ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 79 ตาแก่คร่ำครึเนื้อหอม
บทที่ 79 ตาแก่คร่ำครึเนื้อหอม
ถังรั่วเวยกับหลีจินเหยากำลังเดินออกมาจากห้องหลอมก่อนจะเดินตรงไปยังห้องปีกซ้ายของตำหนัก
ศิษย์สำนักเทียนอวี้สองคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเหยียดยื่นมือออกมาพร้อมเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่หญิงทั้งสองโปรดรอสักครู่ ขณะนี้ผู้อาวุโสหลิวพักผ่อนอยู่ หากมีธุระโปรดกลับมาอีกในภายหน้า”
ถังรั่วเวยกับหลีจินเหยามองหน้ากัน จากนั้นหลีจินเหยาก้าวไปด้านหน้าพร้อมเผยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งเจ้าสำนักเยว่เพื่อเปลี่ยนกะ ดังนั้นกลับไปพักผ่อนกันเสีย”
“นี่…”
ศิษย์ทั้งสองของสำนักเทียนอวี้มองหน้ากันด้วยความลังเล
“นี่เป็นลายมือของเจ้าสำนักเยว่”
ถังรั่วเวยหยิบจดหมายออกจากแขนเสื้อก่อนจะยื่นให้ทั้งสองดู
ศิษย์ทั้งสองรับจดหมายมาแล้วพูดว่า
“เป็นลายมือของเจ้าสำนักก็จริง แต่เจ้าสำนักสั่งพวกเราด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นผ่านไปได้…”
“โอ้ ศิษย์น้อง ถึงจะไม่เชื่อเราทั้งสอง แต่จะไม่เชื่อสำนักของพวกเราเลยหรือ?”
ขณะพูด หลีจิ่นเหยาได้ใช้วิชาย่างก้าวภูตพราว ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน
“หนุ่มน้อย เปลี่ยนกะกับพี่หญิงแล้วกลับไปพักผ่อนเถิด”
เมื่อศิษย์ทั้งสองได้ยิน พวกเขารู้สึกว่าสตรีตรงหน้ามีความเย้ายวนอย่างมาก คำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนั่นส่งให้หัวใจเต้นโครมคาม มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายวิงเวียนศีรษะ
ทั้งสองพยักหน้าตกลงด้วยความมึนงง หลังจากเห็นด้วยกับคำของหลีจิ่นเหยา พวกเขาจึงหันหลังเดินจากไปอย่างเซื่องซึม
“ทักษะของศิษย์พี่หญิงหลีช่างน่ากลัวจริง ๆ”
ถังรั่วเวยมองไปยังด้านหลังของศิษย์ทั้งสองที่จากไปด้วยความกลัว
“ไม่หรอก… ข้าไม่มั่นใจว่าด้อยกว่าเจ้าสำนักซูเซียงเสวี่ยกี่ระดับ”
หลีจิ่นเหยาส่ายหัว
“หากเจ้าสำนักซูอยู่ที่นี่ คงสั่งให้พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้แค่เพียงสบตา”
ทั้งสองเดินมาถึงลานใกล้ประตู หลังจากตรวจพบว่าไม่มีใคร หลีจิ่นเหยาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“อย่าสนใจเลย เรามาจบเรื่องที่บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงสั่งไว้เถอะ”
นางนำวัตถุดิบสำหรับทำอาคมออกมาจากกระเป๋า จากนั้นโปรยไว้บนพื้นตามวิธีลับของสำนัก
ถังรั่วเวยเอียงศีรษะมองนางก่อนจะถามขึ้นทันที
“ศิษย์พี่หลี ท่านกระตือรือร้นมาก… คงจะชอบอาจารย์ข้าสินะ?
“อาจจะไม่ขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกประทับใจบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจริง”
หลีจิ่นเหยาตอบอย่างไม่เขินอาย นางกล่าวอย่างรวดเร็วเหมือนหวงฝู่เฟิงจากสำนักอสูรสวรรค์
“หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบเพศตรงข้ามที่ทำให้อยากติดตาม หรือชวนนึกถึงเลย ดังนั้นน้องหญิงรั่วเวย บางทีในอนาคตสักวันหนึ่ง ข้าอาจจะกลายเป็นอาจารย์แม่ของเจ้าก็ได้”
หลังจากนั้นนางขยิบตาให้ถังรั่วเวยเป็นการหยอกล้อ
“เหตุใดตาแก่คร่ำครึนั่นถึงเนื้อหอมนัก?”
