ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 85 ความสัมพันธ์ของอสูรสวรรค์และชิงหมิง
บทที่ 85 ความสัมพันธ์ของอสูรสวรรค์และชิงหมิง
หลังจากบอกข้อมูลให้ทราบแล้ว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและไป๋ชิวหรานพาศิษย์ออกเดินทาง
เพราะต้องการรักษาความเร็วให้เท่ากัน ไป๋ชิวหรานจึงไม่ได้บินไปเอง แต่นั่งกระบี่ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อแทน และให้บรรดาศิษย์ใช้กระบี่บินเดินทางตามมา
ศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงมีขั้นพลังที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้วไม่สามารถบินข้ามแคว้นเพียงชั่วพริบตาเหมือนกับไป๋ชิวหราน ศิษย์ส่วนใหญ่อยู่เพียงขั้นสร้างรากฐานเหมือนถังรั่วเวยและศิษย์ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ดังนั้นหากเดินทางเท้าปกติ… ก็น่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน
หลังจากใกล้ถึงจุดหมาย พวกเขาได้พบศิษย์สำนักอสูรสวรรค์ที่หวงฝู่เฟิงและจี้หลิงอวิ๋นนำมา
ระยะทางระหว่างสำนักอสูรสวรรค์และเมืองหลวงของรัฐซ่างหลิงนั้นไกลกว่าสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่หวงฝู่เฟิงที่เป็นผู้ฝึกตนอสูรซึ่งบ่มเพาะพลังยุคโบราณ ดังนั้นจึงใช้พลังเหนือธรรมชาติปลูกฝังพลังเข้าไปในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ และให้บรรดาศิษย์นั่งบนกระบี่ที่เขาปลุกขึ้นเพื่อเดินทางมายังที่นี่ ส่วนไป๋ชิวหรานก็ทำได้เพียงนั่งอยู่บนกระบี่ของศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างเชื่องช้าเท่านั้น
เมื่อมาถึง สำนักอสูรสวรรค์และสำนักกระบี่ชิงหมิงเข้ามาพูดคุยกันกลางอากาศทันที
เมื่อพบหน้ากัน จี้หลิงอวิ๋นเจ้าสำนักอสูรสวรรค์เผยท่าทีรังเกียจเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างชัดเจน
“เหตุใดข้าถึงได้กลิ่นเหม็นสาบมาจากตรงนั้น?”
นางขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยงก่อนจะใช้มือปิดจมูกพร้อมกล่าว
“ช่างโชคร้ายเสียจริง”
“โอ้ เหตุใดข้าถึงไม่ได้กลิ่นล่ะ? หรือว่าแม่นางหลิงอวิ๋นบ่มเพาะพลังทางด้านดมกลิ่นมางั้นหรือ?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทำท่าแตะจมูกโดยไม่รู้ตัวขณะพูดกับจี้หลิงอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเลยนะแม่นางหลิงอวิ๋น ข้าโล่งใจที่เห็นว่าเจ้ายังเหมือนเดิม”
“เหมือนกลิ่นเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว”
จี้หลิงอวิ๋นยิ้มตอบกลับ แต่บนหน้าผากกลับมีเส้นเลือดปูดโปนออกมา กระบี่ที่อยู่ตรงสะโพกถูกดึงออกมาเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าต้องล้างส้วมเสียหน่อยกระมัง… ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
นางหันไปมองศิษย์ตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีศิษย์คนไหนของสำนักอสูรสวรรค์ให้ความสนใจ
หลีจิ่นเหยายิ้มบาง ๆ ให้ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิง มองดูศิษย์ผู้ชายด้วยแววตาสดใส แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็หันไปมองไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่ด้านหลังเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยความพึงพอใจ
ศิษย์คนที่สอง ต้าอิน กำลังยืนหัวเราะคิกคัก จี้หลิงอวิ๋นไม่ทราบว่านางกำลังหัวเราะสิ่งใดอยู่ นอกจากนั้นศิษย์คนอื่น ๆ กำลังทำอะไรเรื่อยเปื่อย อย่างการอ่านหนังสือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ศิษย์คนที่สาม หยินฉาเจี๋ย กำลังเอนตัวไปดูศิษย์คนโตที่กำลังศึกษาวิชาอสูรสวรรค์พร้อมรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์
“ศิษย์พี่อ่านอะไรอยู่ ขอศิษย์น้องดูด้วยคนสิ”
“น้องเจี๋ย อย่านะ!”
ศิษย์ในสำนักได้รับการสั่งสอนในเรื่องกลั่นแกล้งอาจารย์มาอย่างดีโดยตัวนางเอง ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตหรือสิ่งล่อลวงต่าง ๆ ก็ทำให้ไม่มีใครตอบสนองนางสักคน
จี้หลิงอวิ๋นเศร้าใจเล็กน้อย และพยายามดับอารมณ์โกรธที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อปลุกขึ้น ก่อนจะเก็บกระบี่ที่ชักออกมาเล็กน้อยเข้าฝัก
ช่วงเวลาต่อมา นางได้ยินเจวี๋ยอวิ๋นจื่อสนทนากับไป๋ชิวหราน
“ตอนที่ข้ากำลังเดินทาง บังเอิญไปเจอแม่นางจี้กำลังอาบน้ำในทะเลสาบแห่งยงโจว หลังจากวันนั้นนางถือกระบี่ไล่ฟันข้าสามวันสามคืนโดยที่ยังเปลือยอยู่!”
ตู้ม!
พลังแห่งแก่นแท้ในร่างของจี้หลิงอวิ๋นระเบิดออก ทำให้เกิดภาพอสูรลวงตาที่น่าสะพรึงก่อนจะฟันไปทางเจวี๋ยอวิ๋นจื่อโดยตรง ภาพอสูรลวงตาพุ่งไปตามคำสั่งของนางนับไม่ถ้วน
“บัดซบ! เจ้าเอาจริงหรือ?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อตะโกนขึ้น แต่ยกนิ้วขึ้นอย่างสงบ ภายใต้การควบคุมของเขา กระบี่บินที่อยู่ใต้เท้าโบกสะบัดวิถีลึกลับกลางอากาศ จากนั้นแสงกระบี่ปรากฏจนบดบังอารมณ์โกรธของจี้หลิงอวิ๋น
“ฮ่า ๆ แม่นางหลิงอวิ๋น คิดจะโจมตีข้าหรือ… แค่นี้ยังไม่พอหรอก!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยิ้มอย่างมีชัย
“อย่าลืมว่าสำนักกระบี่ชิงหมิงคือสำนักอันดับหนึ่งแห่งการต่อสู้”
อย่างไรก็ตามเขาลืมไปหนึ่งเรื่อง เวลานี้ตนกำลังเคลื่อนที่ด้วยกระบี่บิน ถึงแม้จะอยู่ในขั้นพลังที่สามารถยืนอยู่บนอากาศได้ ทว่าไป๋ชิวหรานซึ่งแต่เดิมไม่สามารถยืนบนกระบี่อยู่กลางอากาศได้…
ในทิศทางที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อมองไม่เห็น บรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงกับสำนักอสูรสวรรค์เฝ้ามองไป๋ชิวหรานที่กำลังร่วงลงพื้น หลังจากนั้นเงยหน้ามามองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยสายตาไว้อาลัย
…
ในยามบ่าย ซูเซียงเสวี่ยซึ่งแต่งกายชุดขาวกำลังพาศิษย์สำนักเหอฮวนมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ศิษย์ของสำนักเหอฮวนเป็นสตรีทั้งหมด เนื่องจากการฝึกฝนของสำนัก พวกนางจึงมีเสน่ห์และอารมณ์ที่เย้ายวน ทุกคนเดินตามเจ้าสำนักอย่างอารมณ์ดีมีความสุข แต่ไม่นานเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งห้อยลงมาจากต้นไม้… เขามีจมูกสีดำและใบหน้าบวมเป่ง
ศิษย์สำนักเหอฮวนหันไปกระซิบกันด้วยความประหลาดใจ จากนั้นส่งตัวแทนออกมาถามซูเซียงเสวี่ย
“อาจารย์ เขาเป็นใครงั้นหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยเหลือบไปมอง คนที่ถามคือโหยวเหมยเฉียวซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของนางเอง เป็นครึ่งมนุษย์ ครึ่งปีศาจเหมือนกับซูเซียงเสวี่ยที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ อีกทั้งได้ฝึกฝนย่างก้าวภูตพรายเช่นเดียวกัน
ทว่านิสัยไม่เหมือนซูเซียงเสวี่ยที่เป็นคนสงบอ่อนโยนและได้รับการฝึกปลุกพลังจากไป๋ชิวหราน โหยวเหมยเฉียวสืบทอดสายเลือดของนกกระจอกปีศาจ นางฉลาด คล่องแคล่ว และมีไหวพริบ
ซูเซียงเสวี่ยหันไปมองชายที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ เพียงชำเลืองมองแค่ครั้งเดียวก็จำได้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครและตอบกลับไปเบา ๆ
“เขาคือเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงคนปัจจุบัน”
“อะไรกัน?”
เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ พวกนางก็หันไปซุบซิบกันอย่างตื่นตระหนก
“ข้าได้ยินมาว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม ด้วยกระบี่อันคมกริบและไร้เทียมทาน แม้แต่อาจารย์ยังยอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ตอนนี้กลับห้อยลงมาจากต้นไม้…”
“อย่าตื่นตระหนก”
ซูเซียงเสวี่ยตอบกลับ
“ข้าทราบดีว่าใครเป็นคนทำ ไม่บ่อยนักที่หัวของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะปูดโปนเช่นนี้หรอก”
“เป็นยอดฝีมือลึกลับของฝั่งสำนักมารหรือเปล่า?”
ศิษย์ของสำนักเหอฮวนอายุยังน้อย ถึงแม้จะเป็นศิษย์ของหนึ่งในสำนักใหญ่อย่างเหอฮวน ทว่ายังอ่อนต่อโลกอยู่มาก ในความคิดของพวกนางจึงคิดว่าเป็นการลอบโจมตีทางฝั่งสำนักมาร
ดูเหมือนว่าโหยวเหมยเฉียวจะนึกคิดบางอย่างได้และมองไปที่อาจารย์ด้วยแววตาเปล่งประกาย
ซูเซียงเสวี่ยพอจะทราบว่าศิษย์กำลังคิดอะไรอยู่ นางใช้นิ้วแตะศีรษะศิษย์ของตัวเองพร้อมกล่าวเบา ๆ
“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ”