ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 97 เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้นสร้างรากฐาน และไม่อาจบรรลุขั้นสร้างรากฐานไปตลอดชีวิต
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 97 เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้นสร้างรากฐาน และไม่อาจบรรลุขั้นสร้างรากฐานไปตลอดชีวิต
บทที่ 97 เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้นสร้างรากฐาน และไม่อาจบรรลุขั้นสร้างรากฐานไปตลอดชีวิต
“บัดซบเอ๊ย! นี่มัน…”
ท่ามกลางห้วงแห่งความมืดมิด หน้าอกของชายชุดดำซึ่งเหี่ยวเฉามานานหลายปีกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ เขาเหยียดฝ่ามือเหี่ยวแห้งออกก่อนตบลงบนพื้นโดยแรง
ด้วยกระทำดังกล่าว ทำให้แรงกระแทกย้อนกลับมาหักแขนของเขาที่เป็นเหมือนกิ่งไม้แห้งไร้ชีวิต…ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด
ที่มีอาการเช่นนี้…เพราะภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นบนม่านแสงที่ค่อนข้างไร้สาระนั่น
เดิมที หลังจากเข้าสู่การทดสอบที่ผู้ฝึกตนทั่วไปสามารถข้ามผ่านได้อย่างยากเย็นมาอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งล้วนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่เมื่อไป๋ชิวหรานเปิดตำราลับอ่าน เขากลับสัมผัสได้ถึงความผันผวนปรวนแปรอย่างรุนแรงในภาวะอารมณ์ของตน
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะถูกบททดสอบจู่โจม จู่ ๆ ชายผู้นี้กลับเงื้อฝ่ามือขึ้นสูงแล้วทุบชั้นหนังสือ ส่งให้แท่นซึ่งมีความสูงหลายจั้งทั้งหมดแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เมื่อมองผ่านม่านแสง ชายในชุดคลุมสีดำมองไม่เห็นเนื้อหาที่เขียนอยู่ภายในตำราลับเล่มนั้น แต่อ่านชื่อตำราลับได้อย่างชัดเจน
ชัดเจนว่ามันเป็นเคล็ดวิชาลับเกี่ยวกับขั้นสร้างรากฐาน สมัยที่เขาได้เข้าสู่ด่านการทดลองนี้ ซึ่งพบกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ถ้ำเซียนได้มอบตำราให้เล่มหนึ่งที่สอนแนวทางว่าจะสามารถบรรลุไปสู่ระดับที่สูงกว่าขั้นเซียนได้อย่างไร ซึ่งบททดสอบดังกล่าวทำให้เขาเกือบพลาดพลั้ง
ตามกระบวนการทั่วไป เช่น ในกรณีค่ายกลบททดสอบของถ้ำเซียน จะใช้วิธีการอ่านความปรารถนาภายในจิตใจของบุคคลเพื่อสร้างกลไกสำหรับทดสอบไว้ล่วงหน้า จากนั้นถ้ำแห่งนี้จะพยายามค้นหาความลับที่เก็บซ่อนไว้ แล้วดึงความลับที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่ง… ทำให้ผู้ทดสอบเริ่มเกิดความสับสน และประสบกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจร้องขอชีวิตได้
จากการเปรียบเทียบโดยคร่าว อารมณ์ของผู้ฝึกตนในขณะนั้น คาดว่าไม่ต่างจากยอดนักอ่านที่มองเห็นตำราชั้นเลิศเสียหายไปต่อหน้าต่อตา หากไม่สามารถทานทนต่อความเจ็บปวดนั้นได้ เขาผู้นั้นจะไม่มีวันออกไปจากพื้นที่แห่งการทดสอบสำเร็จ
ดังนั้นจึงก่อเกิดขึ้นเป็นคำถาม จากการมองผ่านม่านแสง สิ่งที่ไป๋ชิวหรานปรารถนานั้นไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญ นอกจากเคล็ดวิชาสอนผู้คนให้บรรลุขั้นสร้างรากฐาน แม้ว่าชายในชุดคลุมสีดำจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขา ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนที่สามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง…จะโหยหาหนทางบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานถึงเพียงนี้ แต่เมื่ออยู่ภายในถ้ำเซียนแล้ว แม้แต่ตำราลับเพื่อบรรลุสูงกว่าขั้นเซียนยังปรากฏขึ้นเพื่อล่อตาล่อใจ นับประสาอะไรกับตำราลับเพื่อให้บรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน
ความจริงแล้ว หนทางลับเพื่อบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานของไป๋ชิวหราน อาจเป็นวิธีบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานที่สมบูรณ์ซึ่งถูกแสดงให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น หลังจากอ่านแล้วควรลองใช้ฝ่ามือฝึกฝนตามเนื้อหาภายในนั้น มิใช่ใช้ฝ่ามือทุบมันทิ้งจนแหลกลาญไม่เหลือซาก
ปฏิกิริยานั่นราวกับ…ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เหยียดหยามเขาปรากฏอยู่ภายในตำราเล่มนั้น
แต่การกระทำของเขา จะทำให้กลไกการทดสอบของถ้ำเซียนเสียหายหรือไม่?
เป็นไปได้มากน้อยเพียงใดว่าพื้นที่ภายในถ้ำเซียนทั้งหมด ซึ่งเต็มไปด้วยปัญญาและความมั่งคั่ง… จะไม่พบวิธีการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน?
ชายชุดดำลองครุ่นคิดไปสองทาง แต่ไม่ว่าหนทางใดก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ความคิดพลันยุ่งเหยิงอยู่ข้างใน… ก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด
“ท่านพ่อ เหตุใดหัวใจของข้าจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้…”
ท่ามกลางความมืดในตำแหน่งที่อยู่ถัดไป เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกะโหลกศีรษะที่มีไฟลุกโชติช่วง ชายในชุดคลุมสีดำจึงค่อย ๆ สงบลง ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วยกมือขึ้นพลิกกลับไปอีกด้านหนึ่ง
หลังจากนั้น เขาก็พยายามขยับร่างกายที่มีสภาพเน่าเปื่อยมาเป็นเวลานานเพื่อร่ายเวทมนตร์ ก่อนร่างจะสลายกระจายตัวกลายเป็นหมอกหนาทึบ
…
เช่นเดียวกับชายในชุดคลุมสีดำคาดการณ์ ไป๋ชิวหรานตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เจ็บปวดอย่างยิ่งในขณะนี้
จุดอ่อนซึ่งทำให้เจ็บปวดมาเป็นเวลากว่าสามพันปี ถูกภาพลวงตาดังกล่าวตอกย้ำและล้อเลียนอีกครั้ง โชคดีที่ลงมือทำลายตำราลับได้ทันเวลา การทดลองในด่าน ‘ไม่อาจร้องขอได้’ จึงผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้ง
บริเวณข้างเกาะลอยฟ้าที่ไป๋ชิวหรานยืนอยู่ มีทางเชื่อมจากแท่นสูงไปยังด่านทดสอบต่อไป สะพานปรากฏขึ้นเพื่อเชื่อมไปยังส่วนลึกของท้องฟ้ายามค่ำคืน
ไป๋ชิวหรานแสยะยิ้มเย้ยหยันขณะก้าวเหยียบสะพาน หลังก้าวเดินไปได้เพียงสองก้าว ชายหนุ่มก็หันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง หลังคิดไตร่ตรองแล้ว จึงออกแรงเตะแท่นซึ่งตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าอย่างไร้ความปรานี
ด้วยเสียงกระแทกอันดังสนั่น แท่นที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนพุ่งทะยานออกไปราวจรวดที่ถูกปล่อย ก่อนจะจมดิ่งลงไปยังความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นของท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามันพุ่งห่างออกไปไกลเพียงใด…
หลังจากไป๋ชิวหรานระบายอารมณ์เสร็จสิ้น จิตใจของเขาก็สงบลงมาก ชายหนุ่มก้าวข้ามสะพานเข้าไปในหมอกหนาทึบเพื่อออกไปจากพื้นที่
ไป๋ชิวหรานย้อนกลับไปอยู่บนหน้าผาอีกครั้ง คราวนี้พบว่าตนอยู่ไม่ห่างไปจากภูเขา
ด้านหน้ามีเพียงสายหมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมอยู่โดยทั่ว ไป๋ชิวหรานมองผ่านสายหมอกนั้นไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ส่วนล่างของเมฆหมอกนี้ได้ เบื้องล่างมีพื้นสีเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยศาลา พระราชวัง และห้องโถงใหญ่ที่สร้างเรียงรายไว้เป็นแนวบนพื้นดิน
“ด่านทดสอบต่อไป ควรเป็นมหาทุกข์สุดท้าย ‘ห้าวิญญาณโชติช่วง’ ใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของตนเอง
“ถ้ำปัญญาอ่อนนี่จะสร้างด่านทดสอบใดไว้ในระดับสุดท้ายกัน? เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนได้กลิ่นทารกอยู่ตลอดเวลา”
ไป๋ชิวหรานไม่สามารถคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ชายหนุ่มหวนนึกถึงด่านทดสอบเส็งเคร็งสามด่านก่อนหน้านี้ แล้วตัดสินใจพึ่งพาความกล้าหาญในฐานะปรมาจารย์ เดินตรงเข้าไปในหมอกหนาทึบโดยไม่ระแวดระวังแต่อย่างใด
ทันทีที่เข้าไปในภูเขาลูกนี้… ความรู้สึกคราวนี้ไม่ใช่ความคลาดเคลื่อนเชิงพื้นที่ซึ่งถูกส่งจากที่นี่ไปยังพื้นที่อื่นเช่นครั้งก่อนหน้า… แต่รู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงที่พลิกกลับ
ขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางสายหมอก ไป๋ชิวหรานจึงเห็นว่าแผ่นดินใต้ยอดเขากลับหัวขึ้นมาแขวนอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง ศาลาทั้งหลายกลายเป็นเกาะลอยฟ้า แผ่นดินจากเดิมแปรเปลี่ยนเป็นทะเลก้อนเมฆ แม้แต่ยอดเขายังห้อยหัวคว่ำลงมาเช่นกัน ราวกับว่าสามารถมองเห็นได้จากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
ไป๋ชิวหรานเดินผ่านกลุ่มเมฆหมอกมาเรื่อย ๆ แล้วพบว่าตนเองอยู่ตรงหน้าประตูสวรรค์สูงตระหง่าน เบื้องหลังบานประตูเป็นทางเดินทอดยาวที่แกะสลักด้วยหยกสีขาว เชื่อมต่อเกาะที่ลอยอยู่เหนือทะเลหมอก ดูคล้ายกับโลกเซียนในตำนานไม่มีผิดเพี้ยน
ชายหนุ่มก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เพื่อมองขึ้นไปสำรวจประตูสวรรค์นั่น เหนือประตูสวรรค์มีใครสักคนแกะสลักอักษรตัวใหญ่ทั้งสี่ไว้ให้ลอยอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ
‘ห้าวิญญาณโชติช่วง’
ทุกอย่างเป็นไปตามที่หลีจิ่นเหยากับเขาเคยคาดเดาไว้ก่อนหน้า บททดสอบขั้นสุดท้ายนี้แตกต่างจากการทดสอบอื่น ๆ ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
ห้าวิญญาณโชติช่วง ยังเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ขันธ์ห้า’ ซึ่งเป็นการก่อรวมกันของรูปธรรมและนามธรรมทั้งห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
หากกล่าวตามทัศนะในทางพุทธศาสนา การที่มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่ได้ยิน มองเห็น คิด พบเจอ และสัมผัส ล้วนนำความทุกข์มาสู่ผู้คน ตราบใดที่มนุษย์ดำรงอยู่ในโลกนี้ การดำรงอยู่ของพวกเขานับว่าเป็นทุกข์
ทว่านั่นเป็นเพียงทัศนะในทางพุทธศาสนา ผู้ที่เป็นถึงเซียนปฐพีย่อมไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับในหลักการดังกล่าวอย่างแน่นอน ไม่ต้องกล่าวพาดพิงเซียนปฐพี แม้แต่ไป๋ชิวหรานยังไม่เห็นด้วยกับมุมมองดังกล่าวนัก
ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดถือเป็นข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างเช่นเขา ที่ไม่สามารถบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานมาเป็นเวลาสามพันปีแล้ว ยิ่งคิดถึงเรื่องดังกล่าวเมื่อใดยิ่งเจ็บปวดในใจเป็นทวีคูณ ไหนจะถังรั่วเวย ซึ่งต้องสวมใส่ชุดเกราะราบเป็นแนวตั้งตรงมาตลอดชีวิต เมื่อเห็นสตรีคนอื่นสวมชุดเกราะที่มีองศาเอียง นางย่อมรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย ทว่าหากในชีวิตมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่น เช่นนั้นความหมายของการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้คือสิ่งใดกัน? สิ้นชีพแตกดับไปเสียไม่ดีกว่าหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์ แต่ยังอีกคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความสุขในความทุกข์
กล่าวได้ว่าบททดสอบในด่านห้าวิญญาณโชติช่วง มุมมองที่สอดคล้องกันของทั้งเซียนปฐพี พุทธศาสนา ชาวพุทธทั่วไป เหล่าผู้ฝึกตน หรือชายหนุ่มมีอยู่เพียงประการเดียว คือทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองด้วยการฝึกฝน
ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อาจล่วงรู้ ว่าถ้ำเซียนจะแสดงทัศนะดังกล่าวไปในทิศทางใด
ขณะตั้งคำถามขึ้นภายในใจ ชายหนุ่มก้าวผ่านประตูสวรรค์ตรงหน้า เดินตรงไปยังทางเดินที่แกะสลักขึ้นจากหยกขาวท่ามกลางเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ทุกหนแห่ง