ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 16 โลกนี้ไม่ยุติธรรม
โลกนี้ไม่ยุติธรรม ตั้งแต่เกิดมา ชะตาของผู้คนก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
ส่วนเธอ… คิดถึงตัวเอง กู้จิ้งก็ต้องถอนใจอีก
เธอโชคดีได้พบกับคุณยาย แถมยังถูกคุณยายส่งไปอยู่กับพ่อแม่ในเมือง คุณพ่อคุณแม่ต่างก็เป็นคนดี ทำให้เธอได้มีโอกาสอย่างที่ตา卜ล่ำบึ้กซึ่งอาศัยอยู่แต่บนเขาไม่มีวันเข้าใจได้ตลอดชาติ
ลมเย็นพัดผ่าน พระจันทร์ลอยสูงเด่น กู้จิ้งคิดเรื่อยเปื่อยพลางฟังเสียงประหลาดต่างๆ บนภูเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น กู้จิ้งตื่นขึ้นมาขยี้ตา ปลุกปลอบให้กำลังใจตัวเอง จากนั้นจึงสะพายกระเป๋าออกเดินทางต่อ
ต่อให้ชะตาถูกลิขิตเอาไว้ ต่อให้ถูกจับมาขายบนภูเขา เธอก็ต้องเดินออกไปให้ได้
หากออกไปไม่ได้ เธอยอมตาย!
ระหว่างทาง เธอพลัดตกลงไปในคู ซ้ำยังเกือบจะถูกหมาป่าดุร้ายกิน แต่โชคดีที่ปีนขึ้นมาจากคู และใช้มีดแทงหมาป่าจนมันหนีไปได้
เดินไปๆ สุดท้ายรองเท้าสานก็ขาด เท้าถูกบาดเป็นแผล แขนเต็มไปด้วยริ้วรอย ขาเต็มไปด้วยคราบเลือด
เธอหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋า หลังจากทำแผลง่ายๆ ให้ตัวเองเสร็จ เธอก็เก็บใบไม้มาหุ้มเท้าแล้วแข็งใจเดินต่อ
เวลาเหยียบโดนก้อนหิน เธอจะเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
แต่เธอทนได้ เพื่อโลกศิวิไลซ์เบื้องนอก เจ็บแค่นี้นับเป็นอย่างไรได้?
คนที่กล้าต่อสู้กับหมาป่าเช่นเธอ ยังมีอะไรต้องกลัวอีก?
กู้จิ้งเดินต่อไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เป็นตายก็ไม่ยอมหันหลังกลับ
และแล้วเมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์เปลี่ยนเป็นลูกไฟสีแดงเข้มลอยอยู่เหนือเนินเขา ในที่สุดเธอก็เห็นถนนเบื้องล่าง
“อ๊าย… ฉันทำสำเร็จแล้ว!” เธอร้องตะโกนด้วยความดีใจ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตามทางเล็กๆ โดยไม่สนใจบาดแผลที่เท้าสักนิด
ระหว่างทางเธอได้เห็นชาวนาที่กำลังไถนา ได้เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา ยิ่งเดินไปทางก็ยิ่งกว้างขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นถนนใหญ่ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่กู้จิ้งกลับรู้สึกไม่ถูกต้องยิ่งกว่าเดิม
ทำไมเสื้อผ้าและทรงผมของผู้คนเหล่านี้ถึงไม่แตกต่างจากผู้คนที่หมู่บ้านเล็กๆ ล้าหลังบนภูเขาเลยเล่า?
หรือเธอยังหนีไม่พ้นจากอาณาเขตของหมู่บ้านเล็กๆ ล้าหลังนั่น?
กู้จิ้งเริ่มไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าคิดไปในแง่ที่ทำให้ตัวเองกลัว เธอพยายามกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้อย่างใจคอไม่ดีนัก บางทีอาจจะมีชนกลุ่มน้อยที่ตัดขาดจากโลกสมัยใหม่จริงๆ ก็เป็นได้
เธอแอบหยิบกระติกน้ำในกระเป๋าออกมาดื่มแล้วหยิบไข่ไก่ที่แอบซ่อนไว้ออกมากิน
เพิ่มพลังให้ตัวเองเสร็จ เธอก็ปลุกปลอบตัวเองให้เดินหน้าต่อ
เนื่องจากเสื้อผ้าและทรงผมของเธอแตกต่างจากผู้คนรอบด้าน ไม่นานนักก็มีคนหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ เธอยืดอกเดินต่อไปอย่างเปิดเผย คนอื่นๆ จึงเริ่มละความสนใจไป
เดินไปครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ เธอได้พบผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไปถึงเมืองเมืองหนึ่ง
เมืองแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐสีเทาอมน้ำเงิน ตรงกลางคือประตูเมืองโบราณ ด้านล่างมีผู้คนเดินผ่านไปมา แต่ละคนล้วนเกล้าผมยาวปักปิ่น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็สวมเสื้อตัวยาวกับกระโปรง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือพาหนะในการเดินทางของพวกเขาคือรถม้ากับเกี้ยว…
กู้จิ้งในยามนี้เดินทางไกลทั้งวันทั้งคืนมาหลายวันจนร่างกายแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ที่ยังยืนอยู่ได้ก็ด้วยกำลังใจเท่านั้น แต่พอเธอได้เห็นภาพตรงหน้า เธอก็รู้สึกหน้ามืดราวกับกำลังจมอยู่ท่ามกลางนรกภูมิอันมืดมิด
กู้จิ้งกัดฟันมองไปข้างหน้า ใต้แสงแดดแผดกล้า หลังประตูเมืองนั้นมีร้านสุราโบราณที่สร้างขึ้นจากไม้แดงกับอิฐ มีเกี้ยวโบราณสี่คนหาม ยังมีเสียงร้องตะโกน “@$%&%$” ที่ฟังไม่รู้เรื่อง…
ที่นี่ไม่ใช่โลกศิวิไลซ์ที่เธอคาดหวัง
ที่นี่คือบ้านนอกที่เธอก้าวออกไปไม่พ้น
“ฉันจะกลับไป ฉันอยากกลับบ้าน…”
ไม่ว่าเธอพยายามอดทนมากแค่ไหน ตอนนี้ก็ใกล้จะเสียสติเต็มที
เธออยากกลับบ้าน อยากนอนบนเตียงนุ่มๆ แสนสบายของตัวเอง อยากเปิดแอร์ อยากกดรีโมทดูโทรทัศน์
เธอ…อยากร้องไห้
ไม่รู้นั่งซึมอยู่ข้างทางนานแค่ไหน จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียง “@$%&%@#” ของใครบางคน
“%^%#@$ เขาเว่ยอวิ๋น *&@#$%?”
“@$#*&^%$ เขาเว่ยอวิ๋น!”
เขาเว่ยอวิ๋น?
เธอได้ยินคำสามคำนี้แทรกอยู่ในเสียง ‘@#%$&%$’ ของอีกฝ่าย แม้สำเนียงจะไม่เหมือนกับเขาเว่ยอวิ๋นของเธอ แต่ก็เป็นคำสามคำนี้แน่ๆ!
ดวงตาของกู้จิ้งเปล่งประกายเจิดจ้า เธอเงยหน้าขึ้นมองคนสองคนนั้นช้าๆ
เป็นชายชรากับหญิงชราผมขาวโพลนคู่หนึ่ง ทั้งสองต่างมีใบหน้าซูบผอมกับรอยยิ้มซื่อๆ คนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถเทียมวัว ส่วนอีกคนนั่งอยู่บนรถ ดูเหมือนกำลังเตรียมตัวออกเดินทาง
กู้จิ้งหยิบไข่ไก่สามฟองออกมาจากกระเป๋าหนัง นี่คืออาหารที่เหลืออยู่ของเธอ
เธอยื่นไข่ไก่สามฟองนั้นไปตรงหน้าชายชรากับหญิงชราคู่นั้นเป็นเชิงบอกว่าต้องการมอบมันให้พวกเขา
ทั้งสองมองการแต่งกายแปลกประหลาดของกู้จิ้งแล้วก็แปลกใจมาก พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ยอมรับไข่ไก่ของเธอ
แต่กู้จิ้งยืนกราน เธอยัดไข่ไก่ใส่มือหญิงชราก่อนจะกล่าวว่า “เขาเว่ยอวิ๋น”
เธอชี้ตัวเองแล้วพูดอีก “เขาเว่ยอวิ๋น”
สองสามีภรรยาเหมือนจะเข้าใจความหมายของเธอ “@#%&#@ เขาเว่ยอวิ๋น?”
กู้จิ้งชี้รถเทียมวัวแล้วก็ชี้ตัวเอง จากนั้นจึงกล่าวช้าๆ “เขาเว่ยอวิ๋น”
หญิงชรายิ้มพลางโบกมือ นางส่งไข่ไก่กลับมาให้เธอแล้วชี้ไปที่รถเทียมวัว บอกให้เธอขึ้นไป
กู้จิ้งดีใจมาก เธอรีบส่งยิ้มไปให้หญิงชราเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะปีนขึ้นไปบนรถ
บางทีเธออาจจะหลงมาอยู่ในสถานที่ที่แปลกประหลาดเอามากๆ บางทีที่นี่อาจจะเป็นรังของภูตผี หรือบางทีทุกสิ่งทุกอย่างอาจเป็นแค่ความฝัน เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อสองสามีภรรยารู้จักเขาเว่ยอวิ๋น ถ้าเธอตามไป บางทีเธออาจจะได้กลับไปยังสถานที่ที่ตัวเองเติบโตมา และได้กลับไปยังโลกที่คุ้นเคยอีกครั้ง
เธอนั่งอยู่บนรถอย่างใจคอไม่ดีนัก ในใจทั้งคาดหวังทั้งกังวล เสียง ‘@#%&@#’ ของสองสามีภรรยาดังขึ้นเป็นพักๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อาจทำใจให้สงบ แม้กระทั่งทิวทัศน์งดงามที่สองข้างทางก็ไม่มีอารมณ์จะมอง
หญิงชราเป็นคนใจดี นางยื่นเนื้อตากแห้งมาให้ เธอก็รับมาพลางพยายามเค้นรอยยิ้มกลับไป
หญิงชราตบมือเธอเบาๆ เหมือนกำลังปลอบใจ
กู้จิ้งกัดเนื้อตากแห้ง แต่กลับไม่รู้รสอะไรเลย
จนกระทั่งพลบค่ำ รถเทียมวัวก็หยุดลงตรงเชิงเขาลูกหนึ่ง
หญิงชราชี้ไปที่ภูเขา “@#%&%$ เขาเว่ยอวิ๋น!”
ชายชรายิ้มกว้างพลางหันกลับมาพูดว่า “เขาเว่ยอวิ๋น #@#%&$!”
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นเต้น ภาพตรงหน้าคือแนวเขาทอดยาวกับป่าเขียวชอุ่ม ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ไม่ต่างจากท้องทะเลซึ่งมีคลื่นโหมกระหน่ำ แสงตะวันยามเย็นดูราวกับผ้าแพรสีแดงผืนงามซึ่งปกคลุมอยู่เหนือแนวเขาอีกชั้นหนึ่ง
กู้จิ้งดีใจจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่เบิกมองภูเขาที่แสนจะคุ้นเคยตรงหน้า
ไม่ผิด นี่คือเขาเว่ยอวิ๋น เขาเว่ยอวิ๋นที่เธอเกิดและเติบโตขึ้นมา เขาเว่ยอวิ๋นที่คุณยายซึ่งเป็นญาติสนิทที่สุดของเธอพักผ่อนอยู่ชั่วนิรันดร์!
