ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - บทที่ 544 ฉันยังวอร์มร่างกายไม่พอ
“ฉันเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจมาหลายสิบปี ท่านคงจะไม่ถูกคนโง่เง่าเช่นนี้ข่มขู่ให้ตกใจกลัวได้ ฉันมีหลายเหตุผลที่น่าเชื่อว่ามีคนที่มีความสามารถยุยงท่านให้ทำเช่นนี้อย่างแน่นอนใช่ไหม?”
เย่เทียนหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วจิบจากนั้นหันไปมองหลู่อี้และขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปที่ตู้เคอหลินที่อยู่ด้านตรงข้าม
“แกว่าใครว่าโง่เง่า?”
ตู้เคอหลินโกรธจัดในทันทีพร้อมกับวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะและมองไปที่เย่เทียนพร้อมกับหยั่งเชิงใช้วิธีนี้กดดันเย่เทียน
“ว่าใคร!”
น่าเสียดายที่เย่เทียนไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำ ดวงตาสีเข้มยังคงจับจ้องไปที่หลู่อี้ น้ำเสียงที่เย็นชาทุ้มต่ำของเขาพูดวนซ้ำอีกรอบ
เมื่อมองไปที่ดวงตาสีเข้มที่ไร้ซึ่งอารมณ์ของเย่เทียน หลู่อี้ก็ตื่นตระหนกและพลั้งปากออกมา “เป็นคนของตระกูลคุณที่เมืองจิน….”
เมื่อคำพูดหลุดออกมา หลู่อี้ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและปิดปากแน่นอีกครั้ง
แต่ข้อมูลเล็กน้อยแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเย่เทียนแล้ว!
ตระกูลของตนที่เมืองจิน?!
ใบหน้าของเย่เทียนมืดมนในทันที เขาไม่ได้คาดคิดว่าญาติในสายเลือดของตัวเองจะเหี้ยมโหดขนาดนี้ ต้องการกำจัดให้สิ้นซาก
เขาไม่ได้สงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูลเลยสักนิด หนึ่งคือสิ่งที่มาจากตระกูลเย่นั้นมีคุณสมบัติพอที่จะข่มขู่หลู่อี้ได้ สองคือหลู่อี้ได้โพล่งปากออกมาเอง!
ขนาดที่ว่าเย่เทียนสามารถคาดคะแนได้อย่างกล้าหาญเลยว่าคนที่โทรมาหาหลู่อี้จะต้องเป็นคนอายุน้อยของตระกูลเย่ เผลอๆอาจจะเป็นเย่ย่งเล่อก็เป็นได้
การคาดเดาของเขานั้นมีอ้างอิง เมื่อตอนงานครบรอบวันเกิดของเฉินชังไห่ เขาเองก็ได้ฉลองกับเย่ย่งเล่อและต่อมาก็ได้รับความช่วยเหลือจากคุณย่าในการคัดเลือกเข้าร่วมทีมสายฟ้าอีกด้วย
อาจเป็นไปได้ว่าเย่ย่งเล่อเป็นกังวลว่าคุณย่าจะพาเขากลับบ้านถึงได้ทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้!
แต่น่าเสียดาย เย่เทียนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหลู่อี้ถูกเหลียงเยว่หรูหลอก?
“เด็กเหลือขอ ขนาดคนในครอบครัวยังอยากให้นายเกิดเรื่องเลย ไหนลองบอกสิว่าการมีชีวิตอยู่จะไปมีความหมายอะไร?!”
ตู้เคอหลินไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อได้ยินว่าขนาดคนในตระกูลของเย่เทียนยังอยากจะจัดการเขา ตู้เคอหลินจึงได้หัวเราะดังลั่นในทันที
“เมื่อได้ยินนายพูด นายยังอยากจะฆ่าฉันอีกเหรอ?”
