่ซึ่งทำขึ้นจากหยกมรกตกำลังจรดปลายขีดเขียนกระทั่งน้ำหมึกกระเซ็นถูกก้อนเมฆ ใช้แผ่นฟ้าเป็นเสมือนผืนผ้าใบ วาดเป็นมังกรทะยาน หงส์ไฟหลากสี กิเลน และเสือโคร่งยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน ฉับพลันสัตว์อสูรเหล่านี้กลับกลายมีชีวิต พุ่งลงเข่นฆ่านักรบโพกผ้าเหลืองซึ่งกรูเข้ามาเป็นกองทัพใหญ่!
ในขณะที่อีกคนใช้สองมือประสานเข้าด้วยกันเพื่อร่ายเวทคาถาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังร่ายเวทมนตร์บางอย่างที่แม้แต่ ‘เยว่เชียนเหริน’ ก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภายใต้การควบคุมของเขา ชั้นบรรยากาศระหว่างสวรรค์และโลกเริ่มผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ กระแสลมพัดกระโชก อสนีบาตอันเปี่ยมพลังไร้จำกัด ขวางเส้นทางของนักรบโพกผ้าเหลืองเอาไว้!
ทั้งสองร่วมแรงผสานค่ายกลสังหารเข้าด้วยกัน จนสามารถสกัดกั้นนักรบโพกผ้าเหลืองจำนวนมากไว้ได้สำเร็จ
ไม่ง่ายเลยที่จะต่อกร…
‘เยว่เชียนเหริน’ ตระหนักว่าควรต้องถอยหนี เขาอาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นรอบพื้นที่ทำสงคราม ค่อย ๆ เลี่ยงออกไปจากสนามรบ ก่อนจะทะยานไปทางทิศใต้
ทางฝั่งทิศใต้ มีขบวนทัพซึ่งจำนวนไม่ด้อยไปกว่าทางทิศตะวันออกรอต้อนเขาอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศโดยรอบ ทหารในชุดเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านอยู่บนก้อนเมฆ ด้านข้างมีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งปกคลุมด้วยแสงสีทองอร่าม กองทัพทั้งสองร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ค่ายกลที่ก่อรวมขึ้นใหม่เป็นประหนึ่งแผ่นโม่หินที่สามารถบดขยี้เหล่านักรบโพกผ้าเหลืองจนแหลกละเอียดอย่างไร้ความปรานี
ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น แม่ทัพชุดเกราะดำและท่านอาจารย์หัวโล้นเป็นผู้เริ่มต้นบดขยี้โจมตีนักรบโพกผ้าเหลืองเหล่านี้
เช่นเดียวกับผู้นำทั้งสองคนก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ต่างมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นผสานร่าง กระบี่ในมือของแม่ทัพชุดเกราะดำเหาะทะยานขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ปรากฏเป็นตาข่ายมีดที่ทั้งหนาแน่นและแหลมคม ขณะที่ท่านอาจารย์หัวโล้นใช้เพียงสองมือเปล่า ยิ่งต่อสู้นานเพียงใด พวกเขายิ่งกล้าหาญมากขึ้นถึงเพียงนั้น ทุกคนต่างเปล่งเสียงคำรามออกมาดังลั่น ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นดั่งจักรพรรดิที่แสนจะเกรี้ยวกราด!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองล้วนมีความแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ‘เยว่เชียนเหริน’ จึงคิดจะล่าถอยกลับไปอีกครั้ง และค่อย ๆ แปรเปลี่ยนทิศทางอย่างเงียบเชียบ…