ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 80 เด็กชายยี่สิบห้าคน
บทที่ 80 เด็กชายยี่สิบห้าคน
“หืม? อ๊ะ!”
ไม่นานหลังจากจัดตั้งอาคม ถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยาก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญปนเจ็บปวดเล็กน้อยมาจากห้องผู้อาวุโสหลิว
สตรีทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะรีบวิ่งออกมาเพื่อตะโกน
“มาเร็ว ผู้อาวุโสหลิวฟื้นแล้ว!”
“อะไรนะ? ผู้อาวุโสหลิวฟื้นแล้ว?”
เสียงตะโกนของพวกนางดังไปถึงหูศิษย์สำนักเทียนอวี้ทันที บรรดาศิษย์กว่าสิบคนที่อยู่ใกล้ ๆ รีบวิ่งมาก่อนจะมีหนึ่งคนตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ไปแจ้งเจ้าสำนัก!”
หลังจากนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก ถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยาจึงใช้โอกาสนี้หนีออกมาเงียบ ๆ
…
“อะไรนะ? ผู้อาวุโสหลิวฟื้นแล้ว?”
เยว่เชียนเหลียนมองไปยังศิษย์ที่มารายงานด้วยใบหน้ายินดี
“ขอรับเจ้าสำนัก”
ศิษย์สำนักเทียนอวี้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้อาวุโสหลิวกล่าว
“ศิษย์เห็นกับตาตัวเองว่าผู้อาวุโสหลิวฟื้นแล้วจริง ๆ ตอนนี้มีพี่น้องหลายคนช่วยกันเฝ้าดูอยู่ที่ตำหนัก”
“ในที่สุดก็มีข่าวดีในช่วงเวลานี้เสียที…”
เยว่เชียนเหลียนทุบต้นขาตัวเองพร้อมกล่าว
“ข้าต้องไปหาเขา”
เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตู ศิษย์ด้านหลังรีบลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ แต่ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ทำให้ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่
เป็นไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่นอกประตู
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
เยว่เชียนเหลียนมองไปที่ไป๋ชิวหรานด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าไปสู้กับพวกเซียนปฐพีอยู่หรอกหรือ?”
“มันใกล้จะจบแล้วล่ะ”
ไป๋ชิวหรานยิ้ม
“ข้ามาที่นี่เพื่อจบงาน… มากับข้าเถิด”
…
ในห้องของผู้อาวุโสหลิว บรรดาศิษย์ต่างพากันดูแลอย่างอบอุ่น
ผู้อาวุโสหลิวที่รอดชีวิตจากเมืองโบราณได้ลุกขึ้นนั่ง ตอบสนองต่อความกังวลของศิษย์ทั้งหลายด้วยการไอสองสามครั้ง
ร่างกายของผู้ฝึกตนแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก ผู้อาวุโสหลิวที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บสาหัสสามารถลุกขึ้นนั่งได้หลังจากมีสติ ยิ่งไปกว่านั้นยังกระแอมไอเพื่อแสดงให้เห็นว่าอาการดีขึ้น หากเป็นผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในสำนัก หลายคนคงจะนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดออกมา
ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังกรูกันมาดูอาการผู้อาวุโสหลิว ใครบางคนก็ตะโกนออกมาจากด้านนอก
“เจ้าสำนักอยู่ที่นี่แล้ว!”
บรรดาศิษย์แหวกทางกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นรอเยว่เชียนเหลียนเข้ามาตามศิษย์ที่รายงาน
“ผู้อาวุโสหลิว!”
ทันทีที่เห็นผู้อาวุโสหลิวลุกขึ้นนั่งบนเตียงได้ ใบหน้าของเยว่เชียนเหลียนจึงเต็มไปด้วยความสุขก่อนสาวเท้าเดินเข้าไปหาทันที
“ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นไรมาก ขออภัยที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
ผู้อาวุโสหลิวไออีกครั้งด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดก่อนจะกล่าว
“พี่ใหญ่เจ้าอยู่ที่ใด? เขากลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่?”
“พี่ใหญ่เขา…”
เยว่เชียนเหลียนเผยใบหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อผู้อาวุโสหลิวเห็นเช่นนั้นก็พอทราบก่อนจะถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดาย…”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย”
เยว่เชียนเหลียนประกบมือ
“ท่านพักผ่อนต่อเถิดอาการจะได้ดีขึ้น พวกเราไม่รบกวนแล้ว”
เขาลุกขึ้นเตรียมบอกให้บรรดาศิษย์ออกไป แต่ผู้อาวุโสหลิวเอื้อมมาจับมืออีกฝ่ายแล้วเอ่ย
“เจ้าสำนัก!”
ผู้อาวุโสหลิวไอต่อสองสามครั้งก่อนจะพูดเบา ๆ
“รอก่อน ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
“ท่านมีสิ่งใดจะคุยกับข้างั้นหรือ?”
เยว่เชียนเหลียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา จึงเชื่อใจศิษย์น้องคนนี้มาก เขาสะบัดมือออกเบา ๆ พร้อมกล่าว
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะคุยกับผู้อาวุโสหลิว”
ศิษย์ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะเดินออกไป ศิษย์คนสุดท้ายที่ออกมาปิดประตูสนิทเพื่อไม่ให้ใครมารบกวน จากนั้นเยว่เชียนเหลียนจึงนั่งลงพร้อมเอ่ยถาม
“ผู้อาวุโสหลิวมีสิ่งใดจะคุยกับข้างั้นหรือ?”
“สิ่งนั้นคือ…”
ผู้อาวุโสหลิวยิ้มก่อนจะพลิกฝ่ามือ ผลึกสีดำแหลมคมรูปร่างแปลกประหลาดปรากฏขึ้น มันพุ่งไปยังคอของเยว่เชียนเหลียนทันที!
…
“ทักษะของเจ้าสำนักซูเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
หลังจากดึงกระบี่ออกมา จี้หลิงอวิ๋นมองศพที่อยู่เกลื่อนพื้นพร้อมกล่าวกับสตรีผู้งดงามในชุดขาว
“แม้แต่ข้ายังทำไม่ได้ถึงเพียงนี้”
“วิชากระบี่ของท่านจี้ก็ไม่ธรรมดา”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“ข้าเชื่อว่า…น่าจะใช้เวลาไม่ถึงสองปีท่านอาจจะเอาชนะเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงได้”
“ฮึ่ม ไม่ช้าก็เร็วข้าจะตัดปากไอ้คนบ้านั่น!”
เมื่อพูดถึงเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ท่าทีของจี้หลิงอวิ๋นก็แปรเปลี่ยนเป็นเลวร้ายทันที นางพ่นลมหายใจออกก่อนจะกล่าวอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเจ้าสำนักซูดูจะยากกว่าข้าเสียอีก… คงทำได้อวยพรให้ท่านตัดหัวคนผู้นั้นได้โดยเร็วที่สุด”
“ที่ท่านกล่าวมา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสังหารเขาหรอก…”
ซูเซียงเสวี่ยสวมผ้าคลุมที่ถอดออกระหว่างการต่อสู้ก่อนจะเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวข้างใน
“เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เลย พวกสัตว์ประหลาดเกือบจะถูกจัดการหมดแล้ว พวกเรากลับไปในเมืองเพื่อทำให้เสร็จดีกว่า”
“ตกลง”
จี้หลิงอวิ๋นพยักหน้า ขณะที่สตรีทั้งสองกำลังจะเดินไปยังเมืองโบราณ ลำแสงที่อยู่ในเมืองเจิดจ้าขึ้นอย่างกะทันหัน
“ระวัง!”
ซูเซียงเสวี่ยรีบหยุดจี้หลิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว พวกเขาหยุดเคลื่อนไหวพร้อมกัน รวมถึงศิษย์สำนักเหอฮวนและสำนักอสูรสวรรค์
ลมหายใจถัดมา ลำแสงในเมืองโบราณได้ขยายแผ่ออกทำให้ทุกสิ่งตรงหน้าจมเข้าไปในลำแสง
…
บนฝั่งแม่น้ำใหญ่ หวงฝู่เฟิงค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ภายใต้การกระตุ้นลมปราณในร่าง บาดแผลที่ได้รับบนร่างค่อย ๆ สมานพร้อมเลือดที่หยุดไหลอย่างรวดเร็ว
ข้างหน้าเขาคือศพของ ‘เยว่เชียนเหริน’ ภายใต้พลังของแก่นแท้ที่เหลืออยู่ในร่างกาย บาดแผลเล็ก ๆ บนตัวเยว่เชียนเหรินจึงหายหมดสิ้น แต่บาดแผลจากกระบี่สีดำที่ดูดกลืนจิตวิญญาณยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็จะไม่มีทางนำวิญญาณที่ถูกดูดกลืนออกมาได้อีก
มันคือวิญญาณที่ครอบครองร่างของเยว่เชียนเหรินที่ถูกดูดเข้าไปในกระบี่สีดำ และถูกผนึกอยู่ในนั้น
คมกระบี่ตรงหน้าของหวงฝู่เฟิงเปล่งประกายวิญญาณสีเขียวออกมา เขามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเก็บกระบี่เข้าฝัก
“พี่เยว่”
เขายกร่างของเยว่เชียนเหรินขึ้นมามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ขอให้ไปสู่สุคติ”
เสียงลมพัดผ่านแม่น้ำ หวงฝู่เฟิงกำลังจะแบกร่างของสหายกลับไป ในขณะเดียวกันตรงทิศทางของเมืองโบราณ ลำแสงประหลาดส่องสว่างขึ้นหลายครั้งจนเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้า
เหนือท้องฟ้าราวกับว่าถูกลำแสงส่องจนทะลุ กระแสน้ำวนอันน่าตกตะลึงก่อตัวขึ้นจากเมฆลอยเลื่อนในอากาศ มันหมุนวนก่อนจะขยายออกอย่างช้า ๆ
ในกระแสน้ำวนนี้ ยอดเขาขนาดมหึมาค่อย ๆ ปรากฏออกมาในลักษณะกลับหัวอยู่กลางอากาศ มันหยุดอยู่เหนือซากปรักหักพังของรัฐซ่างหลิง!