เย่เทียนกลับมารู้สึกตัวพร้อมกับมองไปที่ตู้เคอหลินด้วยใบหน้าที่ขี้เล่น
“เรื่องนี้ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดไว้ชัดเจนหรอก ตู้เคอหลินส่ายหัวเบาๆพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย “ต้องให้ฉันลองใช้ผู้หญิงของนายก่อนนะ หากเธอปฏิบัติรับใช้ฉันอย่างดี ไม่แน่ว่าฉันอาจปล่อยพวกนายไปก็ได้”
เมื่อเสียงของเขาสิ้นสุดลง โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น
“เด็กเหลือขอ อีกเดี๋ยวรอดูผู้หญิงของนายแสดงต่อหน้าฉันได้เลย!”
มุมปากของตู้เคอหลินขดรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาในทันทีพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
เขาเห็นร่างของเย่เทียนปรากฏตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่บนชั้นสองจึงรีบสั่งให้คนที่อยู่ด้านล่างไปนำตัวเฉินหวั่นชิงที่อยู่ที่โรงแรมมา
“อะไรนะ?ที่โรงแรมไม่มีคนงั้นเหรอ?!”
แต่ในวินาทีถัดมา รอยยิ้มบนใบหน้าของตู้เคอหลินก็ค้างงันและตกตะลึงไปหมด
เขาได้ตรวจสอบโรงแรมที่เย่เทียนกับเฉินหวั่นชิงพักอยู่อย่างแน่ชัดแล้วว่าเฉินหวั่นชิงไม่ได้ตามมาด้วย งั้นก็ควรต้องอยู่ที่โรงแรมสิ?ทำไมถึงหาไม่เจอ?
หรือว่าเย่เทียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะลงมือกับเฉินหวั่นชิงจึงจัดการเตรียมให้เฉินหวั่นชิงออกไปก่อน?
“ไม่คิดเลยว่าเด็กเหลือขออย่างแกจะฉลาดเหมือนกัน!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ตู้เคอหลินก็ได้หันมามองเย่เทียนและพูดอย่างเยาะเย้ย “อย่างไรก็ตามแกคิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับฉันงั้นเหรอ?ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไม่รับสายนาย!”
“เด็กเหลือขอ เอาโทรศัพท์ของแกออกมาซะดีๆจะได้ไม่ต้องโดนทุบตีเยอะ!”
เย่เทียนจิบไวน์แดงและไม่ได้สนใจคำขู่ของตู้เคอหลิน เขามองมาที่ตู้เคอหลินด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง “ถ้ามีความสามารถมากพอก็มาหยิบเอาไปเองสิ!”
“มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมาเสแสร้งกับกูอีกเหรอ?”
เมื่อมองเห็นท่าทางที่ดูเหยียดหยามของเย่เทียน ความโกรธของตู้เคอหลินก็ถูกจุดประกายขึ้นมาทันทีพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่ดุร้าย “ยินดีกับแกด้วย ตอนนี้แกได้มาหาเรื่องกับไฟแล้ว!”
“ยังยืนบื้ออะไรอยู่?ไม่รู้เหรอว่าฉันจะทำอะไร?จับไอ้เด็กเหลือขอนั่นแล้วหยิบโทรศัพท์ของมันมาให้ฉันซะ!”
ตู้เคอหลินโบกมือใหญ่ๆของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำรามออกคำสั่งลูกน้องหลายคนของเขา
“ไอ้เด็กเหลือขอ กล้ามากนะที่มาทำให้คุณชายตู้ต้องขุ่นเคือง รอกินหมัดของพวกเราได้เลย!”
“ทางที่ดีนายอย่าต่อต้านเลยไม่เช่นนั้นรับประกันได้เลยว่าหมัดของพวกเราคงแรงขึ้นแน่นอน!”
“ชาติหน้าเกิดเป็นคนก็ทำตัวมองการณ์ไกลหน่อยก็ดีนะ ไม่ใช่ว่าใครก็ไปรุกรานเขาได้!”
