ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - บทที่ 625 ของขวัญในการมาเยือนครั้งแรก
เวลาเที่ยงคืน สามเหลี่ยมทมิฬ
เย่เทียนที่ลงจากเครื่องได้กวาดตามองไปยังสถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย อดที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมาที่มุมปากไม่ได้
จะบอกว่าคุ้นเคย เพราะชาติที่แล้วเขาเคยมาตั้งหลายครั้ง แต่ในชาตินี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้มา จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่คุ้นเคย
พูดตามตรง ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของซูเหมย เขาก็ไม่อยากมาที่นี่จริงๆ นั่นแหละ
เนื่องจาก สามเหลี่ยมทมิฬนั้นไม่ได้วุ่นวายแค่นิดหน่อยนะสิ!
เย่เทียนภาวนาอยู่ในใจให้ซูเหมยอย่าได้เป็นอะไรเลย หลังเดินออกมาจากสนามบินอย่างรวดเร็ว เขาก็โบกแท็กซี่คันหนึ่งแล้วบอกชื่อโรงแรมไป
รถแท็กซี่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหายเข้าไปในความมืด
แต่ว่า หลังจากที่รถแท็กซี่จากไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีรถซุปเปอร์คาร์มาเซราติสีน้ำเงินได้ดริฟท์อย่างสวยงามเข้ามาจอดลงที่หน้าประตูสนามบิน
ประตูรถถูกเปิดออก สิ่งที่ลงมาจากรถก่อนอันดับแรกคือขาเรียวยาวที่สวมถุงน่องสีเนื้อ ขาข้างนั้นสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงสด เจ้าของรองเท้าส้นสูงคู่นั้นได้ลงจากรถอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงซิ่ว อาศัยแสงสว่างจากไฟถนน ในที่สุดก็เห็นหน้าเธอได้อย่างชัดเจนสักที
หน้าทรงไข่ ปากเชอร์รี่ ผมสีดำเข้มพาดลงลงจากบ่า บวกกับความสูงที่ไม่น้อยกว่าร้อยเจ็ดสิบ ถือเป็นสาวงามที่ไม่มีที่ติจริงๆ
สาวสวยพุ่งลงมาจากรถมาเซราติ แล้ววิ่งเข้าไปในสนามบินด้วยความเร่งรีบ
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ภายในสนามบินจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก สาวสวยกวาดตามองไปรอบๆ สุดท้ายก็ได้รู้ว่าตัวเองคลาดกับเที่ยวบินนั้นไปแล้ว ไอ้ผู้ชายที่สมควรตายนั่นน่าจะออกไปสนามบินไปนานแล้ว!
พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวก็ดูโมโหขึ้นมา พูดพร้อมกัดฟันว่า “อีตาบ้าเย่เทียน นายคิดว่านายจะหนีรอดเงื้อมมือของฉันไปได้รึไง!”
พูดจบ สาวสวยหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วกดเบอร์ชุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว พูดสั่งคนที่อยู่ปลายสายว่า “ให้คนเช็ดดูผู้ชายที่ชื่อเย่เทียน ที่มาจาก สามเหลี่ยมทมิฬคืนนี้ว่าไปไหนแล้ว!
หลังจากขึ้นรถแท็กซี่แล้ว จู่ๆ เย่เทียนที่นั่งอยู่หลังรถก็ได้จามออกมา ขยี้จมูกด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วพูดบ่นว่า “นี่มันอะไรกัน? ใครมันด่าเรากัน?”
อย่างไรก็ตาม รถแท็กซี่ก็ได้ขับมาจอดอยู่หน้าโรงแรมที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง เย่เทียนจ่ายเงินแล้วลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในโรงแรมเล็กๆ แห่งนั้น
แสงไฟในโรงแรมมืดสลัว ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับร้านทำผมที่ยังเปิดทำการในกลางดึกเลย เย่เทียนอาศัยความที่ตัวเองทั้งเก่งทั้งกล้าจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ แล้วเรียกพนักงานผู้หญิงที่กำลังสัปหงก “ผมเป็นคนที่มาจากประเทศจีน และได้จองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมามอง ดึงคีย์การ์ดใบหนึ่งออกมาแล้วโยนให้เย่เทียน “ชั้นสี่! ห้องสี่สี่สี่!”
“หืม?!”
หางตาของเย่เทียนกระตุกอย่างแรง และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับถังเหวินหลงเหลือเกิน นี่จ้องโรงแรมบ้าบออะไร? เลขห้องยังเป็นสี่สี่สี่อีก นี่มันเท่ากับกำลังแช่งให้เขาตายอยู่ไม่ใช่รึไง?
ในใจมีม้าโคลนหญ้าวิ่งผ่านนับหมื่นตัว แต่สีหน้าของเย่เทียนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาแล้วเดินขึ้นบันไดไป
เนื่องจากเป็นแค่โรงแรมเล็กๆ จึงไม่มีลิฟต์อยู่แล้ว ระหว่างทางเดินก็มีขยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งพวกกล่องข้าว กล่องผลไม้ แม้แต่ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วก็ยังผ่านตาบ้าง มันช่างสกปรกอย่างไร้ที่ติเลย
เย่เทียนเดินขมวดคิ้วไปถึงชั้นสี่ เปิดประตูห้องสี่สี่สี่ออก พอเห็นสภาพภายในห้องถึงได้โล่งอกขึ้นมาหน่อย
มันต่างออกไปจากทางเดินที่สกปรก ภายในห้องนั้นถือว่าทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี โซฟาทีวีก็มีครบ ด้านนอกหน้าต่างที่เปิดอกครึ่งหนึ่ง สามารถมองเห็นบรรยากาศยามค่ำคืนของสามเหลี่ยมทมิฬได้
เดินเข้าไปในห้อง เย่เทียนที่นั่งเครื่องมาหลายชั่วโมงก็ได้นอนลงบนที่นอนอย่างเกียจคร้านยังไม่ทันได้พักหายใจ โทรศัพท์ภายในที่อยู่บนหัวเตียงก็ได้ดังขึ้น
เย่เทียนตกใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาด น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่กระตือรือร้นก็ได้ถามขึ้นว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณเย่เทียนรึเปล่าครับ?”