“ฉัน…ฉันกลับมาแล้ว!”
เธอกลับมาที่เขาเว่ยอวิ๋นแล้ว!
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจนั้นเอง ร่างของเธอก็แข็งค้างอยู่ตรงนั้น
ภูเขาลูกนี้ ดูแวบแรกคือเขาเว่ยอวิ๋น แต่พอมองอีกที มันกลับทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคย
มันดูเหมือนภูเขาที่เธอพยายามหลบหนีไปอย่างยากลำบากมาก…
นี่…นี่มันภูเขาบ้านนอกป่าเถื่อนที่เธอถูกขายมาชัดๆ!
“ไม่ ไม่ พวกคุณหลอกฉัน นี่ไม่ใช่เขาเว่ยอวิ๋น ฉันจะไปเขาเว่ยอวิ๋นต่างหาก!”
เธอสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้แล้วพยายามอธิบายให้หญิงชราฟัง “เขาเว่ยอวิ๋น เขาเว่ยอวิ๋น”
เธอย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอต้องการไปเขาเว่ยอวิ๋น
หญิงชราเหมือนจะตกใจกับท่าทางของเธอ นางหันไปสบตากับชายชรา สุดท้ายทั้งสองก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า “%$#@& เขาเว่ยอวิ๋น เขาเว่ยอวิ๋น %$#@&%”
สีหน้าของทั้งสองต่างก็จนใจนัก
กู้จิ้งจ้องพวกเขาเขม็ง ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง “พวกคุณเป็นพวกเดียวกับคนที่หมู่บ้านนั้นใช่ไหม? พวกคุณจงใจหลอกฉัน? พวกคุณตั้งใจหลอกฉันกลับมา?”
เห็นได้ชัดว่าหญิงชราไม่เข้าใจคำพูดของเธอ นางส่ายหน้าแล้วก็ลากเธอไปที่ข้างทาง
พงหญ้าหนาทึบถูกแหวกออก จากนั้นป้ายหินอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
บนนั้นมีอักษรจ้วนโบราณสีดำขนาดใหญ่สลักไว้อย่างชัดเจนว่า ‘เขาเว่ยอวิ๋น’
ด้านล่างอักษรสามตัวนี้คืออักษรตัวเล็กๆ เขียนว่า ‘ตั้งขึ้นเมื่อเดือนสามปีเกิงอู่’
กู้จิ้งจ้องป้ายหินอยู่นานถึงสามนาทีเต็มๆ จากนั้น มุมปากของเธอก็กระตุกครั้งหนึ่งก่อนที่ร่างจะทรุดลงไปกระแทกกับพื้นดังโครม
เธอคุ้นเคยกับป้ายหินอันนี้ดี
ทุกครั้งที่ไปจากเขาเว่ยอวิ๋นหรือกลับมาเขาเว่ยอวิ๋น เธอจะเห็นมันเสมอ
‘เขาเว่ยอวิ๋น ตั้งขึ้นเมื่อเดือนสามปีเกิงอู่’
ตัวอักษรเหล่านี้ เป็นตัวอักษรสิบตัวแรกที่เธออ่านออก
เธอข้ามเวลาซะแล้ว…
กู้จิ้งหวังเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นลมหมดสติ
พอตื่นขึ้นมา เธอจะกลับไปอยู่ที่ห้องของตัวเอง และกำลังเก็บข้าวของเตรียมเดินทางไปเขาเว่ยอวิ๋น
แต่เธอไม่ได้เป็นลม และไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองด้วย
พอลืมตาขึ้น ตรงหน้ายังคงมีลำธารและขุนเขาเขียวขจี ยังคงมีแสงอัสดงราวเปลวเพลิง ยังคงมีเสียงนกร้องกับกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล
หญิงชรากับชายชราคู่นั้นไม่รู้จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะค่อยๆ ขยับไปตรงหน้าป้ายหินแล้วมองดูตัวอักษรที่แสนจะคุ้นเคยนั้นอีกครั้ง