สติของพวกอันธพาลที่รอมานานก็ค่อยๆกลับมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาเย่เทียนราวกับหมาป่า
แต่พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา แม้ว่าจะมีจำนวนมากและมีร่างกายที่กำยำแต่เย่เทียนจะสนใจได้อย่างไรกัน?
เย่เทียนส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับยืนขึ้นและใช้เท้าเตะโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านหน้าของตู้เคอหลินลอยออกไป
“อั๊ยยะโว้ย!”
ตู้เคอหลินจะไปคาดหวังว่าเย่เทียนจะมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยด้วยซ้ำและตบโต๊ะอาหารโดยตรง ไม่เพียงแค่หน้าผากที่ไม่สบายแต่บั้นท้ายก็ยังรู้สึกเจ็บระบมอีกด้วย
คุณชายใหญ่ผู้ร่ำรวยน่าสงสารมาก เขาเคยทนทุกข์แบบนี้เมื่อไหร่กัน เจ็บปวดจนร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางราวกับโดนกัดตายอย่างไงอย่างงั้น
หวดหวด!
ในเวลานี้มีอันธพาลสองคนมาถึงที่ด้านข้างของเย่เทียนและหมัดหนักๆก็พุ่งตรงเข้ามาใส่เย่เทียน
เย่เทียนหลบหลีกได้อย่างรวดเร็วและสะบัดเท้าอย่างแรงใส่สองคนนั้นจนกระเด็นออกชนกับคนที่พุ่งขึ้นมาจากด้านหลัง
เมื่อหลู่อี้เห็นก็รู้สึกใจเต้นแรง ไม่คาดคิดเลยว่าเย่เทียนที่เป็นลูกชายของตระกูลที่ร่ำรวยจะต่อสู้ได้ดีขนาดนี้ ไม่นานนักก็จัดการอันธพาลที่อยู่ในห้องได้
ตอนนี้เย่เทียนอยู่ใกล้กับหน้าต่างเป็นอย่างมาก หากเย่เทียนหนีออกไปทางหน้าต่าง ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงเป็นแน่!
ยังไงซะนี่เป็นชั้นสอง หากกระโดดลงไปและหัวไม่ได้ลงพื้นก็คงไม่ถึงตาย
ถึงแม้ว่าโชคไม่ดีแล้วขาหัก หากวิ่งไปสิบกว่าเมตรก็จะถึงถนนสายหลักแล้ว เกรงว่าเย่เทียนก็คงจะหยุดรถและออกไปก่อนที่พวกเขาจะวิ่งลงมาข้างล่างอีก
เพียงแต่มันตรงข้ามกับสิ่งที่หลู่อี้คิด เย่เทียนไม่ได้รอโอกาสที่จะกระโดดหนีออกทางหน้าต่างแต่กลับหันหลังกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาให้กับอันธพาลที่จู่โจมขึ้นมาตรงทางเดิน
ตึกตึก!
ตูมตูม!
ชั่วขณะหนึ่ง เย่เทียนนั้นเหมือนอยู่คนเดียว เดินขวักไขว่ที่ระเบียงทางเดินอย่างมังกร ทุกๆครั้งที่เขาต่อยออกไปจะมีคนล้มลงเสมอ ทุบตีอันธพาลพวกนั้นจนร้องไห้ออกมา
อย่างไรก็ตามภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที พวกอันธพาลยี่สิบกว่าคนที่อยู่ตรงทางเดินก็ต่างถูกเย่เทียนจัดการจนล้มลงไปหมด พวกเขานอนอยู่บนพื้นและคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
แปะแปะ!
เย่เทียนทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เขาปรบมือด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายพร้อมกับเหยียบร่างของชายหยาบกร้านร่างใหญ่สองคนและมองไปที่ตู้เคอหลินที่ถูกพยุงอยู่ภายในห้องด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ยิ้ม
“เฮ้ นายคงไม่ได้เตรียมคนมาน้อยแค่นี้หรอกนะ?นี่ยังไม่พอให้ฉันได้วอร์มร่างกายเลยนะ!”