ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 119 เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?
ครั้งนี้ห่างจากครั้งแรกที่กู้จิ้งมาเยือนเมืองจูเฉิงในยุคสมัยนี้สิบปีแล้ว ในช่วงระยะเวลาสิบปีมานี้ เมืองจูเฉิงดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ผู้คนยังคงคึกคักเหมือนเดิม ร้านค้ายังคงเป็นร้านค้าเดิม เสียงตะโกนร้องขายสินค้าซึ่งดังมาตลอดสิบปีไม่เคยขาดหาย นักแสดงปาหี่ยังคงถือถาดของเขาเอาไว้ในมือเหมือนเมื่อสิบปีก่อน เพียงแต่เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวและมีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มขึ้น แผ่นหลังก็ไม่ตั้งตรงเหมือนก่อนเท่านั้น
ทั้งสองเดินเล่นไปรอบๆ โชคดีที่ไม่มีใครจำพวกเขาได้ เดินไปๆ ก็รู้สึกหิวขึ้นมา พวกเขาจึงแวะกินอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“วันนี้เป็นวันที่สามเดือนสาม เราไปซื้อธูปเทียนกันเถอะ”
“ใช่ ซื้อให้มากหน่อย เราไปไหว้กันบ้าง”
พวกเขาสั่งอาหารแบบเดียวกับที่เคยสั่งเมื่อสิบปีก่อน กำลังกินอยู่ก็ได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนักปรึกษาหารือกัน
กู้จิ้งหันไปมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยความงุนงง แต่เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่เข้าใจ เขาจำไม่ได้เลยว่าบ้านเกิดของเขามีประเพณีอะไรเกี่ยวกับวันที่สามเดือนสามด้วย
เมื่อไม่รู้ก็ต้องถาม คิดแล้วเซียวเถี่ยเฟิงก็หันไปถามคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ
“วันที่สามเดือนสามเจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นรึ? เจ้าเป็นคนที่นี่หรือเปล่า?” ชายคนนั้นงุนงง “ฟังสำเนียงของเจ้าก็เหมือนคนที่นี่นี่นา ทำไมถึงไม่รู้เรื่องนี้?”
เซียวเถี่ยเฟิงจึงได้แต่อธิบายว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้ วันที่สามเดือนสามเป็นวันเกิดของท่านหมอเทวดา หมอเทวดาท่านนี้เก่งกาจมาก ท่านเป็นเซียนที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋นเรา เราจึงสร้างศาลและแกะสลักเทวรูปของท่านขึ้นเพื่อให้ผู้คนกราบไหว้บูชา ทุกปีในวันที่สามเดือนสาม ตรงหน้าศาลของท่านจะมีงานวัด มีปาหี่ มีการแสดงงิ้ว บรรยากาศคึกคักมาก เราทุกคนจะพากันไปกราบไหว้ขอพรให้ท่านคุ้มครองทุกคนในครอบครัวของเราให้มีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ตลอดปี”
“หมอเทวดา?” คนที่นี่ก็เริ่มพูดถึงหมอเทวดากันแล้วงั้นรึ?
อีกฝ่ายมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาดูแคลนกว่าเดิม
“แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้งั้นรึ? เจ้าไม่รู้รึไงว่าก่อนหน้านี้แคว้นต้าเจาเราเกิดโรคระบาดขึ้น หมอเทวดาแห่งเขาเว่ยอวิ๋นของเราเป็นคนช่วยชีวิตราษฎรทั่วแผ่นดินเอาไว้! ใช่แล้ว หมอเทวดาผู้ช่วยเหลือผู้คนทั่วแผ่นดินเป็นคนเขาเว่ยอวิ๋น!”
“ใช่ๆๆ ตอนนี้เมืองของเรามีชื่อเสียงโด่งดังมาก แม้กระทั่งคนต่างถิ่นก็ยังพากันมากราบไหว้ท่านหมอเทวดาที่นี่!”
“บนภูเขายังมีบ้านหลังหนึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้ เป็นบ้านที่ท่านหมอเทวดากับท่านสามีเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน เรียกว่าเรือนเซียน”
…
เซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
คิดไม่ถึงเลยว่าชื่อเสียงของหมอเทวดาจะร่ำลือมาถึงเขาเว่ยอวิ๋น ทำให้กระแสความศรัทธาที่เคยมีต่อต้าเซียนยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจนถึงขั้นกลายเป็นงานวัด?
ส่วนบ้านของพวกเขา ตอนนี้กลายเป็นเรือนเซียนที่ใครๆ เห็นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว แบบนี้ยังจะอยู่ได้อีกรึ?
ทั้งสองกำลังคิดจะแอบปลีกตัวหนีไป จู่ๆ ก็ได้ยินคนร้องตะโกนขึ้นว่า “อ๊า! เจ็บ…”
ทุกคนรีบหันไปมองด้วยความตกใจ เห็นหญิงมีครรภ์คนหนึ่งกำลังกุมท้องเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ใต้ร่างของนางเต็มไปด้วยกองเลือด ดูจากขนาดท้องแล้วน่าจะมีอายุครรภ์ประมาณเจ็ดถึงแปดเดือน
“เมียข้า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? ไม่ต้องกลัว พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน รบกวนช่วยเรียกหมอให้ข้าด้วย!”
ทันใดนั้น ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้น
กู้จิ้งรีบหยิบของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะหยิบถุงมือออกมาสวม จากนั้นก็รีบเดินออกไปข้างหน้า “ให้ฉันดูหน่อย”
บางคนสงสัย “เจ้า…เจ้าทำได้หรือ?”
เวลาผ่านไปสิบปี ผู้คนที่นี่ก็เปลี่ยนไป เด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีย่อมไม่รู้ว่าหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงของเขาเว่ยอวิ๋นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
กู้จิ้งกล่าวด้วยความมั่นใจ “ฉันเป็นหมอ”
เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คลอดก่อนกำหนด การคลอดก่อนกำหนดในสมัยโบราณมีอัตราการรอดชีวิตต่ำมาก จะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เธอกลัวหมอที่นี่จะจัดการได้ไม่ดี ดังนั้นจึงคิดจะลงมือด้วยตัวเอง
เดิมสามีของผู้หญิงคนนั้นยังไม่เชื่อถือกู้จิ้ง แต่พอกู้จิ้งพูดว่าตัวเองเป็นหมอ เขาก็สัมผัสได้ถึงสง่าราศีของอีกฝ่าย ท่าทีที่หนักแน่นมั่นคงรวมไปถึงน้ำเสียงเยือกเย็นไม่ยอมให้ใครปฏิเสธทำให้เขาเชื่อทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นหมอ แถมยังเป็นหมอที่เชื่อใจได้อีกด้วย
จิตวิญญาณของหมอเข้าสิงร่างของกู้จิ้งทันที เธอสั่งให้เจ้าของร้านเอาโต๊ะสองตัวมาต่อกันเพื่อใช้เป็นเตียงทำคลอดชั่วคราว จากนั้นก็หันไปบอกให้เซียวเถี่ยเฟิงไล่ลูกค้าคนอื่นออกไป เสร็จแล้วก็เริ่มฆ่าเชื้อ เตรียมลงมือทำคลอด
หลังจากถามดู เธอก็ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเท่านั้น หากนับตามแบบยุคปัจจุบันก็คือสามสิบเอ็ดสัปดาห์
สามสิบเอ็ดสัปดาห์ หากอยู่ในยุคปัจจุบันซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ มีอุปกรณ์ มีตู้อบเพียบพร้อม เด็กต้องรอดชีวิตแน่
แต่อยู่ในสมัยโบราณเช่นนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น
เพราะเด็กเพิ่งมีอายุแค่สามสิบเอ็ดสัปดาห์ ตัวยังเล็กอยู่มาก ประกอบกับมีหมอระดับกู้จิ้งลงมือทำคลอดเอง เธอจึงสอนเทคนิคการหายใจแบบลามาซให้อีกฝ่ายใช้ประกอบกับการออกแรงตามจังหวะการบีบตัวของมดลูก ไม่นานนัก ทารกน้อยตัวเล็กผอมก็คลอดออกมา
กู้จิ้งตัดสายสะดืออย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ลงมือฆ่าเชื้อแล้วใช้ผ้าสะอาดห่อตัวแกเอาไว้
โชคดีที่หลายปีมานี้เธอเฝ้าศึกษาค้นคว้ามาตลอด ในมือก็เลยมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ครบถ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ
จัดการเด็กเสร็จเรียบร้อย เธอก็วางเด็กไว้ด้านข้างเพื่อเฝ้าสังเกตอาการต่อไป จากนั้นก็เริ่มเย็บแผล กดท้องไล่เลือดคั่งให้แม่ ฯลฯ
สุดท้ายตรวจดูอีกครั้ง พบว่าทั้งแม่และเด็กต่างก็ปลอดภัยดี
“คุณไปหารถม้ามาพาพวกเขากลับไปเถอะ จำไว้ว่าต้องฆ่าเชื้อทำความสะอาดสะดือให้เด็กทุกวัน คุณรู้จักวิธีทำความสะอาดไหม?”