“ใช่ครับ”
ความระแหงในใจของเย่เทียนได้ลดลง “คุณน่าจะเป็นคุนไท่ที่ท่านถังส่งมาให้ร่วมงานกับผมสินะ? ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงแรม แล้วคุณล่ะอยู่ไหน?”
“เย่ ตอนนี้ผมกำลังไป!”
คุนไท่ที่อยู่ปลายสายหัวเราะออกมาเสียงดัง “คืนนี้ ผมได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณเลยนะ เป็นพี่น้องสองสาวที่สวยราวกับนางฟ้า!”
เสียงหัวเราะที่มีลับลมคมในของคุนไท่มีเพียงผู้ชายเท่านั้นถึงจะเข้าใจ มันจึงทำให้เย่เทียนนึกถึงความทรงจำตอนที่เขาเป็นทหารรับจ้างเมื่อชาติก่อนจึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น และได้พูดปฏิเสธไปว่า “ของขวัญชิ้นใหญ่ของคุณชิ้นนี้คุณเก็บไว้สนุกคนเดียวดีกว่า! ผมให้ความสำคัญกับงานมากกว่า!”
“เย่ งั้นคุณช่วยรอผมอีกสิบนาทีนะ”
เห็นได้ชัดว่าคุนไท่เข้าใจเป้าหมายของเย่เทียนดี จึงไม่ได้พูดถึงของขวัญชิ้นใหญ่อะไรนั่นอีก
แล้วก็เป็นไปตามคาด เก้านาทีหลังจากที่วางสาย ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของเย่เทียน
“เย่ คุณอยู่ในนั้นมั้ย?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่กระตือรือร้นของคุนไท่ พอเย่เทียนคิดจะเดินไปเปิดประตู แต่ลึกๆ ในใจกลับแอบรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
ยังไงที่นี่ก็อู่ที่สามเหลี่ยมทมิฬเย่เทียนจึงไม่กล้าประมาท ยังไงก็ต้องระวังไว้ก่อน เขากวาดตามองไปรอบห้อง แล้วคว้ามีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะมาซ่อนไว้ที่มือ
เนื่องจากประตูห้องไม่มีตาแมว เย่เทียนจึงไม่สามารถมองดูสถานการณ์นอกห้องได้ แต่เขากลับมีแผนอื่น โดยไม่ได้ไปที่ประตูแต่กลับปีนไปที่ระเบียงอย่างรวดเร็ว ไปยืนอยู่บนคอมเพรสเซอร์แอร์อย่างระมัดระวัง คอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอย่างเงียบๆ
ตรงนอกห้อง คุนไท่กำลังจ้องมองชายร่างกำยำสองคนที่ยืนอยู่สองข้างของเขาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เหงื่อไหลลงจากหน้าผากไม่ยอมหยุด อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างต่อเนื่อง
ตรงเอวของเขาทั้งสองข้าง มีปลายปืนสีดำสองกระบอกจ่ออยู่ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด
“เรียกอีก!”
หลังรอไปอีกหลายวิ พอเห็นว่าประตูห้องยังไม่เปิด ชายฉกรรจ์ทางซ้ายก็ได้พูดเร่งขึ้นมา
คุนไท่จะไปกล้าขัดได้ยังไง จึงได้ตะโกนเรียกไปอีกครั้ง “เย่ ผมเป็นคุนไท่ที่เพิ่งโทรหาคุณเมื่อกี้!”
แต่ทว่า ประตูห้องกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
“ขะ เขาอาจจะกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้”
คุนไท่ยื่นมือขึ้นไปปาดเหงื่อตามสัญชาตญาณ ฝืนยิ้มแล้วพูดไปว่า “อย่างดูถูกที่นี่นะ การเก็บเสียงของที่นี่นั้นดีมากเลยต่อให้ข้างในจัดปาร์ตี้กัน ข้างนอกก็ยังไม่ได้ยิน เรารอต่อไปอีกหน่อยดีมั้ย?”
“พังประตู!”
แต่ว่า ชายฉกรรจ์ทั้งสองกลับไม่ได้สนใจคำแนะนำของคุนไท่เลย หันมาสบตากันทีหนึ่ง แล้วเห็นความแน่ใจในแววตาของอีกฝ่าย
ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ทางซ้ายก็ได้ก้าวออกมา แล้วถีบใส่ประตูอย่างแรง
แต่ว่า ภายในห้องกลับว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของคนเลยสักนิด!
“ไม่มีคนอยู่?”
ชายฉกรรจ์คนนั้นตกใจ จากนั้นก็มองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ แล้วหันไปพูดกับพรรคพวกของเขาว่า “บัดซบ มันหนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว!”
ระหว่างที่พูด ชายฉกรรจ์ก็รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง เพื่อที่จะดูว่าเย่เทียนได้กระโดดออกจากหน้าต่างแล้วหนีไปทางไหน
เย่เทียนที่อยู่นอกหน้าต่างได้รออยู่นานแล้ว พอเห็นชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามา เขาก็ถีบใส่หน้าของอีกฝ่ายโดยไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว……