ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 113 ฉัน ยั่ว ยวน นาย?
“ฉัน ยั่ว ยวน นาย?” นี่มันปรักปรำกันชัดๆ “ไม่ใช่นายหรือที่เป็นฝ่ายมองฉันจนน้ำลายไหลยืด ทำให้ฉันคิดว่านายเป็นพวกลามกเสียอีก?”
“เจ้าเป็นฝ่ายกอดคอข้าไม่ปล่อยชัดๆ”
“นายต่างหากที่เป็นฝ่ายกอดฉันไม่ปล่อย ฉันยังกลัวนายจะเขมือบฉันจนไม่เหลือแม้แต่ซากเสียด้วยซ้ำ!”
ทั้งสองพูดเรื่องในอดีตคนละประโยคสองประโยค ยิ่งพูดก็ยิ่งอดตกตะลึงไม่ได้
ที่แท้พวกเขาแสดงละครคนละเรื่องมาตลอด คนหนึ่งแสดงเรื่องสาวชาวเมืองกับนักค้ามนุษย์ ส่วนอีกคนแสดงเรื่องหนุ่มชาวป่ากับปีศาจสาว ประเด็นสำคัญคือ พวกเขาทั้งสองต่างไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติสักนิด แถมยังร่วมแรงร่วมใจกันแสดงละครต่อไปเรื่อยๆ อีกด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
“พวกเราสองคน เดินมาถึงขั้นนี้ได้ นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ” เซียวเถี่ยเฟิงทอดถอนใจ
“นี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่ข้ามกาลเวลาเป็นพันปี ดูท่าสวรรค์จะลิขิตให้เราต้องอยู่ด้วยกันจริงๆ” กู้จิ้งพูดตามความรู้สึก
“ข้าไม่สน ไม่ว่าต้องลำบากแค่ไหน ข้าจะอยู่กับเจ้า หากวันไหนเจ้าจะเข้าไปในกระเป๋านั่น เจ้าก็ต้องพาข้าไปด้วย”
เซียวเถี่ยเฟิงตัดสินใจแล้วว่าต่อให้ต้องลำบากแค่ไหน เขาก็จะอยู่กับกู้จิ้ง
ดวงตาของกู้จิ้งเปล่งประกายวาบ “พี่ล่ำ นายกำลังจะกลายเป็นแม่ทัพผู้บุกเบิกแผ่นดินอย่างนั้นหรือ?”
แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับไม่ใส่ใจสักนิด “เปล่า ข้าแค่อยากหาเจ้าให้พบเร็วๆ และอยากหาสิ่งที่เจ้าชอบมาเก็บไว้ให้เจ้าเท่านั้น”
ทรัพย์สินเงินทอง อาภรณ์เนื้อดี บ้านหลังใหญ่ ข้าทาสบริวาร นี่คือสิ่งที่นางอยากได้
ส่วนเรื่องตับห่านหูฉลามอะไรนั่น เซียวเถี่ยเฟิงคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจตัดออก
มันไม่อร่อยสักนิด
กู้จิ้งกุมมือเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้พลางเสนอความเห็นว่า “ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปดูในกระเป๋ากันตอนนี้ดีไหม บางทีเราอาจจะได้กลับไปยุคปัจจุบันด้วยกัน แล้วก็อาจได้เจอกับคุณยายของฉันด้วย”
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “แต่ถ้าข้าไม่ได้รับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมในยุคสมัยนี้ ยายของเจ้าจะหายไปหรือเปล่า?”
กู้จิ้งเลื่อมใสมันสมองของเซียวเถี่ยเฟิงเหลือเกิน “เมื่อก่อนฉันก็เคยกังวลเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฉันคิดได้แล้ว ถ้าฉันแค่ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ โลกใบนี้ก็คงไม่อนุญาตให้ฉันทำอะไรเหลวไหลแน่”
พูดตรงๆ ก็คือ การที่ประวัติศาสตร์สามารถดำเนินต่อมาเรื่อยๆ ได้อย่างมั่นคงจนป่านนี้ ย่อมต้องมีระบบป้องกันตัวที่แสนแข็งแกร่งซ่อนอยู่
แต่เซียวเถี่ยเฟิงยังคงสงสัย “ถ้าเราเข้าไปในกระเป๋าแล้วมีคนมาเจอกระเป๋าใบนี้เข้า เกิดเขาเอาเราไปโยนทิ้งน้ำ จะทำยังไงกัน?”
กู้จิ้งได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างได้ใจ “เมื่อก่อนฉันก็สงสัยแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ถ้ากระเป๋าใบนี้เข้าสู่ภาวะข้ามเวลาเมื่อไหร่ เวลาของมันจะเร็วกว่าเวลาปกติ สิ่งที่อยู่ในห้วงเวลาที่เร็วกว่าปกติจะถูกคนทั่วไปพบเห็นได้อย่างไร ในเมื่อเวลาของมันกับสภาพแวดล้อมรอบด้านเร็วไม่เท่ากัน”
พูดตรงๆ ก็คือ คนที่นั่งรถม้าย่อมไม่สามารถพูดคุยกับคนที่นั่งเครื่องบิน มีแต่คนที่นั่งอยู่ในเครื่องบินด้วยกันเท่านั้นถึงจะพูดคุยกันได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมกระเป๋าใบนี้ถูกแขวนทิ้งไว้บนเขาเว่ยอวิ๋นสามปี แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเราก็เข้าไปดูกัน”
ในที่สุดเซียวเถี่ยเฟิงก็ตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจสิ่งที่มหัศจรรย์เหนือจินตนาการของเขาชิ้นนี้พร้อมกับกู้จิ้ง
เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่อาจเกิดเหตุการณ์ข้ามเวลาขึ้นมาอีก กู้จิ้งให้เซียวเถี่ยเฟิงขนเอาทรัพย์สินเงินทองเพชรนิลจินดารวมทั้งโฉนดที่ดินที่นามาใส่ไว้ในกระเป๋าก่อน เช่นนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในช่วงเวลาไหน พวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายต่อไปได้
นอกจากนี้ กู้จิ้งยังเอาขวดยากระปุกยาของเธอติดตัวไปด้วย
กู้จิ้งมุดเข้าไปก่อน เซียวเถี่ยเฟิงก็ตามหลังเข้าไปติดๆ
ด้านในกระเป๋ายังคงเป็นพื้นที่กว้างเหมือนครั้งก่อนๆ ที่กู้จิ้งเคยเข้ามา
กู้จิ้งซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของบ้านจูงมือเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้พลางแนะนำให้เขารู้จักกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในกระเป๋า
“ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ฉันเอาติดตัวมาจากอนาคตหนึ่งพันปีข้างหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกมันถึงได้ลอยอยู่แบบนี้ แต่ถ้าฉันใช้อะไรหมดไป มันก็จะงอกขึ้นมาใหม่เอง”
พูดจบเธอก็ชี้ไปยังบริเวณที่อยู่ห่างออกไป “บริเวณที่เต็มไปด้วยหมอกนั่นคือส่วนที่ฉันเดินไปสำรวจดูเมื่อครั้งก่อน”
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางมองสำรวจดูรอบหนึ่ง
สุดท้ายเขาก็ชี้ไปยังบริเวณที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกพลางกล่าวว่า “เจ้าสังเกตไหม ถ้ามองจากมุมที่เรายืนอยู่ดูเหมือนจะมีลำแสงส่องไปทางด้านนั้นด้วย?”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็รีบเพ่งมองดูบ้าง ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ
ถึงตอนนี้เซียวเถี่ยเฟิงก็พอจะคาดเดาได้แล้ว “สุดปลายแสงคือเงามืด เงามืดคือกาลเวลา บริเวณที่ลำแสงนี้ส่องไปก็คือบริเวณที่อยู่เหนือกาลเวลา”
ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งแปลกประหลาดนะ?
เซียวเถี่ยเฟิงพูดต่อ “เจ้าดู ลำแสงมีจุดเริ่มต้นจากตรงนี้ หมายความว่าเวลาที่นี่กับเวลาข้างนอกยังเหมือนกัน แต่ยิ่งห่างออกไปเท่าไหร่ เวลาก็ยิ่งแตกต่างจากข้างนอกมากเท่านั้น”
กู้จิ้งคิดๆ แล้วก็พยักหน้า “ที่นายพูดเหมือนจะมีเหตุผล เป็นไปได้ว่าถ้าเราก้าวออกจากบริเวณนี้เมื่อไหร่ เราก็จะอาศัยลำแสงนั่นข้ามเวลาไปได้โดยไม่รู้ตัว”
เซียวเถี่ยเฟิงมองลำแสงที่พุ่งตรงไปยังกลุ่มหมอกพลางกล่าวเสียงหนัก “มา เราเดินไปดูกัน ดูซิว่ามันจะพาเราไปที่ไหนในช่วงเวลาไหน”
กู้จิ้งลังเล “นายไม่กลัวว่าจะไปโผล่ในยุคปัจจุบันหรอกหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงเลิกคิ้ว “นั่นเป็นสถานที่ที่ลูกหลานของข้าอาศัยอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าเติบโตอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เด็ก หากได้กลับไป เจ้าน่าจะดีใจถึงจะถูก”
หากได้กลับไปจริง กู้จิ้งย่อมดีใจ แต่เซียวเถี่ยเฟิงเล่า?
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็คิดได้
เขามองออกว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์ยุคสมัยที่ทุกคนเสมอภาคกัน ดังนั้นก็เลยอยากให้เธอกลับไป?
“ไปกันเถอะ” เซียวเถี่ยเฟิงจูงมือกู้จิ้งเอาไว้ “เราสองคนเดินไปด้วยกัน ขอเพียงไม่แยกจากกัน ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”
กู้จิ้งพยักหน้า จากนั้นก็เดินตามเซียวเถี่ยเฟิงไปยังสุดปลายลำแสงนั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าต้องเดินไปนานแค่ไหนถึงจะไปถึงโลกอนาคตในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ยิ่งไม่รู้ว่าบริเวณไหนมีโอกาสข้ามเวลามาก บริเวณไหนมีโอกาสข้ามเวลาน้อย พวกเขาเพียงแค่จูงมือกันเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท่านั้น
เหมือนอย่างที่เซียวเถี่ยเฟิงพูด ขอเพียงพวกเขายังอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะไปอยู่ในช่วงเวลาไหนก็ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งเริ่มเหนื่อยก็คิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว
“เราออกไปดูกันเถอะ ดูซิว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยไหน”
กู้จิ้งตื่นเต้นอยู่บ้าง มือที่ถูกเซียวเถี่ยเฟิงกุมเอาไว้ชื้นไปด้วยเหงื่อ
เซียวเถี่ยเฟิงเองก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เขาอยากเห็นยุคสมัยที่กู้จิ้งพูดถึง ยุคสมัยที่ผู้คนสามารถเหินฟ้าดำดินได้
ทั้งสองปีนออกไปจากกระเป๋า
พอเห็นสภาพแวดล้อมรอบด้าน พวกเขาก็อดผิดหวังไม่ได้
พวกเขายังคงอยู่ในบ้านหลังเดิม ยังคงอยู่ในห้องห้องเดิม เพียงแต่ยามนี้ห้องนี้ดูทรุดโทรมมาก แถมยังเต็มไปด้วยหยากไย่
พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาข้ามเวลามาแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนยังไม่มากพอ
บางทีอาจจะแค่ไม่กี่ปีสินะ?
ตอนที่มุดออกมาจากกระเป๋า พวกเขาคิดว่ามาถึงโลกยุคปัจจุบันแล้ว หรือต่อให้ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน อย่างน้อยก็ต้องข้ามเวลามาหลายร้อยปี
คิดไม่ถึงว่าบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยยังอยู่ เตียงและเครื่องเรือนอื่นๆ ต่างก็ยังอยู่ในสภาพดี เพียงแต่มีฝุ่นเกาะหนาและมีหยากไย่อยู่ตามมุมกำแพงเท่านั้น
นี่หมายความว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน บางทีอาจจะแค่สี่ห้าปีเท่านั้น?
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจออกไปสำรวจดู
พอเดินออกไปที่สวนด้านนอก พวกเขาก็พบว่าจวนทั้งจวนเหลือเพียงความรกร้าง ไม่มีสาวใช้หรือองครักษ์แม้แต่คนเดียว พื้นหินถูกปกคลุมด้วยใบไม้แห้งกองท่วมสูง ดอกไม้ใบหญ้าริมทางเดินล้วนเหี่ยวเฉา
เดินต่อไปก็ยังไม่เห็นเงาคน แต่พอเดินไปถึงประตูที่สองกลับพบว่ามีเสื้อผ้าถูกทิ้งกระจัดกระจาย ดูท่าจะมีใครบางคนรีบร้อนจากไปก็เลยทิ้งเอาไว้
พวกเขาไม่มีทางเลือกจึงจำต้องเดินออกไปข้างนอก อย่างน้อยก็จะได้หาใครสักคนมาสอบถาม
คิดไม่ถึงว่าบนถนนด้านนอกกลับไม่มีใครอยู่เลย ร้านค้าต่างปิดเงียบ แม้กระทั่งร้านสุราที่สมควรคึกคักมากที่สุดก็ยังมีเพียงแค่ธงสีซีดจางปลิวสะบัดไปตามสายลม
ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน ใจนึกรู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เมืองปิ้งโจวแห่งนี้แน่
“ข้าจะไปดูซิว่าจะหาม้ามาสักตัวได้หรือไม่ เราจะได้ขี่ออกไปดูที่นอกเมืองกัน”
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งพูดจบก็เห็นคนคนหนึ่งเดินมาตามริมกำแพงอย่างเร่งร้อน เขาสวมเสื้อสีเทาหม่น ร่างงองุ้ม สีหน้าดูเร่งร้อนมาก
เซียวเถี่ยเฟิงรีบตรงไปขวางเอาไว้ “เรียนถามพี่ท่าน ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมบนถนนไม่มีคนเลยสักคน?”
คนคนนั้นกำลังรีบร้อนเดินทาง จู่ๆ มีคนโผล่มาขวางเอาไว้ก็ตกใจมาก ยิ่งเห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและสง่าราศีของเซียวเถี่ยเฟิงก็ยิ่งตกใจจนเข่าอ่อน ปากพร่ำพูดว่า “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ปล่อยผู้น้อยกลับบ้านไปเถิด!”
เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงหนัก “ที่นี่ไม่ใช่เมืองปิ้งโจวหรือ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? อู่อ๋องเล่า?”
คนคนนั้นเห็นเซียวเถี่ยเฟิงถามถึงอู่อ๋องก็ทั้งประหลาดใจทั้งหวาดกลัว “อู่อ๋องหนีไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หนีไปแล้ว?”