ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 99 ไป๋ชิวหรานมักทำในสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึง
บทที่ 99 ไป๋ชิวหรานมักทำในสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึง
ภายในส่วนที่ลึกที่สุดของด่านทดสอบของเขตถ้ำเซียน สุดปลายทางเดินหยกขาว เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นโดยมีพระราชวังสวรรค์เป็นต้นแบบ ชายในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้รูปมังกรขนาดใหญ่ตรงกลางห้องโถง เฝ้าดูทุกย่างก้าวของชายหนุ่มผ่านม่านแสง
เมื่อมองจากม่านแสง จึงพบว่าไป๋ชิวหรานรุกคืบไปด้านหน้าประหนึ่งฟาดฟันต้นไผ่ให้หักโค่น ศัตรูที่ชายหนุ่มเห็นระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ที่ไร้รูปร่างที่ถือกำเนิดขึ้นจากเมฆดำทะมึน หรือสัตว์อสูรน่าสะพรึงกลัวที่ก้าวออกมาจากยมโลก พวกมันทั้งหมดล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทั้งยังถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี!
ยิ่งชายหนุ่มประพฤติตัวแข็งแกร่งมากเพียงใด ชายชุดคลุมสีดำยิ่งเฝ้ามองด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้น
“ข้าอยากได้ร่างกายอันสมบูรณ์แบบนั้นเสียจริง”
เขาบ่นพึมพำกับตนเองโดยไม่รู้ตัว
“หากได้สิงสู่อยู่ในร่างนี้และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ไม่ต้องกล่าวถึงการฟื้นฟูราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ แม้แต่การยึดครองดินแดนรกร้างว่างเปล่า เพื่อทวงดินแดนที่สูญหายกลับคืน หรือการต่อสู้เพื่อพิชิตอาณาจักรเซียน… นั่นย่อมทำได้ทั้งนั้น!”
ทว่ากะโหลกศีรษะซึ่งอยู่ด้านข้างกลับหัวเราะเยาะขึ้น
“หึ ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลย… ว่าทายาทองค์สุดท้ายของตระกูลจักรวรรดิเผ่าพันธุ์มนุษย์จะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์จริง หากบรรพบุรุษของท่านรู้เรื่องนี้เข้า ดวงวิญญาณของพวกเขาทั้งหลายจะไม่โกรธแค้นหรอกหรือ…ที่มีลูกหลานทรยศเช่นนี้?”
เวลานี้ ความสนใจของชายชุดดำล้วนมุ่งไปที่การสังเกตพลังภายในของร่างกายไป๋ชิวหราน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง ความรวดเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนอง หรือแม้แต่ความแข็งแกร่งทางร่างกาย ล้วนทำให้ชายชุดดำเลื่อมใสศรัทธาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนไม่สนใจการเยาะเย้ยของกะโหลกศีรษะด้านข้าง
เมื่อไป๋ชิวหรานตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะรุดไปด้านหน้า ความรวดเร็วในการล่าเหยื่อของเขาก็รวดเร็วขึ้นโดยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นในการฝ่าฟันแต่ละด่านจนไปถึงปากประตูทางออกของด่านห้าวิญญาณโชติช่วง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายในชุดคลุมสีดำจึงรีบถ่ายทอดคำสุนทรพจน์ที่เตรียมไว้ให้ปรากฏขึ้นบนแผ่นหินตรงปลายทาง
ขณะเดียวกัน ไป๋ชิวหรานซึ่งยืนอยู่ด้านนอกห้องโถงเห็นถ้อยคำซึ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นหินเช่นกัน
‘ขอแสดงความยินดี บุคคลที่มีความแข็งแกร่งสามารถผ่านการทดสอบแห่งมหาทุกข์ได้ทั้งแปดด่าน ทักษะของท่านเพียงพอแล้วที่จะนำไปสู่เส้นทางแห่งโลกเซียน จงเปิดประตูห้องโถงใหญ่แห่งนี้เพื่อรับมรดกทางปัญญาของเซียนปฐพี!’
ฝีเท้าของชายหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะ อีกด้านหนึ่งชายชุดดำเห็นเขาค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังประตูห้องโถงใหญ่
ตอนนี้ทั้งสองมีเพียงประตูห้องโถงที่ขวางกั้นระหว่างกันไว้เท่านั้น ตราบใดที่ไป๋ชิวหรานเปิดประตูเข้าไปภายใน ชายในชุดคลุมสีดำจะจับตัวชายหนุ่มไว้ได้ทันทีโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
อีกฝ่ายเชื่อมั่นว่า ระหว่างเจตจำนงทางจิตวิญญาณของตนที่มีชีวิตอยู่มานานนับหมื่นปี กับไป๋ชิวหรานซึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
มาเร็วเถิด เข้ามาหาข้า… เร็วเข้า!