ถังรั่วเวยแอบพึมพำเสียงต่ำ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล
ไม่นานนางก็ระงับความคิดนั้นไว้แล้วหยิบวัตถุดิบออกมาเพื่อช่วยหลีจิ่นเหยา
…
เหนือแม่น้ำ การต่อสู้อันดุเดือดกำลังเริ่มขึ้น
ด้วยความรู้และทักษะอันรุ่มรวยจากยุคก่อน ‘เยว่เชียนเหริน’ จึงดึงเอาความแข็งแกร่งสูงสุดของร่างกายออกมาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบหน่วย เขายกมีดในมือขวาขึ้น และใช้วิชาอันร้ายกาจที่หวงฝู่เฟิงไม่เคยเห็นมาก่อน หนึ่งคมมีดสามารถแยกฟ้าดินได้ หรือแม้แต่เรียกพายุฝนออกมา มืออีกข้างหนึ่งเปลี่ยนวิชาอย่างต่อเนื่องในการควบคุมพลังของธรรมชาติรอบตัวเพื่อโจมตีหวงฝู่เฟิง และพยายามหาทางเอาชีวิตรอดไปในที…
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเต็มพิกัด ทว่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงฝู่เฟิงอยู่ดี!
ในฐานะอดีตเจ้าสำนักแห่งสำนักอสูรสวรรค์ แม้ว่าความสามารถของหวงฝู่เฟิงจะมีพรสวรรค์ที่ต่ำกว่าศิษย์ของเขาอย่างจี้หลิงอวิ๋น หรือแม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รวมถึงหลีจิ่นเหยา แต่ด้วยความพากเพียร… เขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างยากลำบาก จนกลายเป็นหนึ่งในเจ้าสำนักอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างทุกวันนี้
ตัวเขาไม่ได้มีพรสวรรค์เพียงพอ… จึงเลือกวิชาแขนงต่าง ๆ มาอย่างละหนึ่งในสำนักอสูรสวรรค์ และใช้ความอุตสาหะผลักดันวิชากระบี่อสูรสวรรค์ให้สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน
ในเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนปฐพีที่สังหารสหายใกล้ชิดมากที่สุด เขาได้เปลี่ยนจากคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเป็นอสูรที่แท้จริง ใบหน้ากลายเป็นอสูรที่เสียสติไปแล้ว!
แม้ว่าทักษะกระบี่ของ ‘เยว่เชียนเหริน’ จะยอดเยี่ยมล้ำลึกเพียงใด แต่กระบี่ของหวงฝู่เฟิงก็ยังตัดผ่านการโจมตีทั้งหมดอย่างไร้ความปรานี เขาสู้กับเซียนปฐพีได้อย่างร้ายกาจ ทุกการโจมตีจะทะลวงรุกได้ทุกครั้งจนใกล้ถึงตัวเซียนปฐพี
พลังวิญญาณเซียนในตัวของเขาสั่นอย่างเร็วตามคมกระบี่ของหวงฝู่เฟิง ด้วยวิชาของสำนักอสูรสวรรค์ ด้านหลังจึงปรากฏภาพอสูรสามเศียรหกกรออกมาจากความว่างเปล่าก่อนจะเริ่มร่ายรำ
คมกระบี่ตัดผ่านแม่น้ำและภูเขาทั้งสองฟากฝั่ง ใบหน้าหวงฝู่เฟิงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกโกรธา การต่อสู้ครั้งนี้ราวกับว่าต้องการปลดปล่อยวิญญาณของสหาย ด้วยความมุ่งมั่นนี้ ลมหายใจค่อย ๆ ปะทุรุนแรงขึ้นทุกขณะ แก่นแท้ในร่างถึงกับเดือดพล่าน ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวกระโดดไปสู่ระดับพลังที่สูงกว่าเดิม
“บัดซบ มันบรรลุขั้นพลังระหว่างการต่อสู้จริงหรือ?”
