ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 89 กับดัก
บทที่ 89 กับดัก
ไป๋ชิวหรานกำลังเดินคลำทางเข้าไปในความมืด
หลังจากเดินทางผ่านรูบนกำแพงหิน ชายหนุ่มรู้สึกว่าทางเดินเริ่มคับแคบลงเรื่อย ๆ
เดิมทีมันเป็นความกว้างที่แทบจะไม่พอสำหรับคนสองคนเดิน ทว่าหลังจากเดินมาได้สักพักก็กลายเป็นความกว้างที่แม้แต่คนคนเดียวยังแทบไม่สามารถผ่านไปได้
ยิ่งก้าวไปข้างหน้า ทางเดินยิ่งแคบลงทุกขณะ เมื่อถึงจุดนี้ ไป๋ชิวหรานทราบเพียงแค่ต้องพยายามบีบตัวเองเข้าไปเท่านั้น
ขณะที่เดินเท้าผ่านทางเดินที่แคบนี้ กำแพงหินทั้งสองด้านยังคงบีบเข้าหาราวกับอยากจะบดขยี้ให้เละ!
บางทีสหายบางคนอาจจะชอบการถูกบีบรัดนี้ แต่สำหรับไป๋ชิวหรานแล้ว เขาไม่ชอบอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาแค่พยายามอดทนให้ถึงสุด หากไม่กังวลว่าถ้ำทั้งหมดจะพังทลาย เช่นนั้นคงทำลายกำแพงเพื่อเปิดทางไปนานแล้ว
หลังจากเดินต่อไปบนเส้นทางอันคับแคบ ในที่สุดก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มเห็นทางออกอย่างเลือนรางแล้วเวลานี้ กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างมาก อย่าว่าแต่คนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตน…แม้กระทั่งผู้ฝึกตนเองยังทรมานอย่างบอกไม่ถูก
“…”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“เจ้าบังคับข้าเองนะ”
ชายหนุ่มเค้นพลังด้วยความโกรธจัด จากนั้นใช้ไหล่ดันกำแพงหินที่บีบอัดเข้ามา และไม่นานออกเดินไปต่อพร้อมพลังที่ปกคลุมรอบกาย ซึ่งสามารถทะลวงผ่านกำแพงหินได้อย่างง่ายดาย!
ชายหนุ่มเดินผ่านทางเดินที่คับแคบต่อไปพร้อมกำแพงหินที่ถูกผลักออก เวลานี้ไม่รู้สึกอึดอัดจากการถูกกำแพงหินบีบอัดอีก
ทันใดนั้น เกิดเสียงดังขึ้นและมีทางออกรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้น เมื่อไป๋ชิวหรานเดินออกมาได้ ก็ทำเพียงยกมือตบฝุ่นตามตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
เบื้องหน้าเป็นพื้นแผ่นดินที่แตกร้าวและไหม้เกรียม มีไฟพ่นออกมาสูงจากทุกรอยแยก อุณหภูมิของมันสูงจนก่อให้เกิดควันกับความร้อน
เปลวไฟนั่นไม่ใช่ไฟธรรมดา อย่างน้อยคงเหนือกว่าเปลวไฟที่ผู้ฝึกตนใช้ป้องกันตัวเอง ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่เหยียบลงไปบนพื้นที่แตก ก้อนดินบางส่วนจะตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะ ๆ ราวกับอุกกาบาตที่มีเปลวไฟลุกโชน หลังจากมันกระทบพื้นแล้ว ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
ผ่านไปครึ่งทาง บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไฟบนพื้นหายไป แผ่นดินที่ไหม้เกรียมถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ อีกทั้งอุณหภูมิโดยรอบยังเย็นลงราวกับเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง
หิมะสีขาวพลิ้วไหวกลางอากาศ ลูกเห็บกับผลึกน้ำแข็งตกลงมาเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกับเปลวไฟก่อนหน้านี้ น้ำแข็งและหิมะเหล่านี้ไม่ใช่ของธรรมดา หากผู้ฝึกตนมีรากฐานพลังไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นก็อาจทำให้เกิดภาวะอาการบวมน้ำเหลืองได้
“ทุกข์แห่งชีวิตที่ว่าเป็นเช่นนี้เองหรือ?”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเย็นหรือร้อนก็ไม่สามารถทำอะไรไป๋ชิวหรานได้ หลังจากเข้ามาในสถานที่นี้แล้ว ชายหนุ่มเดินสำรวจรอบด้านราวกับว่ากำลังเดินเล่น
“นี่คือความเจ็บปวดของความหนาวเย็นและความร้อน เช่นนั้นข้อความก่อนหน้านี้เป็นสิ่งจำลองความเจ็บปวด ถ้ำที่แคบลงเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้คงเป็นประตูก่อนเกิดตอนเป็นทารก…เราจำได้ว่าต้องเจ็บจากการถูกมือยักษ์บีบด้วยไม่ใช่หรือ?”
หลังจากเดินต่อไปได้ไม่นาน ไป๋ชิวหรานเห็นความเจ็บปวดของ ‘มือยักษ์’ อย่างที่เขาคาดไว้
มันคือสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่มีขนสีขาวทั่วตัว รูปร่างเหมือนวานรชนิดหนึ่ง มีฝ่ามือที่ใหญ่ ร่างกายสูงหลายสิบฉื่อ หากมองจากระยะไกลมันจะเหมือนกับภูเขาลูกเล็ก ๆ
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานบนทางเดิน สัตว์ร้ายตัวมหึมาส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้น ขณะที่เคลื่อนเข้ามาจนพื้นดินสั่นสะเทือน มันยื่นมือยักษ์ไปทางไป๋ชิวหรานทันที!
