ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 86 ซื้อขายวรรณกรรม
บทที่ 86 ซื้อขายวรรณกรรม
“เจ้าสำนัก”
เมื่อมาถึงเมืองโบราณในรัฐซ่างหลิง มู่ฮวนผู้อาวุโสสำนักเหอฮวนที่ถูกส่งมารักษาการณ์ออกมาคำนับซูเซียงเสวี่ย
“ผู้อาวุโสมู่คงเหนื่อยมาก”
ซูเซียงเสวี่ยยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองรอบด้าน
อีกด้านหนึ่งห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารได้ส่งคนมาปกป้องพื้นที่เช่นกัน พวกเขาคอยป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนจากสำนักเล็ก ๆ แอบเข้ามา ซูเซียงเสวี่ยสังเกตเห็นท่านอาจารย์เว่ยเฉินอยู่แถวนี้ด้วย นางจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสมู่ฮวน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะใช้เวลากับท่านอาจารย์เว่ยเฉินโดยไม่ทะเลาะกัน?”
“ทำไมจะไม่เล่า ข้าทะเลาะกับเขาหลายครั้งแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน ฝูอวิ๋นจื่อผู้อาวุโสคนที่สี่ของสำนักกระบี่ชิงหมิงได้เข้ามาร่วมพูดด้วย
“แทบจำไม่ได้แล้วว่าทั้งสองสู้กันไปกี่ครั้ง หากดูให้ดีภูเขาใกล้เคียงถึงกับพินาศไปแล้ว”
“โอ้?”
ซูเซียงเสวี่ยอุทานขึ้น
“แล้วเหตุใดตอนนี้พวกเขาถึงดูปกตินัก?”
ฝูอวิ๋นจื่อมองซ้ายมองขวาก่อนจะกระซิบกับซูเซียงเสวี่ย
“หลังจากนั้นอาจารย์ลุงเข้ามาตรวจดูสถานการณ์ เขาคิดว่ามันน่ารำคาญเลยสั่งสอนไป…อีกทั้งยังบอกด้วยว่าหากยังไม่หยุด ตนจะร่วมสู้ด้วยจนกว่าจะยอม… เจ้าสำนักซูโปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าบอกอาจารย์ลุงล่ะ”
“อย่าบอกอะไรข้า?”
เสียงของไป๋ชิวหรานดังขึ้นจากด้านหลังของฝูอวิ๋นจื่อ
“มะ…ไม่มีอะไร”
ฝูอวิ๋นจื่อยิ้ม
“อาจารย์ลุงเชิญพูดคุยกับเจ้าสำนักซู ข้าจะไปรวมกลุ่มกับสำนักกระบี่ชิงหมิงแล้ว”
ไป๋ชิวหรานจ้องมองด้านหลังของฝูอวิ๋นจื่อขณะกำลังจะเดินจากไป หลังจากนั้นชั่วครู่เขาได้เอ่ยถาม
“ที่มาที่นี่เพราะอยากติดต่อหลี่เผิงเฟยเพื่อจะขาย ‘วรรณกรรม’ ที่เจ้าทำขึ้นอีกครั้งใช่หรือไม่?”
ฝูอวิ๋นจื่อกับหลี่เผิงเฟยผู้อาวุโสของหอหยกแห่งเซียนตูมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก… นี่เป็นข่าวที่หลายสำนักทราบ
หลี่เผิงเฟยเข้าสู่วิถีบ่มเพาะพลังด้วยทักษะการวาดภาพ และจิตวิญญาณแห่งเต๋าของเขาที่อยู่ในภาพวาดมีชื่อเสียงอย่างมาก จนมีชื่อเสียงว่าเป็น ‘นักบุญแห่งการวาด’ ในโลกผู้ฝึกตน
ผู้อาวุโสคนที่สี่ของสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นคนดูแลห้องสมุด และยังเป็นนักเขียนมือทอง สิ่งที่เขียนออกมาล้วนเต็มไปด้วยทักษะมากมาย ในโลกผู้ฝึกตนต่างเรียกว่า ‘นักกระบี่วิชาการ’ แม้แต่กระบี่หมึกที่ใช้ยังดูเหมือนพู่กันหมาป่าขนาดใหญ่
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็น พวกเขาทั้งสองมีงานอดิเรกที่ค่อนข้างหยาบโลน
ความสามารถทางวรรณกรรมของฝูอวิ๋นจื่อนั้นไม่ธรรมดา แต่บางครั้งไม่ได้ใช้ในทางที่ถูกต้องมากนัก… ชื่นชอบในทางต่ำ ๆ อย่างการอธิบายถึงความรักระหว่างชายหญิง การเขียนที่ไม่ธรรมดาของเขาสามารถกระตุ้นความคิดและอารมณ์ของผู้อ่านได้
จากนั้นนักบุญแห่งการวาดหลี่เผิงเฟยจะแสดงความภักดีต่อสหาย โดยการที่วาดภาพจับคู่กับสิ่งที่ฝูอวิ๋นจื่อเขียน มันจึงกลายเป็นภาพประกอบวรรณกรรมที่เคลื่อนไหวได้
ผู้อาวุโสจอมทะลึ่งทั้งสองมักจะใช้วิธีนี้หารายได้พิเศษ ได้ยินมาว่าผลงานกอบโกยได้มากมายในโลกมนุษย์
อย่างไรก็ตามซูเซียงเสวี่ยแอบบ่นกับไป๋ชิวหราน โดยบอกว่ามีผลงานมากมายที่ฝูอวิ๋นจื่อเขียนและวาดโดยหลี่เผิงเฟยออกขายในแดนเริงรมย์ อีกทั้งยังมีตัวเอกเป็นไป๋ชิวหราน ในชื่อเรื่อง ‘ความรักของต้นไม้เหล็กพันปี’
หลังจากไป๋ชิวหรานเก็บกวาดเรื่องราวทั้งหมด ฝูอวิ๋นจื่อกับหลี่เผิงเฟยจึงไม่กล้าเขียนวรรณกรรมต่อหน้าไป๋ชิวหรานแบบเปิดเผยอีก
หลังจากได้ยินคำถามจากไป๋ชิวหราน ฝูอวิ๋นจื่อจึงขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะอาจารย์ลุง ข้าให้คำสัญญากับศิษย์พี่ใหญ่แล้วจะไม่ขายของพวกนี้อีก… อย่างน้อยก็ในเมืองนี้!”
“จริงหรือ?”
ไป๋ชิวหรานแสยะยิ้มก่อนจะนำหนังสือที่มีอักษรสี่ตัวเขียนว่า ‘ไป๋ในวัยเยาว์’ ออกมา
“ดูเหมือนข้าจะเป็นแรงบันดาลใจของเจ้านะ”
“เวรแล้ว!”
ผู้อาวุโสสี่ฝูอวิ๋นจื่อเปิดตากว้าง หันไปมองผู้อาวุโสรอบด้าน แต่ผู้อาวุโสรอบด้านกลับไม่มีใครกล้าสบตาและหันหลังให้อย่างไม่ลังเล
“ไม่ต้องมองที่อื่น!”
ไป๋ชิวหรานตะโกนขึ้นดัง ฝูอวิ๋นจื่อตัวกระตุกยืนนิ่งโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไปเจอสิ่งนี้มาเอง มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ส่วนเจ้า…ให้เวลาหนึ่งถ้วยชาจัดการทุกอย่างให้กับศิษย์ในสำนัก… เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ฝูอวิ๋นจื่อพยักหน้าด้วยความเศร้าก่อนจะเดินจากไป
ว่ากันว่าอีกหนึ่งถ้วยชาต่อมา ศิษย์ของสำนักเหอฮวนกับสำนักกระบี่ชิงหมิงเห็นเขาแขวนเชือกตรงขาตัวเอง และห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ ซึ่งเป็นต้นเดียวที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อห้อยลงมา แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
ขณะมองฝูอวิ๋นจื่อเดินจากไป ซูเซียงเสวี่ยกล่าวกับไป๋ชิวหรานเบา ๆ
“อย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านประจานต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือ?”
“ไม่”
ไป๋ชิวหรานยกนิ้วโป้งขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ก่อนที่จะสั่งสอนพวกเขา ข้าก็เคยทำกับสำนักอสูรสวรรค์มาแล้ว”
…ไม่ได้มีแค่สำนักเดียวที่ต้องอับอาย นี่คือสิ่งที่ไป๋ชิวหรานคิด
“แล้วหวงฝู่เฟิงไม่คิดจะเอาเรื่องท่านเลยหรือ?”
“ไม่ เขาไม่มีทางเอาชนะข้าได้… ยิ่งกว่านั้นตอนที่สั่งสอนจี้หลิงอวิ๋น ตาแก่นั่นยังคิดว่ามันเป็นการฝึกที่ดีสำหรับจี้หลิงอวิ๋นเลย อีกทั้งยังปรบมือให้อีกด้วย”
ซูเซียงเสวี่ยกลอกตาไปมาก่อนจะพูดว่า
“เช่นนั้นก็ใช้กฎเดิม ให้ข้าช่วยจัดการ”
ไป๋ชิวหรานยื่นหนังสือเมื่อครู่ให้ซูเซียงเสวี่ย จากนั้นเจ้าสำนักเหอฮวนเปิดอ่านอย่างรวดเร็วโดยสีหน้ายังคงเดิม นางทำการประเมินวรรณกรรมนี้ทันที
ผ่านไปไม่นาน นางก็ปิดหนังสือลงและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ทั้งทักษะการวาดภาพและความสามารถในการเขียนของพวกเขาพัฒนาไปอีกขั้น… เหมยเฉียวมอบหินวิญญาณระดับสูงสองพันก้อนแก่บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
โหยวเหมยเฉียวยกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของซูเซียงเสวี่ย นางรู้ความลับมากมายของอาจารย์ เนื่องจากไป๋ชิวหรานค้นพบวรรณกรรมของฝูอวิ๋นจื่อและหลี่เผิงเฟย เขาจึงตกลงกับซูเซียงเสวี่ยว่าจะเอาไปขายแล้วแบ่งรายได้เท่า ๆ กัน แต่เนื่องจากซูเซียงเสวี่ยชอบเนื้อหาที่มีไป๋ชิวหรานเป็นตัวเอก ดังนั้นทุกเรื่องที่มีเขาอยู่ ซูเซียงเสวี่ยจะจ่ายเพื่อเก็บเป็นของสะสมโดยที่ไป๋ชิวหรานไม่ทราบ
โหยวเหมยเฉียวทราบว่าในห้องของอาจารย์เต็มไปด้วยของสะสมประเภทนี้ที่เกี่ยวกับไป๋ชิวหราน
แน่นอนว่านางไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากนำหินวิญญาณออกมาจากผ้าไหมที่ซูเซียงเสวี่ยขอให้เก็บไว้ จากนั้นจึงได้มอบหินวิญญาณจำนวนสองพันก้อนให้กับไป๋ชิวหราน
ไป๋ชิวหรานรับหินวิญญาณพร้อมเผยรอยยิ้มให้ซูเซียงเสวี่ย ดวงตาของชายหนุ่มเผยความหมายว่า ‘ไว้ร่วมงานกันอีกครั้งหน้า’ ซูเซียงเสวี่ยเผยสายตาเช่นนั้นกลับ ฉากนี้ทำให้ผู้คนรอบด้านหันมามอง ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าพวกเขาเป็นหญิงและชายแก่ที่โหดเหี้ยม
หลังจากทำธุรกิจกันเรียบร้อย ไป๋ชิวหรานกระแอมเบา ๆ ก่อนจะนำทางศิษย์สำนักเหอฮวนเข้าไปพร้อมกับซูเซียงเสวี่ย
“เช่นนั้นเชิญแม่นางน้อยของสำนักเหอฮวนเข้าไปด้านใน”
…