ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 94 ตำนานความเหงาแห่งสิบแผ่นดิน
บทที่ 94 ตำนานความเหงาแห่งสิบแผ่นดิน
“หรือมันเป็นของปลอมไร้ประสิทธิภาพจากพวกเซียนปฐพี?”
หลังจากเดินวนไปมาภายในพื้นที่ทดสอบ ไป๋ชิวหรานผู้ซึ่งไม่พบอะไรเกิดขึ้นจึงหันกลับมามองที่แผ่นศิลาอย่างว่างเปล่า
ถังรั่วเวยและหลีจิ่นเหยาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ส่วนชายชุดดำที่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ชายชุดดำอดไม่ได้ที่จะกล่าว
“เขามีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว ไม่เคยสัมผัสรสชาติของความรักเลยงั้นหรือ?”
อย่างไรก็ตาม กลไกส่วนใหญ่ในถ้ำเซียนไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ทันทีที่กล่าวจบ ตัวอักษรบนแผ่นศิลาที่เป็นชื่อของไป๋ชิวหรานพลันหายไป
“มันหายไปแล้ว”
ไป๋ชิวหรานตบแผ่นศิลาและมองขึ้นไปบนฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น? ของของพวกเจ้าไม่มีประสิทธิภาพเลยหรืออย่างไร?”
“ตัวอักษรที่หายไปหมายความว่าบรรพชนสำนักระบี่ชิงหมิงผ่านบททดสอบแล้วงั้นหรือ?”
แม้แต่ผู้มีความสามารถอย่างหลีจิ่นเหยาก็ยังไม่เข้าใจ
“แต่ทำไม…”
ถังรั่วเวยจ้องไปที่อาจารย์ก่อนจะกล่าว
“อ๊ะ ข้าทราบแล้ว!”
ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยามองนางด้วยความสงสัย ถังรั่วเวยหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่ม
“ท่านอาจารย์เป็นโสดมาตลอดสามพันปี ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อที่เจ้าสำนักบอก ตอนนี้ดูเหมือนว่าตำนานความเหงาแห่งสิบแผ่นดินนั้นจะเป็นความจริง…”
ไป๋ชิวหรานมองอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“ศิษย์ชั่วพูดอะไรของเจ้า? ถึงกระนั้นข้าก็มีอาจารย์ที่เป็นเหมือนครูผู้สอนและบิดาอยู่นะ!”
“แต่ท่านปรมาจารย์ได้เข้าสู่โลกเซียนไปแล้ว หากจะดึงเขามาจากโลกเซียนคงเป็นไปไม่ได้”
ถังรั่วเวยกะพริบตาก่อนจะกล่าวถาม
“ด้วยพลังของโลกเซียนในปัจจุบัน พวกเขากล้าพอที่จะสร้างปัญหากับโลกเซียนหรืออย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานพูดไม่ออก
หลังจากเห็นไป๋ชิวหรานซึมเศร้าอยู่ชั่วครู่ หลีจิ่นเหยาจึงเดินเข้าไปในพื้นที่ทดสอบ ระหว่างทางถังรั่วเวยเห็นว่ามีหมอกปรากฏขึ้น จากนั้นก็มีบางอย่างคล้ายร่างมนุษย์ปรากฏออกมาภายในนั้นแล้วพูดอะไรบางอย่างกับหลีจิ่นเหยา นอกจากนั้นถังรั่วเวยยังเห็นจี้หลิงอวิ๋นเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักอสูรสวรรค์อยู่ในนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หลีจิ่นเหยาก็สามารถเดินผ่านคนเหล่านั้นได้อย่างสงบ เมื่อร่างวิญญาณของจี้หลิงอวิ๋นคิดจะเข้ามาขวาง นางเตะกลับอย่างไร้ปรานี
หลังจากเดินวนไปและกลับมาอีกครั้ง ชื่อของนางบนแผ่นศิลาก็หายไป
“เป็นเช่นนี้เองสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลีจิ่นเหยามองดูแท่นศิลาพร้อมกล่าว
“การทดสอบนี้จริง ๆ แล้วทำให้เกิดความเจ็บปวดจากการจากลากับคนที่ผูกพัน ตราบใดที่เอาชนะอารมณ์ในหัวใจได้ การทดสอบนี้จะไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น”
ถังรั่วเวยถามต่อ
“แล้วเหตุใดพี่หลีถึงเตะเจ้าสำนักจี้ล่ะ?”
“โอ้ นั่นเพราะอาจารย์เป็นหญิงที่ค่อนข้างตลก จู่ ๆ มาแสดงท่าทีเหมือนคนตายซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ข้าเลยรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย อีกทั้งยังเหมือนถูกหลอกลวง… จึงรำคาญใจเตะกลับไปเสีย”
หลีจิ่นเหยาตอบกลับ
“แต่ต้องยกความดีความชอบให้นาง ข้าถึงผ่านบททดสอบนี้ได้”
ขณะกล่าว จี้หลิงอวิ๋นที่อยู่นอกถ้ำจามโดยไม่มีเหตุผล การจามนี้ส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายปวดร้าว และบาดแผลที่เกิดจากไป๋ชิวหรานได้กำเริบขึ้นมา ทำให้เจ็บปวดมากจนกัดฟันแน่น
“ตอนนี้ข้าเริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว”
ถังรั่วเวยกล่าว
“เมื่อเทียบกับศิษย์พี่หลี สภาพจิตใจของข้าไม่ได้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน และยังไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนอาจารย์”
“ลองดูก่อนสิ มันอาจจะไม่โหดเกินไปสำหรับเจ้าก็ได้”
หลีจิ่นเหยาชักชวน
“ยิ่งกว่านั้นคงไม่มีอันตรายใดหากบรรพชนสำนักระบี่ชิงหมิงอยู่ที่นี่ บรรดาผู้ฝึกตนควรจะตัดขาดจากทางโลก ข้าคิดว่าน้องรั่วเวยอายุเพียงยี่สิบสี่ปี ญาติของเจ้าคงยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นควรใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางอารมณ์ นับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีมาก”
“เอาล่ะ ตกลง”
ถังรั่วเวยมองไปที่ไป๋ชิวหรานอย่างลังเล
“อาจารย์ ข้าจะไปแล้วนะ”
“รีบไป รีบไปเถอะ”
ไป๋ชิวหรานทำหน้าบึ้งตอบ
“รีบไปพบญาติพี่น้องของเจ้าได้แล้ว”
ถังรั่วเวยโกรธขึ้นมาทันที จากนั้นเดินเข้าไปในจุดทดสอบด้วยความไม่พอใจ
ทันทีที่เข้าไปพื้นที่ทดสอบ จู่ ๆ เมฆหมอกเทลงมารอบด้าน ถังรั่วเวยหันกลับไปมองก็พบว่าไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาหายตัวไปแล้ว!