ระหว่างที่พูด กู้จิ้งก็ตั้งใจว่าจะต้องอธิบายให้ผู้ชายคนนี้ฟังอย่างละเอียด
คิดไม่ถึงว่าเธอยังไม่ทันได้เริ่ม ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “เป็น ข้ารู้! ข้าเคยได้ยินท่านแม่พูด ท่านแม่บอกว่าท่านเคยไปฟังการบรรยายของท่านหมอเทวดา รู้ว่าวิธีนี้สามารถป้องกันอาการสี่หกได้”
กู้จิ้ง “…”
การบรรยายของเธอในตอนนั้นได้ผลดีขนาดนี้เชียวรึ ถึงได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในจิตใจของผู้คนขนาดนี้
จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็หันไปกำชับอีกครั้งว่าต้องดูแลเด็กที่คลอดก่อนกำหนดอย่างไร จากนั้นก็ตั้งท่าจะลุกขึ้น เตรียมจากไป
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งลุกขึ้นก็ได้ยินคนร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านหมอเทวดา นี่ไม่ใช่ท่านหมอเทวดาหรอกหรือ?”
คนที่กล่าวคำพูดนี้คือหญิงชราคนหนึ่ง
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็พากันหันขวับมามองกู้จิ้ง ยิ่งมองก็ยิ่งตื่นตะลึง ในที่สุดทุกคนก็จำได้ว่าเธอคือหมอเทวดาที่เคยเปิดการบรรยายถ่ายทอดวิชาแพทย์บนเขาเว่ยอวิ๋นเมื่อสิบปีก่อน
“วันที่สามเดือนสาม หมอเทวดาลงมาเยือนโลกมนุษย์!”
“ท่านหมอเทวดารับรู้ถึงความจริงใจของเรา ท่านกลับมาเขาเว่ยอวิ๋นแล้ว!”
“สิบปีผ่านไป ข้าแก่แล้ว แต่ท่านหมอเทวดากลับยังเหมือนเดิม ท่านเป็นเซียนจริงๆ!”
ทุกคนพากันคุกเข่าลงโขกศีรษะ ปากก็พึมพำว่า “ท่านหมอเทวดา คุ้มครองทุกคนในครอบครัวของเราให้ปลอดภัยด้วย!”
ตั้งแต่คนในร้านอาหารไปจนถึงคนที่ขายของกินอยู่ที่แผงด้านนอก นักแสดงปาหี่ คนขายของชำ คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนนต่างก็พากันคุกเข่าลง เรียกได้ว่าบนถนนไม่มีใครยืนอยู่อีกแม้แต่คนเดียว
กู้จิ้งหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเซียวเถี่ยเฟิงพลางเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้จะทำยังไงกัน?”
เซียวเถี่ยเฟิงเอื้อมมือไปประคองกู้จิ้งเอาไว้พลางก้มลงกระซิบตรงข้างหูเธอว่า “เจ้ากลายเป็นเซียนไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
กู้จิ้งจนใจ “ใช่ กลายเป็นเซียนไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?”
จะให้มุดเข้าไปในกระเป๋าต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างนั้นรึ ถ้ามุดเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วมีคนเงยหน้าขึ้นมองพอดี พวกเขามิต้องเห็นบั้นท้ายของต้าเซียนโผล่ออกมาจากกระเป๋าหรอกหรือ?
แบบนั้นก็ขายหน้าแย่น่ะสิ
“กลายเป็นเซียนแล้วย่อมต้องบินไป”
เซียวเถี่ยเฟิงเพิ่งพูดจบ กู้จิ้งก็รู้สึกเหมือนจู่ๆ ร่างก็เบาหวิว ใต้เท้ามีลมพัดผ่าน เธอรีบลนลานหลับตาลง พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าเซียวเถี่ยเฟิงกำลังอุ้มเธอพุ่งทะยานไปตามท้องถนน
แม้บางครั้งเขาจะแตะปลายเท้ากับธงหรือชายคาบ้าน แต่คนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างต่างก็รู้สึกเหมือนเห็นเขากำลังบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ท่านหมอเทวดาบินไปแล้ว!”
…สมเป็นท่านหมอเทวดาจริงๆ
“ท่านหมอเทวดาคุ้มครองข้าให้มีลูกที่มีน้ำหนักพอดีในเร็ววันด้วย!”
…ไม่พูดว่าลูกชายตัวอวบอ้วน แต่พูดว่าลูกที่มีน้ำหนักพอดี เป็นผลมาจากการบรรยายของกู้จิ้งในอดีต
“ท่านหมอเทวดาบินไปแล้ว ท่านหมอเทวดาพาท่านสามีบินไปแล้ว!”
…เหลวไหล เห็นชัดๆ ว่าท่านสามีเป็นฝ่ายพาท่านหมอเทวดาบินจากไปต่างหาก
“ท่านหมอเทวดา ท่านหมอเทวดา ขอบคุณท่านหมอเทวดา!”
…ท่านหมอเทวดามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเขา!