ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 90 นกพิราบครองรังนกกางเขน
บทที่ 90 นกพิราบครองรังนกกางเขน
ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำเซียน ร่างที่โค้งงอกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ท่ามกลางความมืด
ร่างปกคลุมด้วยเสื้อสีเข้มที่เต็มไปด้วยฝุ่น ผมบนศีรษะบางเหลือเพียงเล็กน้อย ดวงตาจมเข้าไปในเบ้า แก้มไม่เหลือเนื้อหนังราวกับว่าเป็นโครงกระดูก
แต่ภายในเบ้าตา ดวงตาสีดำคู่นั้นยังคงสว่างไสวอย่างเย็นเยือก
ข้างหน้าเขามีม่านแสงเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ม่านแสงนั้นสะท้อนภาพการทดสอบของบุคคลภายนอกในแต่ละชั้นของพื้นที่ ดวงตากำลังจ้องมองไปยังม่านแสงที่กำลังฉายภาพถังรั่วเวย ซึ่งใช้วิชากระบี่ที่ไป๋ชิวหรานสอน… สังหารหญิงสาวที่รูปร่างเหมือนนาง
หญิงสาวที่เป็นร่างจำแลงกำลังถูกถังรั่วเวยถูกทุบตีด้วยความโกรธ
ในเวลาเดียวกัน ม่านแสงอีกด้านกำลังฉายภาพหลีจิ่นเหยาที่ถือมีดอยู่ในมือ นางกำลังไล่สังหารผู้ชายผมยาวสีขาวอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากดูไปสักพักเขาก็หันกลับมา
สาวน้อยทั้งสองได้การทดสอบ ‘ไม่แสวงหาสิ่งที่ต้องการ’ อันที่จริงการทดสอบนี้ไม่ได้ทดสอบความสามารถในการต่อสู้ แต่เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจของผู้มาเยือน
ดังนั้นร่างจำแลงที่ถูกสร้างขึ้นจึงอ่อนในด้านการต่อสู้
ตามกระบวนการทั่วไป การทดสอบไม่แสวงหานี้จะแสดงให้เหล่าผู้ทดสอบได้เห็นสิ่งที่ตัวเองปรารถนามาทั้งชีวิต ก่อนจะนำมาทำเป็นร่างจำแลง หลังจากปล่อยให้สัมผัสกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะหายไปทันทีเพื่อให้ได้ลิ้มรสในสิ่งที่ไม่อาจแสวงหาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมันจะทำลายสภาพจิตใจของผู้ฝึกตน
สภาพจิตใจของผู้ฝึกตนแทบจะใกล้ชิดกับรากฐานการบ่มเพาะพลัง หากสภาพจิตใจได้รับความเสียหาย มันสามารถทำลายขั้นพลังของผู้ฝึกตนได้!
เมื่อคนธรรมดาปฏิบัติกับสิ่งที่ตัวเองได้รับหลังจากขอมาแล้ว พวกเขามักจะดูแลเอาใจใส่และให้ความสำคัญยิ่งกว่าชีวิต อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้ออกแบบบททดสอบนี้ยังไม่คาดคิดว่าจะมีคนที่เพิกเฉยต่อสิ่งที่ปรารถนาแล้วใช้กระบี่ฟันอย่างเลือดเย็น
แต่คนในชุดคลุมสีดำหาได้สนใจไม่ โลกนี้มีคนทุกประเภท ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผู้ฝึกตน… หนึ่งหรือสองคนจะมีพฤติกรรมแปลก ๆ เป็นครั้งคราว
ชายชุดดำดึงความสนใจทั้งหมดไปที่ม่านแสงอีกบานหนึ่ง ภายในนั้นฉายภาพไป๋ชิวหรานกำลังเช็ดมือตัวเองอยู่เหนือศพที่ไม่มีศีรษะและเดินทางเข้าไปในหมอกต่อ
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีผู้ฝึกตนจากภายนอกที่ทรงพลังเช่นนี้”
ชายชุดดำเผยสีหน้าครุ่นคิด
“หากสามารถครอบครองร่างของเขาได้ เช่นนั้นข้า…”
ราวกับสัมผัสได้ว่าชายชุดดำกำลังคิดอะไรอยู่ ข้าง ๆ ของเขามีหัวกะโหลกคล้ายหยกสีขาว มีเปลวไฟสีน้ำเงินจาง ๆ สองดวงจุดประกายขึ้น และตามมาด้วยเสียงเยาะเย้ย
“พยายามจะครอบครองร่างของเขางั้นหรือ? ด้วยความโง่เขลาของเจ้า การให้ร่างกายนั้นนับว่าไร้ประโยชน์”
“ฮึ่ม”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ชายชุดดำพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ริมฝีปากของเขาไม่ขยับ ทว่ามีเสียงเอ่ยถามออกมา
“เจ้าทราบรายละเอียดของเขางั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าทราบ ข้าคือปัญญาเซียนที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์เลยนะ”
แสงในหัวกะโหลกส่องสว่างอย่างไม่สิ้นสุด
“แต่ข้าจะไม่บอกอย่างแน่นอน ‘องค์ชายแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์’ เป็นผีก็นอนในโลงไปเงียบ ๆ! โดยเฉพาะผีอย่างเจ้าที่กำลังจะหนี!”
