ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 96 หมดทางรอด รอความตาย กล่าวร่ำลา
บทที่ 96 หมดทางรอด รอความตาย กล่าวร่ำลา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เหตุใดผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นเช่นนี้ได้?!”
“มนุษย์คนหนึ่งมีชีวิตอยู่มาหลายพันปีโดยปราศจากคนรัก แต่เหตุใดจึงไม่ปรากฏแม้แต่ศัตรู? เขาผ่านกาลเวลามานับพันปีได้อย่างไรกัน?”
ด่านนี้ถือเป็นการทดสอบความแค้น หลังจากที่ไป๋ชิวหรานข้ามผ่านมาได้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก แม้แต่กับหลีจิ่นเหยาที่ติดตามเข้ามา นางเพียงแค่เดินวนไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกไป
ผู้ที่อยู่มานานกว่าสามพันปีไม่มีทั้งคนรักหรือศัตรู ตามสามัญสำนึกทั่วไปแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่ชายชุดดำไม่ล่วงรู้คือ สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ยงคงกระพันในโลกแห่งการฝึกตน เมื่อมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี การไร้ซึ่งศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด
ตัดหัวข้ออันน่าเศร้าเกี่ยวกับการมีคนรักไป ในช่วงปีแรก ๆ ของไป๋ชิวหราน เขามีศัตรูอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาศิษย์ที่เกลียดชังเพราะเป็นศิษย์สายตรงของผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิง หรือบรรดาคนที่ต้องการยึดครองมรดกของสำนักกระบี่ชิงหมิงไว้กับตนเองหลังจากอาจารย์ของเขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่คนเหล่านี้ล้วนสิ้นอายุไปตามกาลเวลา
ส่วนเหล่าผู้ที่ตั้งต้นเป็นศัตรูซึ่งถือกำเนิดขึ้นภายหลัง… ยังถือว่าห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อกรของไป๋ชิวหราน หากเกิดเรื่องขัดแย้งกัน พวกเขามักจะต่อสู้ชำระแค้นให้รู้ผลแพ้ชนะกันในทันที ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจะหลงเหลือศัตรูที่ยังไม่ชำระความต่อกันได้อย่างไร?
หลีจิ่นเหยามีเหตุผลคล้ายคลึงกันกับเขา ประการแรก คือเป็นคนมีอัธยาศัยดี อารมณ์สุนทรีย์อยู่เป็นนิจ การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลถือว่าค่อนข้างดี ประการที่สอง คือความสามารถช่างยอดเยี่ยม อีกทั้งอาจารย์จี้หลิงอวิ๋นยังคอยปกป้องเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ประการที่สาม ตัวนางเองไม่ใช่ผู้ฝึกตนฝ่ายมารที่อ่อนแอตามหลักการของสำนักอสูรสวรรค์ หากมีสิ่งใดผิดพลาด… จะพยายามแก้ไขให้สำเร็จจนกว่าจะถึงวันถัดไป
ฝ่ายชายชุดดำเองก็ไม่ใช่ ‘ผู้เป็นอมตะ’ ที่แท้จริง และไม่ใช่ผู้สร้างค่ายกลดังกล่าวขึ้นในถ้ำแห่งนี้ เขาเป็นเพียงนกพิราบที่ครอบครองรังนกกางเขนเท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาหากจะไม่เข้าใจกลไกหรือแนวคิดการสร้างค่ายกลทดสอบผู้มาเยือนในถ้ำเซียน
แต่เดิมเมื่อผู้เป็นอมตะที่แท้จริงเปิดถ้ำแห่งนี้ขึ้น เขาย่อมต้องการถ่ายทอดความรู้และมรดกของยุคนี้สู่คนรุ่นหลังให้ได้มากที่สุด ค่ายกลบททดสอบแปดความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงทั้งแปด เป็นเพียงบททดสอบสภาวะทางจิตใจของคนรุ่นหลังเท่านั้น เพื่อไม่ให้พวกเขามอบความไว้วางใจไว้ให้กับผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์
ซึ่งแน่นอนว่าบททดสอบดังกล่าวย่อมมีอันตรายเล็กน้อย ถึงกระนั้นการทดลองนี้ก็ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเข่นฆ่าคน ดังนั้นมนุษย์เช่นไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาที่ไม่มีปัญหากับสภาวะอารมณ์ด้านความขุ่นเคืองใจกับผู้ใด หลังเข้าสู่ค่ายกลบททดสอบแล้วย่อมไม่พบผลกระทบใด ๆ เลย
“ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ชายชุดดำก็หยัดกายลุกขึ้น พร้อมจับจ้องไปยังไป๋ชิวหรานผ่านม่านแสงและพร่ำบ่น
“เจ้ามีชีวิตอยู่รอดในโลกภายนอกมานานถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าไม่มีความปรารถนาใด ๆ เลย เดินหน้าต่อไปเถิด… ใคร่รู้เหลือเกินว่าเจ้ามีกลอุบายใดบ้าง?”