ชายในชุดคลุมสีดำเงยหน้าขึ้นมองดูทุกย่างก้าวของไป๋ชิวหรานผ่านม่านแสง
ทว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มกลับก้มศีรษะลงหลังจากหยุดยืนนิ่งได้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เขาปลดถุงเก็บสมบัติที่ผูกไว้ตรงบั้นเอวออก ก่อนเทหินวิญญาณชั้นเลิศที่ได้รับจากด่านการทดลองนี้ทั้งหมดออกมานับทีละก้อนอย่างไม่รีบร้อน
ความหงุดหงิดภายในใจของชายในชุดคลุมสีดำทวีขึ้นทันที ทว่ายังระงับมันไว้ไม่บุ่มบ่าม อดทนรอให้ไป๋ชิวหรานนับมันจนเสร็จ
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มนั้นเชื่องช้าไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้การนับจำนวน เมื่อนับหินวิญญาณทีละก้อนจนครบแล้ว จึงบรรจุหินวิญญาณทั้งหมดกลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ ชายในชุดคลุมสีดำเห็นดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอกในที่สุด
แต่ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจออกจนสุดปอด กลับเห็นไป๋ชิวหรานซึ่งหยุดยืนอยู่ตรงประตูเก็บถุงเก็บสมบัติเข้าที่ ก่อนจะหันหลังเพื่อวกกลับออกไปทางเดิมเสียอย่างนั้น
“อะไรกัน?!”
ชายในชุดคลุมสีดำจ้องมองแผ่นหลังของไป๋ชิวหรานด้วยสายตาว่างเปล่า ขณะที่เขาเดินห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ โดยไร้ทีท่าว่าจะหันกลับมา
ทันทีที่ได้สติคืนกลับมา ชายชุดดำกระแทกพนักวางแขนโดยแรงด้วยความโกรธจัด แล้วเริ่มสบถสาปแช่ง
“บ๊ะ เสียสติไปแล้วหรือ! หัวหน้าด่านสุดท้ายอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ เจ้าอุตส่าห์ฟาดฟันสังหารอสูรร้ายทั้งหมดที่ขวางหน้าอย่างราบคาบ ตอนนี้กลับล้มล้างความตั้งใจเสียอย่างนั้น เข้ามาสังหารข้าสิ! จงเผชิญหน้ากับข้า! สมบัติของถ้ำเซียนทั้งหมดอยู่ในห้องโถงนี้แล้ว อยู่กึ่งกลางห้องเลยด้วย!”
…ไม่ว่าจะแผดเสียงตะโกนอย่างไร ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เพราะร่างของเขาจางหายไปท่ามกลางทะเลหมอก แล้วก่อนจะหวนกลับไปยังบริเวณหน้าผาก่อนหน้านี้
ขณะยืนอยู่บนหน้าผา ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วหันหน้าวิ่งกลับเข้าไปในสายหมอกอีกครั้งเพื่อก้าวผ่านประตูสวรรค์แห่งด่านทดสอบ ก่อนจะเดินตรงไปตามทางเดินหยกขาว ในที่สุดก็พบเข้ากับอสูรร้ายอีกครั้งในตำแหน่งเดิม
แม้ว่าสัตว์ประหลาดในครั้งนี้จะไม่ใช่งูยักษ์มีปีกตัวเดิม ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มสังหารมันจนตายตกไป เขากลับพบว่าหินวิญญาณชั้นเลิศในจำนวนเท่าเดิมยังคงร่วงหล่นลงมา
“เข้าใจแล้ว”
เขาหยิบหินวิญญาณขึ้นจากพื้นมาถือไว้ ก่อนเพ่งมองไปยังม่านแสงด้านบนพร้อมแสยะยิ้ม
“อสูรร้ายที่นี่จะฟื้นคืนชีพ ส่วนหินวิญญาณจะร่วงหล่นลงมาจากซากศพครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นสิ่งต่อไปที่ควรทำย่อมชัดเจนยิ่ง!”
ชายหนุ่มมองไปยังทางเดินหยกขาวที่ทอดยาวตรงหน้า ก่อนถ่มน้ำลายและกล่าวออกมาห้าคำ
“ช่างมารดามันเถอะ!”
…
ประมาณห้าวันต่อมา ไม่นับไป๋ชิวหราน หลีจิ่นเหยาซึ่งเป็นคนแรกในบรรดาศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ที่สามารถข้ามผ่านการทดสอบทั้งเจ็ดด่านจนมาถึงบริเวณหน้าผาอันจะนำไปสู่ด่านสุดท้าย
ทันทีที่เดินพ้นหมอกหนาทึบออกมา นางได้กลิ่นบางอย่างอันเป็นเอกลักษณ์ลอยมาตามลม
“น่าแปลก ที่นี่มีผู้ขัดเกลาอาวุธด้วยหรือ?”
ขณะที่หลีจิ่นเหยากล่าว นางมองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะพบว่าไป๋ชิวหรานกำลังนั่งอยู่บนหน้าผาที่มีระดับความชันเกือบจะเป็นแนวตั้ง พร้อมกับเตาหลอมสำหรับใช้ในการกลั่นอาวุธ
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
หลีจิ่นเหยารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“ท่านมัวทำสิ่งใดอยู่ที่นี่ เป็นไปได้อย่างไรว่าเวลาผ่านนานพอควรแล้ว ทว่ายังไม่ผ่านการทดสอบในด่านสุดท้าย?”
“โอ้ เป็นแม่นางหลีนั่นเอง”
ไป๋ชิวหรานหันหน้ากลับไปพลางเหลือบมองหลีจิ่นเหยาแวบหนึ่ง แต่ชายหนุ่มดูแล้วค่อนข้างอารมณ์ดีทีเดียว เขาตอบกลับ
“เปล่า ข้าต้องหลอมอาวุธขึ้นใหม่สองชิ้น เพื่อที่จะเพิ่มพื้นที่ในถุงเก็บสมบัติเป็นการชั่วคราว”
“เพิ่มพื้นที่งั้นหรือ?”
หลีจิ่นเหยากะพริบตาปริบ ก่อนขึ้นเหยียบกระบี่บินเพื่อร่อนลงใกล้กับตำแหน่งของไป๋ชิวหราน จากนั้นไพล่มือไปด้านหลัง พร้อมโน้มตัวไปข้างหน้าและเอ่ยถาม
“เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”
ชายหนุ่มอธิบายอย่างละเอียดถึงสิ่งที่พบพานระหว่างเข้าไปในด่านทดสอบห้าวิญญาณโชติช่วง หลังจากฟังจบ หลีจิ่นเหยาจึงเอ่ยถามทันทีอย่างไม่ลังเล
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านพาข้าผ่านเข้าไปได้หรือไม่?”
“ดูเหมือนเจ้าคงเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดข้าถึงได้รั้งรออยู่ที่นี่”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มพร้อมพยักหน้า
“เจ้าสำรวจพื้นที่โดยละเอียดเพื่อทำแผนที่แล้วหรือยัง?”
“ข้าสำรวจแล้ว”
หลีจิ่นเหยาพยักหน้า
“เพียงแต่ครั้งนี้ข้านำเม็ดยาและบรรดายันต์ต่าง ๆ ติดมาด้วยจำนวนมาก จึงไม่ได้นำเครื่องมือใช้สำรวจเพื่อทำแผนที่มาด้วย”
“เช่นนั้นก็อย่าได้กังวลไปเลย รั่วเวยของเราต้องพกพาสิ่งเหล่านั้นมาที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน”
ไป๋ชิวหรานหยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวต่อไป
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเราจะเข้าไปพร้อมกัน จากนั้นข้าจะแยกตัวไปแก้มือการต่อสู้ในครั้งก่อนหน้า ส่วนเจ้าแยกตัวไปค้นหาฐานหลักของค่ายกล”
“อืม!”
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในหมอกหนาทึบ หลีจิ่นเหยาแสร้งกระโดดพลาดเล็กน้อย และถือโอกาสคว้ามือของไป๋ชิวหรานมาจับไว้จากด้านหลัง เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านพื้นที่เชิงแรงโน้มถ่วง ชายหนุ่มจึงไม่ปล่อยมือนางในทันที แต่ดึงมืออีกฝ่ายให้เข้าไปพร้อมกัน
ทันใดนั้นโลกเบื้องหน้าทั้งสองพลันพลิกกลับด้าน ประตูสวรรค์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นว่ามั่นคงแล้วจึงปล่อยมือจากฝ่ามืออันอ่อนนุ่มของหลีจิ่นเหยา ก่อนกล่าวออกมา
“ไปเถิด”
“โอ้…”
หลีจิ่นเหยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถึงกระนั้นยังเดินติดตามไป๋ชิวหรานไป
ทั้งสองก้าวไปข้างหน้าจนพบกับอสูรร้ายตัวแรกในไม่ช้า เป็นแมลงร่างยักษ์ก่อรวมเป็นร่างขึ้นจากซากศพมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน มันบินออกมาจากกระแสพายุหมุนวนท่ามกลางกลุ่มเมฆ ทั้งยังพ่นพิษมรณะมาทางพวกเขา!
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดพล่ามให้มากความ ทั้งสองต่างร่วมมือกันโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อให้ภารกิจลุล่วง ชายหนุ่มโคจรพลังปราณแก่นแท้ภายในร่างพร้อมยกมือขึ้นต้านทาน ขณะที่หลีจิ่นเหยาตั้งใจจดจ่ออยู่กับการค้นหาฐานหลักของค่ายกล
“อยู่นั่น!”
ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของนาง ในไม่ช้าก็พบฐานหลักค่ายกลตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ นางยกมือขึ้นใช้ปราณกระบี่เชือดเฉือนทะเลเมฆหมอกให้แหวกออก ทันใดนั้นชั้นบรรยากาศเหนือทะเลเมฆหมอก ปรากฏค่ายกลที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้นบนท้องฟ้า!