“โอ้ ปัญญาเซียนงั้นหรือ? ช่างเป็นชื่อที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ จนถึงตอนนี้มันยังไม่ตายไปพร้อมกับกระดูกนั่นอีกหรือ? เหลือเพียงแค่เศษซากวิญญาณน่าสมเพชเท่านั้น”
ชายชุดดำเยาะเย้ย
“แล้วคิดว่าสภาพเจ้าต่างจากข้านักหรือ?”
“แต่ข้าไม่เหมือนเจ้า องค์ชายแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์”
วิญญาณในหัวกะโหลกสั่นไหว
“ข้าไม่มีความปรารถอย่างอื่น และไม่มีวันที่จะแย่งร่างกายของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง… ไม่เหมือนเจ้าที่หมกมุ่นแต่กับโลกภายนอก ข้าสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี แล้วบททดสอบ ‘ไม่แสวงหา’ ที่ว่านั่นเหมาะสมกับเจ้ามากกว่าใคร”
ชายชุดดำไม่กล่าวตอบ แต่มีจิตสังหารอันเย็นเยือกปะทุออกมาจากร่าง แม้จะสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร… ทว่าเจ้าหัวกะโหลกไม่มีทีท่าหวาดเกรงแต่อย่างใด
“เจ้าสังหารข้าไม่ได้หรอก วิญญาณดึกดำบรรพ์ของข้าได้รับพรจากสวรรค์และเป็นอมตะ… คิดว่าจะทำอะไรได้งั้นหรือ?”
หน้าอกของชายชุดดำสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก!
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สงบสติอารมณ์ลงได้อีกครั้ง
“ใช่! ข้าสังหารเจ้าไม่ได้”
เสียงของชายชุดดำเต็มไปด้วยความโกรธ
“แต่หลังจากที่ได้ร่างกายนั่นมาครอบครอง ข้ามีวิธีทรมานเจ้า… จะทำให้ร้องโหยหวนอย่างหมาจรจัด มันจะทรมานจนคิดว่าตายยังดีกว่าอยู่!”
…
อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานที่เดินผ่านหมอกอันหนาทึบพบว่าได้กลับมายืนที่ยอดเขาดังเดิม
เมื่อมองกลับไป ชายหนุ่มเห็นเมฆหมอกอยู่ระหว่างยอดเขากับตัวเอง เวลานี้ผ่านมาได้เกือบครึ่งทางแล้วโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีเมฆหมอกลอยอยู่ด้านล่าง กล่าวได้ว่าถือเป็นแบบทดสอบที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่ง
“แปดมหาทุกข์ของชีวิตเริ่มจากการจุติแล้วขึ้นสู่การเป็นเซียน… เช่นนั้นก็หมายความว่าต้องผ่านการทดสอบทั้งแปดอย่างก่อนจะเข้าไปในถ้ำเซียนได้สินะ?”
ไป๋ชิวหรานมองดูเมฆหมอกด้านล่าง จากนั้นเดินลงไป ทางเดินชันจนเกือบจะตั้งขนานกับโลก
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มเป็นถึงยอดฝีมือในโลกของผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเข้าไปในถ้ำเซียนได้หรือไม่… เขาจะลองดูสักตั้ง!
เมื่อผ่านเมฆหมอกก่อนหน้านี้อีกครั้ง ไป๋ชิวหรานรู้สึกถึงการคลาดเคลื่อนเชิงพื้นที่ที่คุ้นเคย ชายหนุ่มเริ่มเดินออกไป พยายามค้นหากลไกที่จะส่งตัวเองผ่านมิติ ขณะที่รู้สึกว่ากำลังจะสัมผัสบางอย่างได้ ทว่าเมฆหมอกก็หายไปและพาเขามายังพื้นที่ใหม่
ต่างจากที่แรก คราวนี้มายังพื้นที่เปิดโล่ง ด้านซ้ายและด้านขวายังคงเป็นเหวลึก ถนนหินที่ผ่านไปได้เพียงคนเดียวยังทอดยาวไปไกล ท้องฟ้ามืดมิดหายไป กำแพงหินที่เคยมีกลายเป็นท้องฟ้ายามอัสดง
ดูเหมือนว่าจะมีข้อห้ามเหนือทางเดิน ซึ่งใช้ปราบผู้ฝึกตนที่คิดจะบิน เพราะต้องผ่านบททดสอบด้วยการเดินเท้าเท่านั้น
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสลัวทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเป็นคนแก่ที่ใกล้ตาย ไป๋ชิวหรานมองไปรอบ ๆ และเห็นแผ่นหินที่เคยพบเมื่อครั้งก่อน บนแท่นหินนั้นเขียนไว้ว่า
‘ผู้ยุติธรรมเท่านั้นที่จะมีผมสีขาว ส่วนพวกผู้สูงศักดิ์จะไม่ละเว้น’
หลังจากนั้นไม่นาน จารึกเปลี่ยนไปอีกครั้งและกลายเป็นอักขระใหญ่หลายตัว
‘ทุกข์ที่สอง ทุกข์จากความชรา’
“ความชรา…?”
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ถ้ำนี้ปล่อยให้ผู้ฝึกตนเจ็บปวดกับช่วงวัยได้อย่างไร? มีความสามารถในการควบคุมเวลางั้นหรือ?”
…