ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 98 ผิวหนังมนุษย์แห้งเหี่ยว
บทที่ 98 ผิวหนังมนุษย์แห้งเหี่ยว
ห่างออกไปเพียงสองก้าว ท้องฟ้าพลันมืดมิดลงในทันใด…
ชายหนุ่มยืนอยู่บนทางเดินซึ่งแกะสลักจากหยกขาวเป็นทางลาดต่างระดับจากต่ำไปสูง อธิบายได้ว่าอยู่ในก้อนเมฆ คงเป็นการดีกว่าบรรยายว่ามันเชื่อมต่อจากก้อนเมฆหนึ่งไปยังอีกก้อนเมฆหนึ่ง ดังนั้นจึงมีกลุ่มเมฆลอยสูงเหนือตัวอยู่มากมาย ขณะเดียวกันนั้นเอง กลุ่มเมฆเหล่านี้รวมตัวกันและบีบเข้าประกบทางเดินหยกขาว ทันทีที่เมฆเสียดสีกระทบกัน ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องแผ่วเบา
ขณะไป๋ชิวหรานกำลังเดินรุดไปข้างหน้า ในที่สุดมีเสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้น พร้อมกับสายฟ้าที่เฉียดผ่านศีรษะไป ข้ามระหว่างกลุ่มเมฆทั้งสองฝั่งซึ่งขนาบอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
ไป๋ชิวหรานเห็นสายฟ้านั่นแล้วจึงคำนวณพลังของมัน ก่อนจะพบว่าไม่ใช่สายฟ้าทั่วไปในปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่มีพลังที่เหนือชั้นกว่านั้น ซึ่งเต็มไปด้วยจิตสังหารแห่งทัณฑ์สวรรค์ อันเป็นภัยพิบัติที่ผู้ฝึกตนไม่อยากพานพบเอาเสียเลย
อสนีบาตแห่งความทุกข์ทรมานนี้เปรียบเสมือนสัญญาณของการเริ่มต้น หลังได้ยินเสียงฟ้าร้องหลายครั้ง สายฟ้าก็เฉียดผ่านศีรษะชายหนุ่มไปมาบ่อยครั้งขึ้น สายฟ้าแห่งความทุกข์ทรมานซึ่งอยู่ในตำแหน่งใกล้ที่สุด อยู่ห่างจากเหนือศีรษะไปเพียงสามจั้งเท่านั้น ซ้ำร้ายยังได้กลิ่นเผาไหม้กลางอากาศอีกด้วย
หลังจากนั้น บรรยากาศโดยรอบมีทั้งกระแสลมกรรโชกและสายฝนที่ตกกระหน่ำ รวมถึงพายุโหมรุนแรงนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีลูกเห็บประปรายมากับสายฝนเล็กน้อย ประหนึ่งอยู่ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนอง สายลมแรงพัดผ่านไปมาระหว่างกลุ่มเมฆทั้งสองฝั่ง
ภายในชั้นเมฆเหล่านั้นเต็มไปด้วยพายุรุนแรง ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ในที่สุดการทดสอบระดับแรกของด่านนี้ก็เผยให้เห็นเกล็ดและกรงเล็บของมัน
ท่ามกลางฟ้าแลบฟ้าร้องที่กระทบกันไปมาทั้งสองฝั่ง ทันใดนั้นสายฟ้าก็พุ่งตรงเข้าหาใบหน้าของไป๋ชิวหราน ชายหนุ่มรีบเหยียดมือออกเพื่อส่งสายฟ้านั่นให้ถอยออกไป ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่แสงสว่างวาบปรากฏขึ้น พบว่ามีเงาร่างสีดำสนิทที่ลอยอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ วนเวียนกลับไปกลับมารอบกาย จากนั้นจึงโผล่ส่วนหัวออกมาจากเมฆก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า
ที่แท้ก็เป็นหัวสัตว์คล้ายงูขนาดใหญ่ เฉพาะส่วนหัวเพียงอย่างเดียวน่าจะมีความยาวเกือบจั้ง ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายถูกซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆจนไม่สามารถมองเห็นขนาดที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน กระพุ้งทั้งสองข้างเหนือบริเวณเบ้าตา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังจะกลายร่างเป็นมังกรในไม่ช้า ปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งที่ยื่นออกมาจากก้อนเมฆตระหง่านอยู่เหนือท้องฟ้า แสงสว่างวาบของประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนเกล็ดสีน้ำเงิน ทำให้ยิ่งมีลักษณะโดดเด่น
มันเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย ที่แม้แต่ไป๋ชิวหรานยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต บางทีอาจสืบสายเลือดมาจากอสูรร้ายที่เป็นอมตะบางประเภท ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับดูหมองและเฉื่อยชาเล็กน้อย คาดเดาว่าคงไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
งูยักษ์มีปีกพลันอ้าปากกว้าง ทันใดนั้นสายฟ้าซึ่งรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนหนาก็พุ่งออกมาจากปากราวถังพ่นไฟ พลังอันน่าสะพรึงกลัวดังกล่าวเทียบได้กับการจู่โจมขั้นสูงสุดของผู้ฝึกตนที่เป็นนักบวชพุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่มทันที!
เสียงฟาดฟันของกระบี่ดังขึ้น หลังจากนั้นสายฟ้าขนาดมหึมาได้แยกออกเป็นสองส่วนจากจุดศูนย์กลาง แม้แต่ส่วนหัวของงูยักษ์ที่พ่นสายฟ้าออกมายังถูกผ่าจนขาดครึ่งด้วยปราณกระบี่ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หัวของมันร่วงตกลงบนทางเดินหยกขาว ส่วนลำตัวที่ทั้งใหญ่โตและยาวเหยียดร่วงตกลงจากกลุ่มเมฆ ก่อนจะอันตรธานหายไป
ไป๋ชิวหรานเหวี่ยงด้ามกระบี่ในมือออกพร้อมก้าวไปข้างหน้า หลังจากที่งูยักษ์ตัวนั้นตายลง ส่วนหัวของมันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นจุดสว่างไสว แต่คราวนี้เมื่อส่วนหัวสลายไป กลับมีวัตถุก้อนหนึ่งลักษณะแวววาวร่วงตกลงมาที่พื้นแทน
ชายหนุ่มก้มหยิบมันขึ้นมา พบว่าเป็นหินวิญญาณชั้นเลิศหลายก้อน
“ต่อสู้กับอสูรร้ายเพื่อรับสมบัติ ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมนัก!”
ไป๋ชิวหรานอุทานด้วยความประหลาดใจ
“สมควรแล้วที่เป็นถ้ำแห่งเซียนปฐพี ด้วยการสร้างกลไกทดสอบขั้นสูงเหล่านี้… เช่นนี้มันจะมีวันล่มสลายหรือไม่?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เก็บหินวิญญาณชั้นเลิศเหล่านี้ไว้กับตัว ก่อนจะออกเดินทางต่อไป
หลังจากเดินต่อไปอีกประมาณสองถึงสามลี้ ความสูงชันของทางเดินหยกขาวค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้น ส่วนกลุ่มเมฆพายุกลับค่อย ๆ ลดระดับลงสวนทางกัน หลังจากก้าวผ่านประตูขนาดเล็กที่แกะสลักตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ไป๋ชิวหรานก็เห็นร่างอันคุ้นเคยยืนอยู่บนทางเดินหยกขาว
สตรีผู้นั้นยืนหันหลังให้อยู่บนแท่นเหนือก้อนเมฆ แต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ แม้จะเป็นเพียงด้านหลัง แต่ชายหนุ่มยังจดจำตัวตนนางได้ดี
ซูเซียงเสวี่ย หรืออธิบายให้ชัดเจนคือร่างปลอมที่เป็นซูเซียงเสวี่ย ซึ่งมีความทรงจำของเขาเป็นแม่แบบ
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ สตรีนางนั้นหันศีรษะกลับไปมองด้วยใบหน้าอันงดงามอย่างหาใดเปรียบ ไฝรูปหยดน้ำตาขนาดเล็กอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ใต้ดวงตา เป็นใบหน้าสวยสดงดงามของซูเซียงเสวี่ยไม่ผิดแน่
ดูเหมือนว่าเขาเคยข้ามผ่านมหาทุกข์ในด่านทดสอบ ‘ความรักและการพลัดพราก’ มาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้ำเซียนอันแสนชาญฉลาดแห่งนี้จึงดึงเอาความทรงจำเกี่ยวกับเพศตรงข้ามที่สวยงามที่สุดนับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเคยพบเห็นออกมาโดยตรง เพื่อใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการทดสอบ
ไป๋ชิวหรานมองหน้าสบตานางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกความคิดเห็น
“ซูเซียงเสวี่ยมีความน่ารักสดใสกว่ามาก นางมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าเจ้ากลับดูแล้วไม่ต่างจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ทำขึ้นอย่างไร้ชีวิตชีวา เลียนแบบรูปลักษณ์ภายนอกของนางได้ย่ำแย่มาก”
แน่นอนว่าบททดสอบดังกล่าวไม่มีผลต่อเขา สตรีตรงหน้ามีความงดงามของซูเซียงเสวี่ยเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังไร้ซึ่งการโต้ตอบทางอารมณ์… ทว่าเพียงพอที่จะสร้างความสับสนให้กับผู้ฝึกตนหลายรายที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้ำแห่งนี้ประเมินตำนานความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างที่ยาวนานกว่าสามพันปีในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินต่ำเกินไป ความด้านชาของบุรุษผู้ดำรงพรหมจารีเช่นไป๋ชิวหราน สร้างเกราะป้องกันอิทธิพลด้านรูปลักษณ์ภายนอกของซูเซียงเสวี่ยได้อย่างไร้เยื่อใย
ไม่ใช่สตรีทุกนางที่สามารถเป็นแบบซูเซียงเสวี่ย แต่บุรุษทุกคนสามารถเป็นแบบไป๋ชิวหราน…
ไม่ว่าชายหนุ่มจะตอบสนองต่อบททดสอบตรงหน้าอย่างไร แต่ ‘ซูเซียงเสวี่ย’ ที่สร้างขึ้นโดยกลไกของถ้ำเซียน ยังคงปฏิบัติตามขั้นตอนเดิมที่กำหนดไว้แต่แรก เมื่อนางมองไปยังไป๋ชิวหราน อีกฝ่ายยังแสดงรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ที่แสนจะโฉบเฉี่ยว จากนั้นก็หันหน้ากลับพร้อมก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบแท่น ชวนให้หวาดเสียวยิ่งนัก
ดูเหมือนฉากดังกล่าวจะทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง เขาจึงร้องตะโกนว่า
“ประเดี๋ยวก่อน!”
เมื่อ ‘ซูเซียงเสวี่ย’ ผู้นี้ไม่สนใจคำกล่าวเมื่อครู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไล่ตามนางไปเพื่อคว้าแขนเอาไว้… ก่อนจะเหยียดขาตนเองออก
เสียงกระแทกดังขึ้น ไป๋ชิวหรานเตะภาพลวงตาซึ่งปลอมตัวเป็น ‘ซูเซียงเสวี่ย’ ให้พลัดตกลงไปจากแท่นดังกล่าวอย่างไร้ความปรานี
“ข้าสงเคราะห์เจ้าให้ ด้วยความยินดี”
เมื่อมองลงไปยัง ‘ซูเซียงเสวี่ย’ ที่ร่วงหายไปท่ามกลางกลุ่มเมฆ ไป๋ชิวหรานพลันกล่าวด้วยถ้อยคำลึกซึ้งขณะยืนอยู่ตรงขอบแท่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบุคคลตรงหน้าจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมของ ‘ซูเซียงเสวี่ย’ แต่เห็นได้ชัดว่านางยินดีปล่อยตนเองให้ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างไปอย่างง่ายดาย หลังจากถูกไป๋ชิวหรานเตะให้พลัดตกไปสู่ก้อนเมฆ ร่างกายนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นหย่อนคล้อย ทั้งยังซูบลงเรื่อย ๆ ประหนึ่งตุ๊กตาเป่าลม หลงเหลือเพียงผิวหนังซึ่งมีช่องเปิดเพียงสามช่องที่ลอยเคว้งกลับมายังแท่นเดิม ก่อนจะกลิ้งไปทางไป๋ชิวหราน…
หลังจากฉีกผิวหนังคล้ายมนุษย์นี้ออก ไป๋ชิวหรานำก็รู้สึกปีติยินดีจากใจจริง เมื่อเห็นว่าภายในเป็นหินวิญญาณชั้นเลิศซึ่งมีผิวแวววาวระยิบระยับร่วงหล่นลงมา
ชายหนุ่มหยิบหินวิญญาณชั้นเลิศขึ้นจากพื้นดินก่อนบรรจงนับจำนวน และพบว่าจำนวนของพวกมันมากกว่าที่ได้มาจากซากงูยักษ์ก่อนหน้านี้เสียอีก!
“สังเกตจากกลไกแล้ว การทดสอบในด่านห้าวิญญาณโชติช่วงพิเศษกว่าทั้งเจ็ดด่านก่อนหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัย อสูรทั้งหลายอาจเคยมีตัวตน โดยที่อสูรร้ายเหล่านั้นใช้หินวิญญาณเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงาน และหินวิญญาณที่ทิ้งไว้โดยอสูรร้ายในแต่ละขั้นการทดสอบ…จะมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมตามระดับความแข็งแกร่ง”
ไป๋ชิวหรานกล่าวพึมพำ
“ฮึ่ม! จากการวิเคราะห์ การทดสอบขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าสภาวะทางร่างกายของผู้ฝึกตนจะแข็งแกร่งเพียงใด นอกจากนี้ ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีระดับการฝึกตนสูงแค่ไหน หรือมีความรู้ความเข้าใจมากเพียงใดก็ตาม หากไร้ซึ่งพละกำลังจนไม่อาจต้านทานทัณฑ์สวรรค์ คงไม่รอดพ้นไปจากด่านทดสอบสุดท้ายเป็นแน่ แต่… ข้ามุ่งความสนใจไปที่หินวิญญาณมากกว่า การทดสอบในด่านนี้จะได้รับหินวิญญาณทั้งหมดกี่ก้อนเชียว”
ชายหนุ่มเก็บหินวิญญาณทั้งหมดเข้าที่ จากนั้นหยิบกระบี่เหล็กสภาพใหม่เอี่ยมออกมาจากถุงเก็บสมบัติ แล้ววิ่งไปยังชั้นบนของทางเดินหยกขาวทันที