ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 95 ความเกลียดชัง
บทที่ 95 ความเกลียดชัง
ในมิติมืด ชายชุดดำกำลังมองไปยังม่านแสงที่ฉายภาพของถังรั่วเวยที่กำลังทำบททดสอบ ‘รักและการพลัดพราก’ เมื่อเห็นฉากในนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่นี่มันยังไงกัน?”
เขามองไปยังถังรั่วเวยที่ตัดศีรษะของจักรพรรดิรัฐซ่างเสวียนพร้อมบ่นพึมพำ
“เกิดข้อผิดพลาดอะไรหรือเปล่า? ถึงแม้จะเป็นภาพลวงตา แต่นั่นเป็นบิดาของนางนะ! บิดาผู้ให้กำเนิด!”
หัวกะโหลกที่อยู่ในมุมมืดมองดูฉากในม่านแสง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยราวกับทราบทุกอย่าง
…
“เอ่อ…ข้ากลับมาแล้ว”
หลีจิ่นเหยาที่อยู่ข้างแผ่นศิลามองยังถังรั่วเวยที่กลับมาอย่างปลอดภัย
“ศิษย์น้องรั่วเวย เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าจะทำอะไรอีก ไม่เห็นสีหน้าของนางหรืออย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานมองดูศิษย์ด้วยความเยาะเย้ยและกล่าวอย่างสบาย ๆ
“ฮึ ข้าว่านางคงจะถูกจี้ใจดำระหว่างอยู่ในแดนมายา… บททดสอบนี้มันเก่งกับจิตใจจริง ๆ”
เนื่องจากความคลาดเคลื่อนของมิติ ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาจึงสามารถมองเห็นผู้คนทุกประเภทที่ปรากฏตัวขึ้นรอบ ๆ ถังรั่วเวย เมื่อนางผ่านไปได้ครึ่งทาง พวกเขาก็เห็นผู้คนรอบด้านถังรั่วเวยถูกโจมตีอย่างบ้าคลั่งด้วยพลังปราณอันรุนแรง พื้นที่รอบด้านถูกทำลายต่อหน้า แต่ไม่ทราบว่าถังรั่วเวยเจออะไรถึงโมโหขนาดนั้น
ถังรั่วเวยเดินไปยังแท่นศิลา นางเอื้อมมือไปแตะมันเบา ๆ และเห็นว่าชื่อกำลังเลือนหายไป ทันใดนั้นยกมือขึ้นตบแท่นหินอีกครั้ง!
หลังจากนั้นนางรีบกุมมือที่บวมเป่งสีแดงและนั่งลงทันที
“ฮ่า ๆ!”
หลีจิ่นเหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ศิษย์น้องรั่วเวยบางครั้ง… ก็โง่และน่ารัก”
“นี่คือสถานะหลังจากถูกความโกรธครอบงำสินะ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“พลังโจมตี พลังป้องกัน และความเร็วเพิ่มขึ้นสองร้อยเท่า แต่สติปัญญาลดลงหนึ่งร้อยเท่า”
ทั้งสามทำการทดสอบสำเร็จ ไป๋ชิวหรานเดินไปดึงลูกศิษย์ขึ้นจากพื้นและใช้ยาทาที่มือให้ ในขณะนั้นเมฆหมอกได้ปรากฏขึ้นรอบด้านอย่างกะทันหัน หมอกดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นทางออกไปสู่หน้าผาลาดชันก่อนหน้านี้
ทั้งสามคนออกจากพื้นที่ทดสอบไปด้วยกัน หลังจากเดินเข้าไปในหมอก หลีจิ่นเหยาเป็นคนริเริ่มจับมือไป๋ชิวหราน
เมื่อเห็นชายหนุ่มมองอย่างแปลกประหลาด นางจึงอธิบายอย่างสนุกสนาน
“นี่ก็เพื่อไม่ให้แยกทางกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
เมื่อเห็นว่านางจับมือของถังรั่วเวยเช่นกัน ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงไม่ได้ว่าอะไร พวกเขาทั้งสามเดินผ่านหมอกและกลับมายังหน้าผาเดิม
หลีจิ่นเหยามองขึ้นลงก่อนจะเอ่ยถาม
“รั่วเวย เจ้ามองขึ้นไปที่ยอดเขาดู มันเป็นระยะทางเจ็ดร้อยห้าสิบจั้งแล้วใช่หรือไม่?”
ความโกรธของถังรั่วเวยลดลงอย่างมาก นางเงยหน้าขึ้นและตอบ
“ใช่”
“ดูเหมือนว่ากฎของที่นี่จะเป็นอย่างที่คิด บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านผ่านมากี่บททดสอบแล้ว?”
