ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - บทที่ 184 ฉันจงใจ
“คนเสนอราคาสูงสุดได้ไปใช่ไหม? ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราเพิ่มเงินหนึ่งในสี่ของราคา!”
มุมปากเย่เทียนวาดรอยยิ้มอันตรายขึ้น มองหญิงวัยกลางคนด้วยสีหน้าหยอกเย้า ดวงตาดำมืดกลอกไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดแผนชั่วอะไรอยู่
“ถูกต้อง! พวกเราเพิ่มเงินหนึ่งในสี่ของราคา!”
ฉินโล่หยินยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ตั้งแต่เด็กจนโตครั้งไหนบ้างที่เธออยากได้อะไรแล้วไม่ได้อันนั้น? นับประสาอะไรกับเพียงแค่เรื่องของเงินนี้ ทำไมเธอต้องทนรับความไม่เป็นธรรมด้วย?
“อย่าคิดว่ามีเงินสกปรกหน่อยแล้วจะทำราวกับว่าทั้งโลกนี้หมุนรอบเธอนะ เงินแค่ไม่กี่แสน ฉันยังเอาออกมาได้เหมือนกัน!”
“เธอ……” หญิงวัยกลางคนโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง โกรธจนแทบคุมตนเองไม่อยู่
หล่อนถลึงดวงตาใส่ฉินโล่หยินไม่กะพริบ กัดฟันแน่นพูดว่า “ดี! งั้นวันนี้ฉันจะดูว่าพวกเธอมีความสามารถมากแค่ไหนกัน ฉันเพิ่มอีกหนึ่งในสามของราคา สูทชุดนี้ฉันซื้อไว้แล้ว!”
เพิ่มมาเป็นหนึ่งในสาม! นั่นก็เป็นเงินหกหมื่นกว่าเลยสิ!
เวลานี้ทำให้เสี่ยวมู่พนักงานขายทั้งตื่นเต้นทั้งขมขื่น
ที่ตื่นเต้นคือ ดูจากท่าทางของสองฝ่าย เกรงว่าราคานี้ยังไม่ถึงที่สุด มีแนวโน้มมากว่าจะแข่งเสนอราคาต่อไป
ที่ขมขื่นคือ การทะเลาะของสองฝ่ายดึงดูดการจับจ้องของทุกคนภายในร้านแล้ว ถึงแม้จะเป็นราคาขายเพิ่มมามาก เกรงว่ายากมากที่จะเข้ากระเป๋าของหล่อนแล้ว
ที่เกินความคาดหมาย แทบจะเป็นช่วงที่คำพูดของหญิงวัยกลางคนจบลงไป เย่เทียนก็เพิ่มราคาอย่างนิ่งเฉย
“ฉันเพิ่มอีกเป็นหนึ่งในสองของราคา!”
เหตุการณ์นี้อย่างกับงานประมูลเลยทีเดียว รอบหนึ่งล้วนให้ราคาหลายหมื่น ทำให้ฝูงชนมุงดูที่อยากให้เรื่องวุ่นวายใหญ่กลุ่มหนึ่งต่างตื่นตกใจกันหมด
คนที่สายตาเฉียบแหลมล้วนมองออกกันทั้งนั้น นี่เห็นได้ชัดว่าสองฝ่ายจงใจเสนอราคาแบบอารมณ์เสีย
แน่นอนว่า นี่ไม่ขัดอารมณ์การดูเรื่องสนุกของทุกคน ในเมื่อไม่ว่าเป็นฝ่ายไหนซื้อไปได้ ฝ่ายที่เสียเปรียบล้วนจะไม่ใช่พวกเขา
หญิงวัยกลางคนโดนยั่วยุจนโกรธเคือง พูดจาเย็นชา “ไม่ใช่แค่สองแสนเจ็ดหมื่นเหรอ? ยังไม่พอฉันซื้อรถสักคันเลย!”
พูดจบ หญิงวัยกลางคนเพิ่มราคาอีกครั้งแบบไม่ยอมอ่อนข้อ ครั้งนี้เพิ่มเป็นเท่าหนึ่งของราคาขายโดยตรง
พูดมาแบบนี้ ราคาสูทหรูหราชุดนี้คือหนึ่งแสนแปดหมื่น หญิงวัยกลางคนยินยอมใช้ราคาสามแสนหกหมื่นซื้อไป
เย่เทียนยักไหล่ หัวเราะนิ่งๆ บอกว่า “เพิ่มแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก ไม่สู้พวกเราบอกมาตรงๆ ฉันให้ห้าแสน!”