มือยักษ์นั่นเข้าล้อมไป๋ชิวหรานราวกับหลังคา แต่ครู่ต่อมา กลับเป็นสัตว์ร้ายที่ส่งเสียงหอนอย่างเจ็บปวด
แขนของมันแตกออกทีละชุ่นราวกับลูกกวาดแท่งที่ถูกค้อนทุบ เลือดสีน้ำเงินมหาศาลไหลออกมาจากบาดแผล
เนื่องจากมันคว้าไป๋ชิวหรานผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณทั่วไป ชายหนุ่มจึงตอบโต้อย่างไม่ลังเล
“อย่าเอามือสกปรกที่เจ้าใช้มันเป็นภรรยามาแตะต้องข้า ไอ้สารเลว”
ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจก่อนจะดึงดาบเหล็กออกมาจากถุงเก็บของ
ชายหนุ่มได้ใช้ดาบผ่าร่างของสัตว์ร้ายออกเป็นสองซีก จากนั้นเดินผ่านร่างนั้นไปโดยไม่แยแส
ขณะเดียวกัน ร่างที่โดนสังหารเมื่อครู่ล้มลงกับพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานมันกลายเป็นแสงประหลาดสีน้ำเงินแล้วสลายหายไปกลางอากาศ
“น่าสนใจดีนี่ นึกว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ละแวกนี้เสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นสัตว์เทียม”
หลังจากหันไปมองร่างเจ้าสัตว์ร้ายที่สลายกลายเป็นอากาศ ไป๋ชิวหรานก็เดินทางต่อ
หากพวกเซียนปฐพีสามารถควบคุมทักษะเวทมนตร์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้จริง เช่นนั้นคงมีวิธีบรรลุขั้นพลัง ซึ่งมันอาจทำให้เขาสามารถก้าวข้ามขั้นกลั่นลมปราณไปสู่ขั้นสร้างรากฐานได้เช่นกัน!
หลังจากผ่านบททดสอบทั้งสามเรื่องความทุกข์ยากของชีวิต ไป๋ชิวหรานได้เดินมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้
เบื้องหน้าหน้าชายหนุ่ม ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวเป็นถนนที่ทอดยาวออกไปเรื่อย ๆ มีหิมะตกเล็กน้อยก่อนจะเข้าสู่เส้นทางหมอกหนาทึบ
แต่ในขณะเดียวกันมีเสียงร้องแผ่วเบาเพื่อขอความช่วยเหลือดังเข้าหู
“สหาย? นี่สหาย!”
ชายหนุ่มมองไปยังทิศทางของเสียง และพบว่าท่ามกลางกลุ่มผลึกน้ำแข็งข้างถนน มีผู้ฝึกตนสวมชุดสำนักอื่นซึ่งถูกแช่ไว้ในผลึกน้ำแข็ง โดยมีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ขยับได้
“สหาย พวกเราถูกลิขิตให้มาพบกัน ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานมองมา ผู้ฝึกตนเผยสายตาอ้อนวอนทันที
“ข้าถูกสัตว์ยักษ์นั่นจับมาแล้วถูกแช่แข็งไว้ที่นี่ สหายผู้กล้าหาญคงสังหารมันแล้ว ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่? หากข้าออกไปได้ เช่นนั้นรับประกันว่าสำนักมังกรขาวจะรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง”
“สำนักมังกรขาว? สำนักอันดับสองในยงโจวไม่ใช่หรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวขณะเดินเข้าไปใกล้ผลึกน้ำแข็ง
“ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมบอกแล้วว่าอย่าเข้ามาเป็นการส่วนตัว แต่เจ้ากลับไม่ฟัง ดูสิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร…รอเดี๋ยวข้าจะช่วยเอง”
ผู้ฝึกตนคนนั้นเผยสีหน้าละอายใจ เมื่อไป๋ชิวหรานเดินเข้าไปใกล้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้น มีแสงสีเงินพุ่งออกมาจากผลึกน้ำแข็งเจาะเข้าไปยังหน้าท้องชายหนุ่มอย่างเงียบเชียบ
ร่างกายของไป๋ชิวหรานหยุดนิ่งเมื่อเห็นสิ่งนั้น ส่วน ‘ผู้ฝึกตน’ ของสำนักมังกรขาวออกแรงเล็กน้อยเพื่อทำลายผลึกน้ำแข็ง จากนั้นกระโดดมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
‘ผู้ฝึกตน’ กล่าวกับไป๋ชิวหราน
“อย่างที่บอก เจ้าสามารถจับคนโง่ ๆ เช่นนี้ได้สักคนสองคนจากการวางกับดัก ตอนนี้เจ้าได้ร่างใหม่แล้ว งั้นจงกลับไปหาพี่น้องคนอื่น ๆ ซะ!”
“วางกับดักสินะ วิเศษมาก!”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า จากนั้นใช้กำปั้นทุบไปที่หัวของ ‘ผู้ฝึกตน’ ตรงหน้าก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบสนอง
ศพไม่มีหัวล้มลงกับพื้น แสงสลัวของวิญญาณที่พุ่งออกมาจากร่างถูกไป๋ชิวหรานจับไว้แล้วส่งมันเข้าไปในจี้หยกเพื่อใช้คุมขังวิญญาณชั่วคราว
ไป๋ชิวหรานมองดูจี้หยกก่อนจะหันไปมองศพที่นอนอยู่กับพื้น
“สำนักมังกรขาวคือหนึ่งในฝั่งสำนักอสูร หากคิดวางกับดักก็ทำให้ดีกว่านี้หน่อยสิเจ้าโง่”
…