…
หลีจิ่นเหยาที่เดินจับมือไป๋ชิวหรานฝ่าหมอกหนาทึบอีกครั้ง ครั้นกลับมาถึงบริเวณหน้าผา จึงหันไปกล่าวกับชายหนุ่มด้วยท่าทางน่าสงสารเห็นใจ
“ข้าคิดว่าเราสองคนไม่ควรข้ามผ่านบททดสอบร่วมกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงอีกต่อไป ด่านการทดลองที่เหลืออีกสองด่านของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ‘ห้าวิญญาณโชติช่วง’ ควรจะพิเศษที่สุด…คาดว่าทุกคนอาจหวนกลับมาพบกันในตอนท้าย และด่าน ‘ไม่อาจร้องขอได้’ ข้ากับรั่วเวยผ่านมันมาแล้ว”
“เช่นนั้นก็แยกกันตรงนี้เสีย”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ
“เดิมที เหตุผลที่ข้าปกปิดเรื่องการเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้าพยายามสัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง ทว่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับเจ้าทั้งสองที่นี่ เห็นทีคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงกล่าวถูกต้อง”
หลีจิ่นเหยาเกิดความลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อไป
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ของเรา ไม่อาจพึ่งพาบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงไปตลอดได้ ช่างน่าเสียดายนัก ข้ายังอยากอยู่กับท่านต่อไปอีกหน่อย เพื่อเรียนรู้ทักษะบางอย่างเพิ่มเติม”
ไป๋ชิวหรานแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวของหลีจิ่นเหยาจึงเอ่ยถามกลับ
“เจ้ามีอาการเสพติดการศึกษาเล่าเรียนทักษะวิชาจากตัวบุคคลหรือนี่? ประหลาดเสียจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นอาการคล้ายคลึงกันนี้จากศิษย์ของสำนักเสวียนฝ่า…”
ถังรั่วเวยซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลันถอนหายใจอย่างจนปัญญาก่อนจะกล่าวตัดบท
“ศิษย์พี่หญิงหลี ท่านเห็นแล้วหรือยังว่าเขาเป็นคนเช่นนี้ ท่านควรตัดใจยอมแพ้ได้แล้ว”
“ไม่ ไม่ ไม่ รั่วเวย”
รอยยิ้มอันละเอียดอ่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลีจิ่นเหยา
“นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับข้า”
เด็กสาวทั้งสองเริ่มเอ่ยถ้อยคำลึกลับที่ไป๋ชิวหรานไม่อาจตีความได้ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะถามถึงความหมายบางอย่าง แต่หลีจิ่นเหยากลับคว้าฝ่ามือของถังรั่วเวยไว้พร้อมก้าวถอยหลัง และหันมากล่าวลาไป๋ชิวหราน
“เอ่อ ไปกันเถอะ”
ไป๋ชิวหรานเห็นเช่นนั้นจึงยอมแพ้ ก่อนจะเปลี่ยนมากล่าวคำแนะนำให้กับพวกนางแทน
“สถานที่บางแห่งในถ้ำนี้เป็นกับดักที่สร้างขึ้นโดยเซียนปฐพี หากผู้ใดบังเอิญหลงเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจประสบกับอันตรายที่จะพรากพละกำลังและสติสัมปชัญญะไปด้วย ระหว่างทางเข้าพบกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่ถูกพาตัวไป รั่วเวย แม่นางหลี เจ้าทั้งสองควรระวังให้ดี เมื่อมีอันตรายอย่าลังเลที่จะใช้แผ่นหยกที่ข้ามอบให้เพื่อป้องกันตนเอง เข้าใจหรือไม่?”
ถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยาพยักหน้า จากนั้นทั้งสองจับมือกัน ก่อนก้าวเข้าไปในหมอกหนาทึบด้านล่างพร้อมกับไป๋ชิวหราน
หลังสัมผัสกับความรู้สึกคลาดเคลื่อนในเชิงพื้นที่ หมอกหนาทึบก็สลายไป ไป๋ชิวหรานพบว่าตัวเขาถูกแยกออกมาจากหลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวย
เขาเดินมาจนถึงศาลาทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าในยามค่ำคืน ดวงดาวหลายดวงเปล่งแสงระยิบระยับจาง ๆ เหนือท้องฟ้า ไม่อาจล่วงรู้ว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริงหรือไม่
แท่นหินแท่นหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของศาลาทรงแปดเหลี่ยม หลังจากไป๋ชิวหรานเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น แท่นหินนั้นพลันปรากฏถ้อยคำขึ้นสองครั้งเช่นก่อนหน้า
‘มนุษย์มีเจ็ดกิเลส หกความปรารถนา พวกเขาต่างมีความโลภ ความโกรธ และความหลงผิด’
‘ทุกข์ที่เจ็ด ไม่อาจร้องขอได้’
“ไม่อาจร้องขอได้งั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานอ่านบทกวีบนแผ่นจารึกพร้อมกล่าวพึมพำกับตนเอง
แน่นอนว่าชายหนุ่มตระหนักดีว่าตนเองต้องการสิ่งใด ความรัก คู่ครอง ชื่อเสียง สถานะ หรือความมั่งคั่ง สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นความปรารถนารอง หรืออาจไม่สำคัญด้วยซ้ำ
หลังมีชีวิตอยู่มานานกว่าสามพันปี ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับ คือการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานดังที่ควรจะเป็น
“เชวียหลิงบอกว่าอาจพบกับหนทางการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานที่นี่ บางที…”
แม้ชายหนุ่มจะล่วงรู้ว่าสิ่งดังกล่าวอาจเป็นหนึ่งในการทดสอบตรงหน้า ถึงกระนั้นจิตใจของไป๋ชิวหรานย่อมก่อเกิดความหวังอันริบหรี่ขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ท่ามกลางส่วนลึกของท้องฟ้ายามราตรี จู่ ๆ สะพานที่ทอดยาวได้เลื่อนเข้ามาใกล้ ในขณะเดียวกันศาลาทรงแปดเหลี่ยมเริ่มสั่นสะเทือนอย่างผิดปกติ ไป๋ชิวหรานเข้าใจทันทีว่านี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าถ้ำแห่งนี้กำลังกระตุ้นให้เขาเข้าสู่การทดสอบ
ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนสะพาน ก่อนจะเดินไปจนสุดทางแล้วปีนขึ้นบันไดไป ในที่สุดก็มาถึงส่วนยอดของแท่นซึ่งมีความสูงหลายจั้ง
ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนแท่นสูง มุมทั้งสี่ของแท่นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมีเตาไฟตั้งอยู่ทั้งสี่พลันถูกจุดไฟ แสงสว่างจากเปลวไฟ ทำให้มองเห็นสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่วางอยู่ตรงกลางแท่นสูง
ไป๋ชิวหรานพลันกลั้นหายใจ
ตรงกลางของแท่นสูงมีแท่นหินขนาดเล็ก ซึ่งมีชั้นวางตำราที่แกะสลักขึ้นจากหิน บนชั้นหนังสือนั้นมีตำราเล่มหนาวางเรียงอยู่หลายเล่ม หนึ่งในนั้นห่อหุ้มไว้ด้วยลวดสีทอง บนหน้าปกปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว
‘เคล็ดวิชาลับของขั้นสร้างรากฐาน’
เมื่อเห็นตำราลับอันล่อตาล่อใจตรงหน้า ฝีเท้าของไป๋ชิวหรานชะลอลงจนเชื่องช้า ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือ ก่อนจะเปิดตำราออกอ่านอย่างเบามือ
ตำราลับเล่มนี้มีถ้อยคำหลายประโยคเขียนเรียงกันไว้อย่างหนาแน่น ทว่าเนื้อกระดาษภายในคล้ายถูกปกคลุมด้วยกระดาษทรายอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เนื้อหาค่อนข้างคลุมเครือจนไม่สามารถจับใจความได้อย่างชัดเจน ไป๋ชิวหรานพยายามอ่านต่อไปด้วยความระมัดระวังโดยใช้เวลากว่าครึ่งวัน แต่แล้วเนื้อหาทั้งเล่มกลับเขียนไว้เพียงแปดคำเท่านั้น ‘หมดทางรอด! รอความตาย! กล่าวร่ำลา!’