ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 78 เป็นอะไรไปหรือ น้องชาย
บทที่ 78 เป็นอะไรไปหรือ? น้องชาย
ท่าไม่ดีแล้ว ถนนทุกทิศทางถูกปิดกั้น!
หลังจากรับทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ‘เยว่เชียนเหริน’ ก็ได้ข้อสรุปในใจเป็นที่เรียบร้อย
ไม่เพียงทางทิศตะวันออกกับทางทิศใต้เท่านั้น แต่ในทิศตะวันตกและทิศเหนือยังมีค่ายกลที่รวบรวมศิษย์จากสำนักต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ผนวกกำลังกับยอดฝีมือขั้นผสานร่างถึงสองคน
ทางทิศตะวันออกมีสตรีสองคนซึ่งบรรลุการฝึกตนขั้นผสานร่าง คนหนึ่งถือกระบี่ ซึ่งกระบี่นั้นมีปราณกระบี่กระจายอยู่โดยรอบ ส่วนอีกคนกำลังบรรเลงเพลงพิณ เรือนร่างเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์อันน่าตื่นตะลึง ศิษย์ของพวกนางกำลังก่อรวมค่ายกลอันเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนและจิตสังหารที่ชั่วร้าย นับว่าอันตรายอย่างยิ่ง!
ทางทิศใต้เป็นชายชราสองคนที่แผ่คลื่นพลังความมืดหม่น พวกเขานำกลุ่มศิษย์ที่สวมชุดสีดำและเงียบขรึม ควบคุมเมฆหมอกมรณะซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ทั้งยังมีลักษณะพิเศษ แต่ ‘เยว่เชียนเหริน’ กลับเห็นแสงกระบี่ที่ส่องประกายสว่างวาบไร้ที่สิ้นสุดอย่างชัดเจนจากกลุ่มเมฆดำทะมึน!
แม้ว่าบรรดาศิษย์ที่ปลดปล่อยลำแสงกระบี่จะเผยสีหน้าขมขื่นและจนปัญญา ส่วนปราณกระบี่ในมือมิใช่เพียงสิ่งที่ใช้ในการข่มขวัญแต่อย่างใด ‘เยว่เชียนเหริน’ กลับรู้สึกว่ากระบี่เหล่านี้อันตรายยิ่งกว่ากลุ่มเมฆดำเสียอีก!
ทั้งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือล้วนไม่ปลอดภัยต่อเขาทั้งนั้น ฝีเท้าของ ‘เยว่เชียนเหริน’ หยุดชะงักฝีเท้าก่อนจะหวนกลับไปยังเมืองโบราณอีกครั้ง
เขาพยายามเรียกใช้เคล็ดวิชาเพื่อหลบหนี แต่ทันใดนั้นกลับพบว่าทุกทิศทุกทางถูกค่ายกลปิดกั้นไว้ แม้แต่เคล็ดวิชาลับที่ใช้สำหรับทะลุเข้าไปยังมิติยังไม่อาจเรียกใช้ได้ ขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้น ฉับพลันใครบางคนจากด้านหลังก็ตบมาที่ไหล่เบา ๆ
“เป็นอะไรไปหรือ? ศิษย์น้อง?”
