ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 83 ถ้ำเซียน
บทที่ 83 ถ้ำเซียน
ถ้ำเซียน ในแนวคิดของมนุษย์คือสถานที่ที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ แต่สำหรับผู้ฝึกตนนั้น ที่นี่จัดเป็นสถานที่สำหรับผู้บรรลุพลังขั้นสูง ซึ่งสามารถเคลื่อนภูเขาหรือเดินทะเลได้ กล่าวคือใช้พลังที่ฝึกฝนสร้างมิติของตัวเองขึ้น และอาศัยอยู่ในนั้น
แม้ว่าในปัจจุบันของโลกผู้ฝึกตน วิชาที่ใช้เปิดมิติอย่างอิสระใกล้จะหายสาบสูญไปแล้ว แต่ยังมีบันทึกที่คลุมเครือในสำนักเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ในสมัยก่อนสงครามมนุษย์กับปีศาจ
ตามคำกล่าวข้างต้น หากผู้ฝึกตนไปถึงขั้นผสานร่างได้ เช่นนั้นก็สามารถใช้วิชาลับเปิดมิติและสร้างถ้ำอิสระได้ อย่างไรก็ตาม การเปิดมิติเปรียบเสมือนสิ่งใหม่ในโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง ข้อมูลจึงยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจนนัก
แต่สถานที่เหล่านี้ยังคงมีอยู่ในสำนักที่มีชื่อเสียงในโลก เช่นหอหยกแห่งเซียนตูกับสำนักเสวียนฝ่า อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับสมัยโบราณ สถานที่เหล่านี้ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิด มันต้องใช้ทั้งกำลังคนและทรัพยากรมหาศาล ซึ่งค่อนข้างจะลำบากมาก
ถ้ำเซียนส่วนใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ในโลกปัจจุบันจะเป็นของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่จากไปหลายพันปี!
แต่ไม่มีถ้ำใดที่เทียบกับถ้ำที่เพิ่งถูกเรียกออกมาเหนือท้องฟ้าเมืองโบราณครั้งนี้ ยอดเขาที่ห้อยหัวลงมาบนอากาศคือทางเข้า
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้กับพวกเซียนปฐพี เหล่าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารส่งคนมาปิดทางเข้านี้ อีกทั้งยังมีผู้ฝึกตนหลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ดังกล่าว พวกเขาหาโอกาสแทรกแซงผ่านทางเข้าของถ้ำเซียนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่สองยักษ์ใหญ่ทำสงครามกับเซียนปฐพี
พวกเขาแค่ใช้ประโยชน์จากการที่สองพันธมิตรกำลังวุ่นวายกับการต่อสู้ แล้วแสวงหาผลประโยชน์ บางทีอาจจะทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นจนเป็นที่ยอมรับจากทั้งสองพันธมิตร
ผู้คนล้วนเห็นแก่ตัว เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งและถูกห้ามปรามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาที่เกิดสงคราม ผู้คนส่วนหนึ่งจะรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น!
โชคดีที่ทั้งสองพันธมิตรส่งคนไปปิดกั้นหลังจากทราบเหตุจึงไม่มีใครแอบมาที่นี่อีก
แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนมีสองด้าน แม้พันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะป้องกันพื้นที่นี้ไว้แล้ว… รวมไปถึงป้องกันเหล่าผู้ฝึกตนที่ขั้นพลังต่ำเข้าเอาชีวิตไปทิ้งข้างในนั้นด้วย
แต่ผู้ฝึกตนที่แอบเข้าไปได้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หลังจากผู้ฝึกตนเหล่านั้นถูกฟ้าผ่าตายอย่างกะทันหัน มันทำให้พันธมิตรทั้งสองค้นพบบางอย่าง
ขั้นพลังที่ต่ำกว่าขั้นปฐมวิญญาณและสูงกว่าขั้นสร้างรากฐานจะเข้าไม่ได้ มันเป็นข้อกำหนดในทางเข้า
เพราะเมื่อขั้นปฐมวิญญาณหรือที่เหนือกว่านั้นเข้าไป อาคมที่อยู่ตรงประตูจะเปิดใช้งานโดยเรียกพายุฝนฟ้าคะนอง ขณะที่กำลังมีความสุขกับสมบัติด้านใน ฟ้าจะผ่าลงมาให้พวกเขาตายคาที่!
แต่ผู้รอดชีวิตจากการลักลอบเข้าไปในครั้งนี้กลับอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณและต่ำกว่าขั้นสร้างรากฐาน ซึ่งแม้แต่หวงฝู่เฟิงที่รอดชีวิตออกมาได้ยังไม่อาจต้านพลังของสายฟ้านี้
ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นขั้นสร้างรากฐานถึงขึ้นไปได้ เพราะพวกเขาสามารถใช้วิชากระบี่ล่องนภาเพื่อบินไปยังทางเข้าที่อยู่สูงเหนือพื้นดินหลายสิบลี้
และแน่นอนว่าข้อจำกัดนี้ไม่มีผลกับใครบางคน
“เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะไปเอง”
ในห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ชิงหมิง ไป๋ชิวหรานได้กล่าวกับบรรดาผู้อาวุโสด้วยความจริงจัง
“พวกเจ้าจัดการส่วนที่เหลือ ข้าจะขึ้นไปเอง”
“อาจารย์ลุง พวกเราไม่คัดค้านอย่างแน่นอน”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าว
“ที่นี่เป็นสถานที่อันตราย เป็นถ้ำที่พวกเซียนปฐพีเสี่ยงตายปลุกขึ้นมา ไม่มีใครทราบว่าสิ่งใดอยู่ในนั้น หรือมีค่ายกลอาคมอะไรอยู่ ดังนั้นข้าจะส่งศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นปฐมวิญญาณไปเช่นกัน หากมีอาจารย์ลุงช่วยดูแล คงวางใจขึ้นอีกมาก”
“ไม่ ข้าจะไปคนเดียว”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ครั้งนี้พวกเจ้าจงตั้งกลุ่มเดินทางกันเองได้ ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้ไปด้วย เพราะหากเจอทางที่จะไปต่อ เช่นนั้นข้าจะไม่รอช้าแน่นอน ความจริงที่ว่าสามารถช่วยปกป้องเด็กน้อยเหล่านั้นได้จงลืมไปเสีย และอย่าให้พวกเขารู้ว่ามีข้าเดินทางไปด้วยก็พอ”
“อืม…”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“เช่นนั้นข้าจะแบ่งกลุ่มสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นสองกลุ่ม ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
เขามองดูมิตรสหายในห้องโถงก่อนจะหันไปมองไป๋ชิวหราน
“ให้อาจารย์ลุงแอบติดตามเด็กที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ไป จึงเป็นการดีกว่าจะซ่อนอาจารย์ลุงไว้แล้วให้พวกเขาหาทางกันเอาเอง ผู้ฝึกตนควรหาประสบการณ์ด้วยตัวเองก่อน หากศิษย์ของเราเจอวิกฤตที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นค่อยให้อาจารย์ลุงยื่นมือเข้ามาช่วยก็ไม่สายเกินไป”
“ดี”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าและพูดต่อ
“ตกลงตามนี้ ไม่มีใครคัดค้านใช่หรือไม่?”
เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงพยักหน้า พวกเขาไม่ได้เอ่ยถึงสถานการณ์อื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ยามใดที่ไป๋ชิวหรานแยกตัวออกไปคนเดียว มันจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงหากเจอกับอันตราย
การฝึกตนคือการขัดวิถีสวรรค์ ถึงแม้วิถีแห่งการฝึกตนจะไม่ได้สอนให้เข่นฆ่าผู้อื่น แต่อย่างที่พวกปีศาจเคยพูดไว้ ผู้ฝึกตนย่อมต้องหาประสบการณ์ทางธรรมชาติเพื่อเอาชนะฟ้าดินและหล่อเลี้ยงตัวเอง มิเช่นนั้นหากปรารถนาจะเป็นเซียนในอนาคต สวรรค์จะไม่ลงมาสนใจ
ในการสั่งสอนลูกศิษย์ บรรดาอาจารย์จะต้องหาวิธีผลักดันให้ศิษย์ของตัวเองก้าวสู่โลกที่แท้จริงเพื่อเรียนรู้ เหมือนตอนที่นกอินทรีโยนลูกของมันลงหน้าผา ผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถเรียนรู้การเผชิญหน้ากับวิกฤต เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากนกอินทรีที่บินไม่ได้ แม้จะสบายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็ต้องจ่ายราคาที่สาหัส
หลังจากกลับมาถึงสำนักกระบี่ชิงหมิง ไป๋ชิวหรานก็ตระเตรียมของที่จำเป็นในการสำรวจถ้ำ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของมากมาย เพราะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ของที่เตรียมไปจะเป็นพวกสำหรับร่ายอาคม หรือกระบี่เหล็กหลายร้อยเล่ม
การกระทำของเขาทำให้ถังรั่วเวยผู้เป็นศิษย์เกิดความสงสัย แต่ไป๋ชิวหรานเลือกที่จะปฏิบัติกับนางอย่างเท่าเทียมเหมือนกับศิษย์อื่นโดยไม่บอกว่าจะไปด้วย
ในครั้งนี้ถังรั่วเวยถูกสำนักกระบี่ชิงหมิงคัดเลือกให้เข้าไปสำรวจถ้ำ เมื่อรวมกับศิษย์ขั้นที่ต่ำกว่าปฐมวิญญาณ พวกเขาจะทำการสำรวจถ้ำจื้อเซียนด้วยกัน
นอกจากนี้ไป๋ชิวหรานยังได้ยินจากถังรั่วเวยว่า กลุ่มสำรวจของสำนักกระบี่ชิงหมิงถูกนำโดยใครบางคนที่คุ้นเคยอย่างมาก
…