‘เยว่เชียนเหริน’ สัมผัสได้ถึงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงจากหวงฝู่เฟิง
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเกลียดพวกบ้าบ่มเพาะพลัง!”
เมื่อมองไปยังแสงสีแดงในดวงตาของหวงฝู่เฟิง ลมหายใจในร่างเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งหวงฝู่เฟิงยังมองเห็นไอพลังสีดำที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าปรากฏออกมาจากทุกส่วนของร่างกายของศัตรู
หวงฝู่เฟิงฟันไปยัง ‘เยว่เชียนเหริน’ ซึ่งตัดผ่านร่างตรงหน้าราวกับร่างวิญญาณแล้วสลายไปกลายเป็นความว่างเปล่า ในเวลาเดียวกัน ‘เยว่เชียนเหริน’ ก็ยกมือขึ้นฟันกลับไปยังหน้าอกของหวงฝู่เฟิง แรงฟันนั้นผ่าไปยังไหล่ทอดยาวลงมาถึงหน้าอกช่วงล่าง
“วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือคนบ้าอย่างเจ้า…คือการใช้วิชาลวงตา”
‘เยว่เชียนเหริน’ หัวเราะเยาะ
“แค่สร้างภาพลวงตาธรรมดาก็หลอกให้เจ้ากลายเป็นลาที่มองเห็นหัวผักกาด… อ๊ะ!”
ขณะพูด เขาไม่คิดว่ากระบี่ของหวงฝู่เฟิงจะแทงทะลุร่างตัวเองจากด้านหลัง!
คราวนี้กระบี่ของหวงฝู่เฟิงเสียบทะลุช่องท้อง ‘เยว่เชียนเหริน’ อย่างแม่นยำ จนสัมผัสได้ถึงร่องรอยอันน่าสะพรึงจากกระบี่ยาวสีดำที่กำลังดูดพลังเซียนและวิญญาณไป!
“อั่ก!”
หวงฝู่เฟิงกระอักเลือดพร้อมกล่าวตอบด้วยเสียงแหบแห้ง
“แกพูดมากเกินไปแล้ว!”
ในเวลาเดียวกัน หวงฝู่เฟิงกำหมัดด้วยมืออีกข้างก่อนจะทุบไปที่ใบหน้า ‘เยว่เชียนเหริน’ ส่งให้ร่างเขากระเด็นกลับหัวกลับหางกลางอากาศ บาดแผลตรงหน้าท้องเต็มไปด้วยเลือดขณะที่ร่างกระแทกเข้ากับผืนน้ำ จนเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นละอองน้ำขนาดใหญ่กระจายไปกลางอากาศ
หวงฝู่เฟิงคำรามอย่างโกรธเคืองโดยไม่สนใจบาดแผลขนาดใหญ่ตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้อง เขาโคจรพลังทั้งหมดก่อนจะพุ่งเข้าไปในละอองน้ำตรงหน้าเพื่อสังหาร ‘เยว่เชียนเหริน’
“ข้าคือเซียนปฐพี! ส่วนเจ้ามันแค่คนบ้า! ไอ้บ้าบัดซบ!”
‘เยว่เชียนเหริน’ พยายามอย่างสุดกำลังในการป้องกันการโจมตีของหวงฝู่เฟิง
ด้วยความรู้ของเซียนปฐพี เขาจึงสามารถต่อสู้กับหวงฝู่เฟิงต่อได้อย่างสูสี แต่เวลานี้หวงฝู่เฟิงได้ปลดปล่อยขีดจำกัดของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เขามีเพียงพลังเล็กน้อยเท่านั้นที่จะต่อต้าน
แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดกันไปมาจนทำลายทัศนียภาพบนแม่น้ำ เงาแห่งเทพอสูรกำลังกวัดแกว่งกระบี่หกเล่มฉีกศัตรูตรงหน้าออกเป็นชิ้น ๆ พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังก้องไปทั่ว!
…