หลีจิ่นเหยาถามด้วยความสงสัย
“หกบททดสอบ”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้ามาที่นี่ตามลำดับมหาทุกข์ทั้งแปดคือการเกิด แก่ เจ็บ และตาย จากนั้นเป็นความรักและการพลัดพราก ข้าคิดว่าอันต่อไปคงเป็นความเกลียดชัง”
“ข้าและน้องรั่วเวยยังไม่เคยผ่านบททดสอบนี้มาก่อน”
หลีจิ่นเหยาพยักหน้า
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะไปกันต่อได้”
…
หลังจากผ่านเมฆหมอกมาอีกครั้ง ไป๋ชิวหรานและหญิงสาวทั้งสองก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอาคารโบราณคล้ายลานประลอง
ทั้งสามยืนอยู่บนเส้นทางเดินแคบ ๆ เหมือนตอนแรก มันเชื่อมต่อกับลานประลองตรงหน้า ซึ่งทั้งหมดกำลังลอยอยู่กลางอากาศที่มืดมิด
แผ่นศิลาตั้งอยู่ด้านข้างสะพาน หลังจากทั้งสามเดินไปใกล้ ตัวอักษรปรากฏขึ้นตามปกติ
‘คำสาบานว่ารักนิรันดร์สิ้นสุดลง ศัตรูไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้’
‘ผู้ผ่านด่านที่หก (สี่) (สาม) ทุกข์แห่งความเกลียดชัง’
“ข้าเดาว่าหากเข้าไปคงจะพบกับศัตรูของพวกเรา”
หลีจิ่นเหยาคาดเดาก่อนจะเอ่ยถาม
“น้องรั่วเวยมีศัตรูหรือไม่?”
“ศัตรู?”
ถังรั่วเวยคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเผยความลังเล
“ถ้ามีคงจะเป็นถังโจ้วเสีย บรรพบุรุษของรัฐซ่างเสวียน และลูกน้องของเขา…แต่ถังโจ้วเสียอยู่เพียงขั้นสร้างรากฐานและลูกน้องยังอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณ”
ขณะพูด ถังรั่วเวยได้แอบมองไปยังอาจารย์ของนาง แต่ชายหนุ่มกลับมองดูแผ่นศิลาอย่างฟุ้งซ่านและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“เช่นนั้นน้องรั่วเวยเข้าไปก่อนคนแรก”
หลีจิ่นเหยาแนะนำ
“เจ้าไม่ต้องกลัวอันตรายอะไรทั้งนั้น ข้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
“ตกลง”
ถังรั่วเวยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นอาจารย์อยู่ที่นี่ นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในลานประลอง
หลีจิ่นเหยากับไป๋ชิวหรานมองเห็นภาพภายในลานประลอง ผู้คนที่ถังรั่วเวยพบไม่ใช่ใครอื่นนอกจากถังโจ้วเสียแห่งรัฐซ่างเสวียน ซึ่งเขาเคยฝึกวิชาจากสำนักโลหิตเทวะพร้อมเหล่าสาวก
ถังรั่วเวยต่อสู้กับพวกเขาอย่างรวดเร็ว นางแสดงศักยภาพที่ดีต่อหน้าหลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานราวกับกำลังไล่ฟันไก่ ประกายแสงจากคมกระบี่ฟาดฟันศัตรูตรงหน้าอย่างง่ายดาย
ขณะมองดูการต่อสู้ในลานประลอง หลีจิ่นเหยาเอ่ยถามขึ้น
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงมีศัตรูบ้างหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
“ข้านึกศัตรูไม่ออก…”
หลีจิ่นเหยากล่าวอย่างว่างเปล่า
“จุดประสงค์ของสำนักอสูรสวรรค์คือการแก้แค้น…แต่โชคร้าย ศัตรูของสำนักคือเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิง…ซึ่งไม่เคยได้รับการแก้แค้นเลย”
ทั้งสองมองหน้ากัน และหลีจิ่นเหยากล่าวว่า
“ท่านว่าพวกเราจะพบกับใครเมื่อเข้าไปในนั้น?”
“สวรรค์เท่านั้นที่รู้”
ไป๋ชิวหรานยักไหล่
การต่อสู้ของถังรั่วเวยใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ศัตรูของนางตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสุดท้าย และสาวกรอบด้านอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับสุดท้าย ซึ่งถังรั่วเวยสามารถเผด็จศึกได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นถังรั่วเวยเดินออกมา เสื้อผ้าของนางแทบไม่มีรอยเปื้อน
นางเดินผ่านสะพานมายังแท่นศิลา เวลานี้ชื่อของนางเลือนหายไปแล้ว จากนั้นหันไปมองชายหนุ่มกับหลีจิ่นเหยาที่เผยใบหน้าครุ่นคิดกันอยู่
“อาจารย์ ศิษย์พี่หลี พวกท่านคิดอะไรกันอยู่?”
“ไม่มีอะไร”
ไป๋ชิวหรานส่ายหัว
“ข้าแค่กำลังนึกอยู่ว่ามีศัตรูเป็นใครบ้าง?”
“ข้าด้วย”
แม้แต่หลีจิ่นเหยาที่ฉลาดปราดเปรื่องมาตลอดยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ข้าไม่อาจนึกถึงใครที่เรียกว่า ‘ศัตรู’ ได้เลย”
“มัวแต่คิดไปก็เปล่าประโยชน์ เข้าไปดูข้างในเอาสิ”
ถังรั่วเวยแนะนำ
“ตกลง เช่นนั้นข้าขอเข้าไปก่อน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับหลีจิ่นเหยา
หลีจิ่นเหยาพยักหน้า จากนั้นไป๋ชิวหรานค่อย ๆ เดินเข้าไปในลานประลองด้วยท่าทีสบายใจ
…