เมื่อได้ยินเสียงปริศนานั้น ‘เยว่เชียนเหริน’ ไม่ลังเลที่จะชักกระบี่ออกจากฝัก เขากระตุ้นพลังวิญญาณที่แท้จริงออกมาอย่างสุดกำลังโดยไม่หันกลับไปมอง ก่อนจะหมุนกายกลับหันฟาดฟันไปด้านหลัง
ภายใต้การควบคุมของจิตวิญญาณเซียนปฐพี แก่นแท้มหาศาลผ่านกาลเวลาที่ทำการหลอมรวมจนถึงขั้นสูงสุดได้หลั่งไหลออกมาสู่บุคคลที่อยู่เบื้องหลังอย่างไม่ลดละ ทว่าขณะที่ปราณกระบี่กำลังถาโถมเข้าใส่จากทั้งแนวตั้งและแนวนอนกระทั่งพสุธาเริ่มพังทลายลง คนที่อยู่ด้านหลังกลับใช้มือคว้าเข้าตรงใบกระบี่ที่เขาใช้ พร้อมออกแรงต้านด้วยพลังทั้งหมดที่มี
“โอ้ เจ้าหนู ช่างเป็นคนเจ้าอารมณ์เสียนี่กระไร”
ไป๋ชิวหรานยังคงจับคมกระบี่นั่นไว้อย่างไม่แยแสพลางจับจ้องไปที่ ‘เยว่เชียนเหริน’ ซึ่งกำลังหอบหายใจเพราะความกังวล
“ข้าคิดว่าเซียนปฐพีต้องเป็นบุคคลที่วิเศษไม่น้อย แต่หลังจากที่สำรวจปฏิกิริยาของเจ้าแล้ว พบว่าค่อนข้างจะขี้ขลาดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจในระดับเดียวกัน”
ระหว่างเอื้อนเอ่ย เขายกมือขึ้นสูงก่อนจะฟาดฝ่ามือออกไป ‘เยว่เชียนเหริน’ ยื่นมือออกเพื่อตั้งรับ แต่กลับรู้สึกว่าพลังระเบิดซึ่งไม่อาจควบคุมได้หลั่งไหลผ่านฝ่ามือทองคำเข้าไปสู่ร่างกาย ท่ามกลางเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แขนซ้ายที่ตั้งรับการโจมตีเริ่มแตกหักออกเป็นท่อน ๆ ทั้งโลหิตและกระดูกโผล่พ้นผิวหนังออกมา ซ้ำร้ายยังบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างแปลกประหลาด!
‘เยว่เชียนเหริน’ รีบถอยกรูดออกห่างไป ขณะเดียวกันกวัดแกว่งกระบี่ยาวในมือเพื่อฟาดฟันปราณกระบี่อันทรงพลังมหาศาลตัดผ่านพื้นดินโดยรอบ ทำให้ฝุ่นละอองหนาทึบลอยขึ้นบดบังวิสัยทัศน์ของไป๋ชิวหรานไว้
“นี่…กระบวนท่านี้ปิดบังข้าไม่ได้หรอก”
สิ้นเสียง ปราณกระบี่สายหนึ่งพลันพุ่งเฉียดผ่านไหล่ของ ‘เยว่เชียนเหริน’
เขายกมือขึ้นกุมไหล่แล้วโยนกระบี่ยาวในมือทิ้งไป ควบคุมมันให้หมุนไปยังทิศทางที่ไป๋ชิวหรานอยู่ ตัดผ่านเข้าไปท่ามกลางฝุ่นควัน ในเวลาเดียวกันนั้น ‘เยว่เชียนเหริน’ ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว มือข้างที่ถือกระบี่กวัดแกว่งร่ายเวทวิชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อบังคับให้มือข้างที่ถูกโจมตีประสานเข้าหากันดังเดิม
“เคร้ง!”
กระบี่บินที่หมุนเคว้งพุ่งตรงมา ถูกไป๋ชิวหรานปัดจนกระเด็นกลับไปอยู่ในมือของ ‘เยว่เชียนเหริน’ อีกครั้ง หลังจากนั้นชายหนุ่มค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาจากฝุ่นควันที่ตลบคลุ้ง มองไปที่มือของ ‘เยว่เชียนเหริน’ พร้อมกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยพบเห็นเวทวิชานี้มาก่อน มันคือมรดกตกทอดจากยุคสมัยของเจ้าหรือ?”