นางประหม่าเล็กน้อย แต่หลังจากกลืนน้ำลายลงคอก็เดินหน้าต่อไป
หลังจากผ่านไปได้สักพัก เมฆรอบด้านพลันสลายไปจนกลายเป็นสนามรบ!
มีซากศพอยู่รอบตัว ปีศาจและมนุษย์จำนวนมากนอนอยู่เกลื่อนพื้น อีกทั้งยังมีแก่นแท้ที่เย็นเยือกลอยอยู่กลางอากาศ
บนโขดหินตรงหน้ามีหญิงสาวผมหางม้าสีดำนอนอยู่ นางสวมชุดเกราะของสตรี แต่ดูบาดเจ็บสาหัส โลหิตไหลท่วมออกมาจากร่างกาย
ถังรั่วเวยจำหญิงสาวคนนี้ได้ นางคือจั่วเหยียนเฟยจากกองทัพเทพยุทธ์ สหายที่พบกันระหว่างทางลงเขาในรัฐติ่งกั๋ว
หลังจากกลับไปที่ภูเขา พวกนางมักจะส่งจดหมายถึงกันและกลายเป็นสหายที่ดี
“อ๊ะ รั่วเวย”
จั่วเหยียนเฟยที่มีสติเลือนราง ‘เห็น’ นางและยิ้มอ่อนให้ก่อนจะกล่าว
“เจ้าอยู่ที่นี่ เป็นความรู้สึกที่ดีนักเมื่อได้เห็นเจ้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต”
ถังรั่วเวยทราบดีว่าจั่วเหยียนเฟยคนนี้เป็นตัวปลอม แต่หลังจากดูสภาพที่น่าสังเวชก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าโศก
นางทราบดีว่าในฐานะทหารองครักษ์ของมนุษย์ จั่วเหยียนเฟยอาจมีจุดจบเช่นนี้ในอนาคต
ถังรั่วเวยฝืนใจเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจจั่วเหยียนเฟย ทันใดนั้นเมฆหมอกเริ่มปกคลุมอีกครั้ง คราวนี้ผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเป็นจักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียน มีร่างกายที่ชราและนอนโทรมอยู่บนเตียง
ด้านข้างเตียงมีน้องชายของนางที่เป็นองค์ชายแห่งรัฐซ่างเสวียน และพระสนม พวกเขากำลังฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของจักรพรรดิ
ถังรั่วเวยอดไม่ได้ที่จะน้ำตาตก เมื่อเทียบกับจั่วเหยียนเฟย ฉากนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต นางได้เข้าร่วมกับสำนักกระบี่ชิงหมิงและกลายเป็นผู้ฝึกตน แต่จักรพรรดิรัฐซ่างเสวียนเป็นเพียงมนุษย์ อนาคตอีกไม่ไกลก็ต้องแยกทางกัน
นางอดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างเตียง อยากได้ยินคำพูดสุดท้ายนั่น…
“ลูกพ่อ เมื่อเติบโตขึ้นและจะได้กลายเป็นผู้นำอาณาจักรนี้ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะทำมันได้ดี”
จักรพรรดิรัฐซ่างเสวียนกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอามือวางไว้บนไหล่ขององค์ชาย
“สิ่งเดียวที่อดกังวลไม่ได้ก็คือพี่สาวของเจ้าที่ไปบ่มเพาะพลังกับสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าได้ยินมาว่าสำนักกระบี่ชิงหมิงนั้นไร้เทียมทานในโลกของผู้ฝึกตน นาง…จะตัวสูงขึ้นหรือยัง? จะสวยขึ้นอีกหรือเปล่า? จะแต่งงานกับผู้ใด? วิชาลับของสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นอย่างไร? ขั้นพลังของนางจะสูงแค่ไหน? รั่วเวย…หน้าอกจะโตขึ้นกว่าเดิมหรือไม่?”
แกร๊ก!
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ถังรั่วเวยได้ยินเสียงบางอย่างหักดังเปาะในใจ
ความอัปยศอดสูและความโกรธอย่างไม่รู้จบได้แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของนาง พลังความโกรธในใจได้เปลี่ยนหญิงสาวที่อ่อนแอซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาให้กลายเป็นมังกรคลั่งทันที
“ไอ้พวกเซียนบัดซบ! นี่มันภาพลวงตาบ้าอะไรกันวะ!”
หญิงสาวคำรามเสียงดังพร้อมใช้มือตบฉากตรงจนกระจุย
“ลงนรกไปซะ!”