พอเสนอราคานี้ ชั่วขณะหนึ่งทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ฮือฮาครู่หนึ่ง สายตาที่แต่ละคนมองทางเย่เทียนทั้งเหยียดหยามทั้งนับถือ
ที่นับถือคือ เย่เทียนยินยอมจ่ายเงินเพิ่มสามแสนสองหมื่นมาซื้อสูทชุดนี้ไป
ที่เหยียดหยามคือ สรุปว่าเย่เทียนเป็นคนรวยโผล่ออกมาจากที่ไหน ถึงเห็นเงินเป็นเพียงตัวเลขกองหนึ่งโดยแท้
ในความเป็นจริง ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย แม้แต่ตัวหญิงวัยกลางคนเองยังตื่นตระหนกไปอยู่บ้าง
ถึงจะพูดเช่นนี้ หญิงวัยกลางคนกลับยังคงไม่ยอมเสียหน้า กัดฟันพูดยืนหยัด
“พวกเธออยากเล่นงั้นเหรอ? วันนี้ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนพวกเธอ!”
“ฉันให้ห้าแสนห้าหมื่น!”
“เจ็ดหมื่น!”
แทบจะเป็นชั่วขณะที่หญิงวัยกลางคนพูดจบลง เย่เทียนก็เสนอราคาใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว
แต่ละครั้งที่สองฝ่ายเสนอราคา มีแนวโน้มจะดึงดูดเสียงฮือฮาของผู้คนในเหตุการณ์กัน และเสียงปรบมือกู่ร้องที่หวังให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตขึ้น
ควักเช็คหนึ่งล้านที่ได้มาจากในมือเจิ้งเหวยหวาใบนั้นออกมาจากบนตัว เย่เทียนชูขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“อย่างอื่นฉันไม่กล้าพูด หนึ่งล้านฉันยังพอจ่ายออกไปได้อยู่!”
“นาย……”
สีหน้าโกรธเคืองของหญิงวัยกลางคนเข้มขึ้นจนเป็นสีตับหมูแล้ว แต่กลับไม่ได้เสนอราคาไปในวินาทีแรก
เงื่อนไขทางบ้านหล่อนไม่เลวจริง มีสามีที่รักเอาใจใส่ มีลูกชายที่เจริญก้าวหน้า ถ้าไม่มีอะไรเกินคาดช่วงบั้นปลายชีวิตลิขิตมาให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
แต่ว่า เงินของบ้านใครคงไม่ใช่หอบมากับลมหรอก ถึงแม้สูทชุดนี้จะเป็นของแบรนด์เนม แต่ถ้าต้องเพิ่มราคาหลายเท่าซื้อมา นี่ไม่ใช่เป็นคนโง่แท้จริงเหรอ?
เย่เทียนมองความลังเลของหญิงวัยกลางคนออกแล้ว ในใจหัวเราะเยาะไม่หยุด
“ทำไม เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าโอหังมากนักเหรอ? ตอนนี้คือเตรียมยอมแพ้แล้ว?”
“เธอไม่ใช่บอกว่าไม่มีเงินอย่าเลียนแบบคนอื่นซื้อของแบรนด์เนมหรอกเหรอ? เสียงตะโกนก็ดูไม่เบา ทำไมนี่ไม่ตะโกนอีกแล้วล่ะ?”
เย่เทียนทำหน้าเยาะเย้ยพูดเหน็บแนม
ฉินโล่หยินให้ความร่วมมือรับบทสนทนาต่อ “ก็ใช่นะ เป็นถึงคนรุ่นป้าแก่แล้ว ยังมาเลียนแบบคนอื่นซื้อของแบรนด์เนมอะไรอีก?”
“ป้า ถ้าป้าซื้อไม่ไหวก็บอกมาตรงๆ อย่าเสียเวลาของทุกคนอีกเลย”
ภายใต้ความฝืนใจที่ทั้งสองเดี๋ยวก็ว่าป้า และก็ว่ามาว่าป้าอีก ทันใดนั้นหนึ่งหญิงวัยกลางคนเดือดแล้ว เดิมทีมีเหตุผลลังเลอยู่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกไฟโกรธทำสับสน
“ฉันให้แปดแสน!” หญิงวัยกลางคนส่งเสียงแบบอับอายจนโมโห
ถึงพูดแบบนี้ นี่ดูออกไม่ยากหล่อนยังเหลือความระมัดระวังไว้อยู่บ้าง
เช็คหนึ่งล้านนั้นของเย่เทียนหล่อนมองเห็นอย่างชัดแจ้ง หล่อนคงไม่โง่เขลาถึงขั้นใช้เงินหลายแสนมาซื้อสูทชุดหนึ่งจริงๆ หรอก!