‘เยว่เชียนเหริน’ เม้มริมฝีปากแน่นสนิทไม่ตอบกลับคำใด มือข้างหนึ่งกระชับด้ามกระบี่ไว้คอยระวัง ส่วนอีกมือหนึ่งไขว้ไปด้านหลัง เริ่มร่ายเวทวิชาอีกอย่างหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
“ขอเดาว่า… ตอนนี้คงคิดหาทางกำจัดข้าหลังจากแผนการบางอย่างเสร็จสิ้น ยุคสมัยของเจ้ากินระยะเวลามายาวนาน แน่นอนว่าจะต้องมีเวทคาถาอีกมากมายที่ไม่อาจล่วงรู้ แต่จะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อข้าประมาทเท่านั้น เพราะข้าคือผู้แข็งแกร่งที่สุด…สหายจึงไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่สามารถข้ามผ่านผู้แข็งแกร่งที่สุด ณ ที่นี้ไปได้ หลังจากนี้แผนการย่อมราบรื่น นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานมองผ่านไปยังมือของ ‘เยว่เชียนเหริน’ ที่ไขว้อยู่ด้านหลังพร้อมยกยิ้ม
“บอกกล่าวกันตามตรง ต่อให้เจ้าผ่านด่านนี้ไปได้ ก็ใช่ว่าจะหลบหนีพ้น หลังจากนั้นจะพบคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากเข็ญกว่านี้”
“ฮึ่ม!”
‘เยว่เชียนเหริน’ แค่นเสียงเย็นชาก่อนจะลดมือลง กระบี่ยาวลอยล่องมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะหมุนเคว้งอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกระตุ้นของพลังปราณที่แท้จริงอันทรงพลัง กระบี่ยาวพลันแปรสภาพกลายเป็นวงล้อกระบี่ที่ส่องแสงแปลบปลาบราวกับพายุมรสุม
เขายังคงไม่โต้ตอบแต่อย่างใด เพียงชี้นิ้วไปที่ศีรษะของไป๋ชิวหราน
วงล้อกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วตัดผ่านพื้นดินจนปริแยก ทว่าไป๋ชิวหรานเพียงยกมือขึ้นแล้วตบไปที่วงล้อกระบี่แผ่วเบาราวไล่ยุง ชั่วพริบตาวงล้อมีดที่หมุนเคว้งด้วยความเร็วจึงพุ่งผ่านด้านข้างร่างไป ทั้งยังพุ่งไปไกลกว่าสิบลี้!
“อ๊าก!”
ทันใดนั้น ‘เยว่เชียนเหริน’ ยกมือขึ้นสูงพร้อมร้องตะโกนลั่น
ขณะที่ไป๋ชิวหรานนิ่งงันไปเพราะความประหลาดใจเล็กน้อย ร่างของ ‘เยว่เชียนเหริน’ หายไปจากเบื้องหน้าเสียแล้ว ทั้งยังปรากฏตัวในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลกว่าสิบลี้ในชั่วพริบตา จากนั้นกระบี่ยาวที่พุ่งไกลออกไปก่อนหน้านี้กลับตกลงตรงหน้าของไป๋ชิวหราน
ไป๋ชิวหรานแค่นเสียงหัวเราะแหบแห้ง
“สมแล้วที่เป็นถึงเซียนปฐพี มีกระบวนท่าล่อหลอกหลากหลายรูปแบบ เสมือนเล่นกลไม่มีผิด”
กระบี่ยาวบนพื้นกระเด้งกระดอนไปมาคล้ายปลาดิ้นตาย จากนั้นมันก็ถูกเรียกให้ไล่ตามไปรับใช้นายอย่าง ‘เยว่เชียนเหริน’ ทว่าไป๋ชิวหรานเพียงมองดูมันทะยานหนีจากไปเท่านั้น ไม่ได้หยุดยั้งไว้แต่อย่างใด
“ข้าเตือนแล้วอย่างไรเล่า ว่านอกเหนือจากนี้แล้วยังมีศัตรูที่รับมือได้ยากกว่าอีกคนหนึ่ง เหตุใดถึงไม่เชื่อ? เฮ้อ…ไอ้เรามักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์จริงใจเสมอมา แต่ผู้คนกลับปฏิเสธที่จะเชื่อข้า ช่างน่าเสียใจนัก”
ไป๋ชิวหรานหันหน้ามองไปยังทิศทางที่ ‘เยว่เชียนเหริน’ หลบหนีไป ชายหนุ่มโคลงศีรษะพลางกล่าวออก
“เจ้าบังอาจครอบครองร่างกายและดวงวิญญาณของเยว่เชียนเหรินทั้งที ผู้ที่ต้องการสังหารเจ้าเพื่อล้างแค้นมากที่สุดย่อมไม่ใช่ข้า”
เขาถอนสายตากลับมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
…
‘เยว่เชียนเหริน’ คว้ากระบี่ยาวที่เขาเรียกกลับมา ก่อนวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองไป๋ชิวหราน
หลังจากการประมือกันถึงสองครั้งสองคราก่อนหน้านี้ จึงได้ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของคนรุ่นหลังที่ฝึกฝนวิถีแห่งภายนอกอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายใจลอยเกินควร เกรงว่าตอนนี้วิญญาณและร่างกายคงแตกดับออกเป็นเสี่ยง!
เขาวิ่งหนีด้วยความเร็วสูงไปตลอดทาง ‘เยว่เชียนเหริน’ กลับสัมผัสได้ว่าค่ายกลบนพื้นดินเริ่มอ่อนกำลังลงทุกขณะ
เร็วเข้า! เร็วขึ้นอีก! ตราบใดที่ข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้ไปยังอีกฟากฝั่งได้… ก็จะพ้นจากขอบเขตค่ายกล เมื่อเวลานั้นมาถึง… จะเรียกใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติเพื่อหลบหนีต่อไปได้ ทันทีที่สบโอกาส ข้าจะกลับมายึดครองเมืองโบราณและถ้ำเซียนอีกครั้ง!
‘เยว่เชียนเหริน’ เน้นย้ำกับตนเองในใจไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งมาถึงริมแม่น้ำ ทว่าร่างเงาที่ยืนอยู่เหนือใจกลางของแม่น้ำตรงหน้ากลับทำให้ต้องชะลอฝีเท้าลง
หวงฝู่เฟิงยืนตระหง่านอยู่เหนือแม่น้ำพร้อมกระทืบเท้าด้วยท่าทีองอาจ เขาสะพายกระบี่สีดำสนิทไว้บนแผ่นหลัง ชายเสื้อคลุมขนสัตว์ที่สวมใส่โบกสะบัดตามแรงลม
“ไม่นานมานี้ ข้าไปที่สำนักเทียนอวี้หมายจะร่ำสุราด้วย ทว่าได้ยินเสี่ยวเยว่จื่อบอกว่าเจ้าออกไปเก็บรวบรวมวัตถุดิบบางอย่างมาให้ จึงลากศิษย์น้องเจ้าให้เป็นสหายร่วมร่ำสุราแก้ขัด ย้อนกลับไปก่อนถึงวันที่ข้าต้องตั้งรับทัณฑ์สวรรค์ กลับพบเจ้าถือจอกสุราองุ่นหมักมาหัวเราะเย้ยหยัน ทั้งยังบอกอีกว่าหากข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้… ยินดีจะร่ำสุราจนเมาหัวราน้ำร่วมหนึ่งเดือนเต็ม ทว่าไม่คาดคิดเลยด้วยซ้ำว่าครั้งนี้… ข้ายังหลงเหลือความโชคดีมากพอจนสามารถข้ามผ่านความทุกข์ทรมานแห่งห้วงนิพพานมาได้”
หวงฝู่เฟิงหันกลับไป จ้องมองไปที่ ‘เยว่เชียนเหริน’ ซึ่งหยุดยืนนิ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
“แต่ต่อให้เราสองต่างเป็นสหายกัน นั่นย่อมไม่สำคัญแต่อย่างใด… จะผิดคำนัดหมายกับข้าก็ดี หรือถูกไอ้สวะผู้นี้ลอบทำร้ายเข้าก็ดี… ทั้งหมดล้วนอภัยให้เจ้า”
เขาเอื้อมมือออกไปชักกระบี่ออกจากฝักด้านหลังอย่างช้า ๆ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ต้าเยว่จื่อ*[1] ข้ามาในครั้งนี้ เพื่อเผชิญหน้ากับเจ้า!”
กระแสแรงลมพัดผ่านเหนือผิวน้ำ ฉับพลันคลื่นในแม่น้ำสายใหญ่ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน โดยเจตจำนงของตัวกระบี่ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า จิตสังหารอันแรงกล้าถาโถมเข้าใส่ ‘เย่วเชียนเหริน’ ที่ยืนอยู่ริมฝั่งทันที
[1] ชื่อรองของเยว่เชียนเหริน