ถึงแม้ใจมีความหมายถอยหลบ แต่หล่อนกลับคิดแผนการไม่ให้เย่เทียนบรรลุเป้าหมายง่ายดายขนาดนี้
ตอนที่หล่อนคิดว่าเย่เทียนจะเสนอราคาต่อไป กลับเห็นมุมปากเย่เทียนเผยรอยยิ้มปลิ้นปล้อนที่หยอกล้อออกมา
“ฉัน……สละสิทธิ์”
“ฮาๆ! ฉันว่าแล้วนายเล่นสู้ฉันไม่ได้หรอก!”
หญิงวัยกลางคนได้ยิน อดไม่ไหวส่งเสียงหัวเราะฮาๆ อย่างได้ใจออกมา
เพียงแค่ สภาพนี้เพิ่งคงเอาไว้ได้สองวินาทีเท่านั้น หล่อนกลับหยุดลงไปกะทันหัน ถลึงตาโตมองเย่เทียน
“นาย นายสละสิทธิ์แล้ว? นายสละสิทธิ์ได้ยังไง?”
แทบจะในเวลาเดียวกันเอง ผู้ชมที่อยากเห็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในที่นี้ก็ตอบสนองเข้ามา มองเย่เทียนด้วยความสงสัยเต็มที่
เมื่อสักครู่ไม่ใช่ควักเช็คหนึ่งล้านออกมาแล้วเหรอ? นี่เพิ่งแปดหมื่นเองทำไมถึงหยุดลงแล้ว?
ฉินโล่หยินอดมึนงงไม่ได้เหมือนกัน “เย่เทียน นาย…..”
เย่เทียนส่ายหน้าให้ฉินโล่หยินแค่นิดหน่อย หน้าเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการหยอกล้อ
คุณหนูใหญ่ฉินเห็นแบบนี้เข้า ยังไม่รู้ชัดเจนว่าเย่เทียนหมายความว่าอะไรที่ไหน ชั่วขณะนั้นก็ยิ้มเหมือนดอกไม้ เบิกบานถึงขีดสุดแล้ว
เวลานี้ หญิงวัยกลางคนเข้าใจขึ้นมาเช่นกัน จะไม่รู้ชัดที่ไหนว่าเย่เทียนจงใจแกล้งหลอกตนเอง
ตอนนี้หญิงวัยกลางคนเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เนื่องจากโกรธเคืองใบหน้าบิดรวมกัน เผยความหมายดุร้ายชัดเจน ถลึงดวงตาที่แคบเล็กคู่นั้นโตขึ้นจ้องเย่เทียนอย่างโมโห
“แกแม่งจงใจแน่นอน นึกไม่ถึงกล้าหลอกฉัน แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
สำหรับหญิงวัยกลางคนที่ร้องคำราม เย่เทียนกลับทำหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้มีแนวโน้มอยากขอโทษแม้แต่น้อย
เขาครอบครองประโยชน์ของส่วนสูง จึงก้มตัวเล็กน้อย พูดจาเยาะเย้ยดูถูก “เธอเป็นใครเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเหรอ?”
“นอกจากนั้นพูดเลยว่า ฉันจงใจหลอกเธอ เธอจะทำอะไรฉันได้?”
ท่าทีก้าวร้าวโอหังแบบนี้ ทำให้ผู้คนที่มุงดูฮือฮาในชั่วขณะหนึ่ง
แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่พอใจมากแค่ไหน เดิมทีก็ไม่มีทางโกรธได้ ยิ่งไม่มีสิทธิ์โกรธ
ใครให้พวกเขาเป็นเพียงคนที่มาดูเรื่องสนุกล่ะ?
“แก……”
มาดูทางหญิงวัยกลางคนไม่เห็นด้วยแล้ว หล่อนในฐานะหนึ่งในคนเกี่ยวข้อง โมโหจนหน้าอกกระเพื่อมรุนแรง กัดฟันแน่น ถลึงตาใส่เย่เทียนด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ
ถ้าบอกว่าสายตาพอจะฆ่าคนได้ เกรงว่าเย่เทียนคงโดนหล่อนเชือดเฉือน ประหารชีวิตจนตายตั้งนานแล้ว