ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 30 นางเป็นหมอ
พูดถึงการกระทำ เขาทำมากกว่าเซียวเถี่ยเฟิง พูดถึงความดีความชอบ เขาก็มีมากกว่าเซียวเถี่ยเฟิง
แต่เขากลับโชคร้าย เพราะหัวของเด็กคนนั้นดันไปกระแทกกับแผงขายของข้างทางจนได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีใครสนใจการกระทำเยี่ยงวีรบุรุษของเขา ไม่เพียงไม่สนใจ แต่ยังอาจถูกตำหนิเพราะเขาเตะลูกของผู้อื่น
เขาในยามนี้กำลังมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความกังวล เห็นผู้หญิงที่เซียวเถี่ยเฟิงพยายามปกป้องใช้เข็มเย็บเนื้อของเด็กทีละเข็มๆ ไม่ว่าจะห้าวหาญสมเป็นวีรบุรุษมากแค่ไหน เขาก็อดเสียวไส้ไม่ได้
“นางทำแบบนี้…ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่เคยเห็นวิธีรักษาแบบนี้มาก่อนเช่นกัน หากเป็นบาดแผลทั่วไป พวกเขามักจะใส่ยาสมุนไพรแล้วทิ้งไว้ให้แผลประสานเอง ส่วนการใช้เข็มเย็บนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อปีศาจสาวของเขา
“ไม่เป็นไร นางเป็นหมอ รักษาคนเป็น”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมากราวกับว่าคนที่กำลังรักษาผู้อื่นคือตัวเขาเอง
ถึงจ้าวจิ้งเทียนจะเชื่อเซียวเถี่ยเฟิง แต่เรื่องนี้แปลกประหลาดมาก เขาขมวดคิ้วจ้องปีศาจสาว มองใบหน้าที่เริ่มคุ้นตาของนางกับท่าเย็บแปลกประหลาดนั้นแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดกู้จิ้งก็ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จเรียบร้อย เธอตรวจดูบาดแผลของเด็กน้อยซ้ำอีกรอบก่อนจะหยิบยาโพวิโดนไอโอดีนขวดเล็กออกมาส่งให้ผู้เป็นมารดาพลางทำมือบอกใบ้เป็นเชิงบอกให้รู้ว่านี่คือยาสำหรับทาแผลให้เด็ก
เมื่อครู่ผู้เป็นมารดาก็เห็นกู้จิ้งใช้ยาสีม่วงในขวดเล็กๆ นี้ทาแผลให้เด็กเช่นกัน นางจึงรับไปด้วยท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ใครบางคนซึ่งมุงดูอยู่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “แบบนี้ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
แต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขา เพราะทุกคนกำลังนึกย้อนไปถึงภาพเข็มแทงทะลุเนื้อที่ได้เห็นเมื่อครู่
คาดว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้คนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เอามาพูดกันหลังอาหารไปอีกพักใหญ่
ในตอนนั้นเอง ชายหัวล้านรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนราวกับวัวคนหนึ่งก็วิ่งตรงมาทางด้านนี้พลางร้องตะโกนเรียกหยาเป่าเอ๋อไม่หยุดปาก ที่แท้เขาก็คือบิดาของเด็กคนนี้
มารดาของหยาเป่าเอ๋อเห็นสามีก็ร้องไห้โฮก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “เขาจับม้าเอาไว้แต่กลับเตะหยาเป่าเอ๋อของเรากระเด็น ส่วนนางก็ใช้เข็มเย็บผ้าเย็บแผลหยาเป่าเอ๋อของเราตั้งหลายเข็ม”
ชายหัวล้านร่างบึกบึนได้ยินเช่นนี้ก็ถกแขนเสื้อขึ้นด้วยความโมโห ตั้งท่าจะเข้าไปหาเรื่องกับจ้าวจิ้งเทียน
“เจ้าเป็นใคร กล้าเตะลูกของข้าอย่างนั้นรึ? ไม่ถามดูเสียบ้างว่าข้าคนฆ่าสัตว์แซ่จางกินอะไรมาจนโต?”
“ยังมีเจ้า เข็มเย็บผ้างั้นรึ? กล้าเอามาเย็บลูกของข้า?”
จ้าวจิ้งเทียนจนใจเหลือเกิน “พี่ชายท่านนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะ…”
เซียวเถี่ยเฟิงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกตำหนิไปพร้อมกับจ้าวจิ้งเทียน เขาจึงต้องอธิบายว่า “เข็มนั่นมีไว้เย็บแผล ถ้าไม่เย็บ แผลคงประสานกันยาก เย็บเอาไว้แบบนี้แผลของเด็กจะหายเร็วขึ้น”
คำอธิบายนี้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แม้แต่ตัวเซียวเถี่ยเฟิงเองก็เกือบจะเชื่อ
ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ
แต่ชายหัวล้านร่างบึกบึนยอมรับฟังเสียที่ไหน เขายกกำปั้นขึ้นเหวี่ยงใส่เซียวเถี่ยเฟิงกับจ้าวจิ้งเทียนทันที
น่าสงสารวีรบุรุษทั้งสอง จะตอบโต้ก็ไม่ได้ ได้แต่หลบไปหลบมา คนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ ต่างกรูกันเข้ามาช่วยขัดขวาง ทำให้สถานการณ์วุ่นวายไปหมด คนรอบด้านเห็นเช่นนี้ก็เริ่มเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ “คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินเป็นผู้นำพรานบนเขาเว่ยอวิ๋น นับได้ว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง แค่มือเดียวก็สามารถจับม้าบ้าคลั่งเอาไว้ได้!”
แต่กลับมีคนโต้แย้งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แล้วจะทำไม เขารู้แต่ว่าต้องจับม้า ทำไมไม่รู้จักอุ้มเด็กหลบ? คนที่ใส่เสื้อสีดำนั่นต่างหากถึงจะมีความสามารถที่แท้จริง!”
“ใช่ๆๆ หากไม่ใช่เขาอวดเก่งดึงดันจะจับม้าให้ได้ แถมยังเตะเด็กกระเด็น พี่ชายชุดสีดำนั่นคงไม่ต้องซวยไปด้วยแล้ว!”
จ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาทำดีไม่ได้ดีจริงๆ!
แม้ชายหัวล้านร่างบึกบึนจะกำลังโกรธจัด แต่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงยอมละเว้นเซียวเถี่ยเฟิงแล้วหันไปเหวี่ยงกำปั้นใส่จ้าวจิ้งเทียนแทน
“วันนี้ข้าจะซ้อมคนโหดเหี้ยมเช่นเจ้าให้ตาย!”
คนโหดเหี้ยมผู้น่าสงสารบังเอิญเงยหน้าขึ้นเห็นหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ข้างกายเซียวเถี่ยเฟิงกำลังเลิกคิ้วมองสำรวจเขาอยู่พอดี
ท่าทางนั้นดูราวกับว่าเขาเป็นหมูตัวหนึ่ง และนางกำลังพิจารณาว่าเนื้อหมูหนึ่งชั่งควรขายราคาเท่าไหร่
จ้าวจิ้งเทียนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ช่างน่าอัดอั้นตันใจเหลือเกิน
ในที่สุดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดก็จบลง
เซียวเถี่ยเฟิงกับจ้าวจิ้งเทียนล้วนถูกรั้งตัวเอาไว้ คนฆ่าสัตว์แซ่จางบอกว่าหากลูกของเขาเป็นอะไรไป พวกเขาก็อย่าหวังจะจากไปจากเมืองจูเฉิงได้ ต้องชดใช้ด้วยชีวิต เขายังบอกด้วยว่าหากพวกเจ้ากล้าหลบหนี ข้าจะเอามีดฆ่าสัตว์ตามไปที่เขาเว่ยอวิ๋นแล้วอาละวาดจนพวกเจ้าไม่มีวันสงบสุข!
ทั้งสองมีวรยุทธ์ ย่อมไม่เกรงกลัวคนล่าสัตว์คนหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขากลัวเสียชื่อ
นายพรานแห่งเขาเว่ยอวิ๋นให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก ใครก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนลงมือทำร้ายเด็กแล้วหลบหนีไป หากเป็นเช่นนั้น ต่อไปพวกเขาจะกล้าออกมาพบหน้าผู้คนอีกได้อย่างไร?
เมื่อไม่มีทางเลือก ทั้งสองก็จำต้องไปพักที่โรงเตี๊ยมซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในเมืองจูเฉิง
คนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ ที่ติดตามจ้าวจิ้งเทียนมาล้วนกลับไปหมดแล้ว อย่างน้อยก็จะได้ไปส่งข่าวบอกคนที่บ้านไม่ให้เป็นห่วง
คืนวันนั้น จ้าวจิ้งเทียนสั่งอาหารหลายอย่างมาร่ำสุราร่วมกับเซียวเถี่ยเฟิงในโรงเตี๊ยม
เพราะพวกเขามาถึงค่อนข้างเย็น พลาดโอกาสที่จะทานอาหารข้างนอก กู้จิ้งไม่มีที่ไป เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ไม่วางใจที่จะปล่อยเธอให้อยู่ในห้องคนเดียว เขาจึงพาเธอมาด้วย
สองพี่น้องดื่มสุรา ส่วนเธอทานอาหารอยู่ข้างๆ
จ้าวจิ้งเทียนดื่มสุราไปสามชาม ในใจก็เริ่มครุ่นคิด
นับแต่เห็นกู้จิ้งครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ประหลาด ซ้ำยังดูคุ้นหน้าราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แค่นี้ยังพอว่า บางทีผู้คนอาจจะหน้าคล้ายกันได้ แต่ปัญหาคือนางมักจะเหลือบมองเขาด้วยสายตาคมปลาบ ราวกับว่านางสามารถอ่านใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และกำลังคำนวณว่าคนอย่างเขาสามารถเอาไปขายได้ราคาเท่าไหร่
เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบายใจมาก เขารู้สึกเหมือนมีหนามแหลมทิ่มตำบั้นท้ายอยู่ จะนั่งก็นั่งไม่เป็นสุข จะกินก็กินไม่อร่อย
นึกถึงเรื่องที่ตัวเองกระทำลงไปในวันนี้เขาก็ยิ่งท้อใจ ลงทุนลงแรงขนาดนั้นกลับต้องถูกผู้อื่นตำหนิ ต่อให้เด็กคนนั้นไม่เป็นอะไร เขาก็ยังเสียหน้าอยู่ดี
คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้
วิธีใช้เข็มเย็บผ้าเย็บบาดแผลของนางเป็นวิธีที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มิน่าเซียวเถี่ยเฟิงถึงบอกว่านางมีอาคม
ระหว่างที่จ้าวจิ้งเทียนกำลังแอบมองกู้จิ้ง กู้จิ้งเองก็กำลังใช้ความคิด
หึ! อันธพาลจ้าวจิ้งเทียน นายอยู่กลางถนนไม่ยอมช่วยลูกของชาวบ้าน ทำเอาเด็กเกือบต้องตายใต้กีบเท้าม้า ตอนนี้มาแอบมองฉันแบบนี้ หมายความว่ายังไง?
ไม่เคยได้ยินรึไงว่าเมียของพี่น้องจะยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ฉันเป็นคนที่จะเป็นเมียของพี่น้องนายนะ
ไม่ๆๆ นี่ใช่พี่น้องเสียที่ไหน นี่มันหวงซื่อเหรินกับหยางไป๋เหลา[1]ชัดๆ
นายอยากเป็นหวงซื่อเหริน แต่ฉันไม่อยากเป็นสี่เอ๋อสักนิด!
ดูท่าแผนจัดการกับอันธพาลจ้าวจิ้งเทียนต้องลงมือก่อนกำหนดเสียแล้ว
กู้จิ้งกัดขาหมูอย่างไม่เกรงใจพลางแอบวางแผนอยู่เงียบๆ
เห็นทั้งสองแอบมองกันไปแอบมองกันมา เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็ไม่พอใจนัก
“ค่ำมากแล้ว หากเจ้ากินอิ่มแล้ว กลับไปนอนดีไหม?” เขากุมมือเธอเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น
แม้กู้จิ้งจะฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เธอก็เข้าใจคำว่ากินอิ่มกับนอนหลับ ดังนั้นจึงส่ายหน้า
“กินข้าว หิว”
เธอชี้ไปที่ชามไก่ตุ๋นเห็ดซึ่งอยู่ห่างไปมากที่สุด
จ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะหวาดระแวงกู้จิ้งอยู่ไม่น้อย แต่วันนี้เขาเป็นเจ้าภาพ ย่อมไม่อาจทำตัวตระหนี่ถี่เหนียว ดังนั้นจึงรีบยกชามไก่ตุ๋นเห็ดชามนั้นมาวางลงตรงหน้าเธอทันที
“มาๆๆ อย่าเกรงใจ กินได้เลย”
“ขอบคุณ” กู้จิ้งกล่าวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งๆ พลางส่งยิ้มไปให้
จ้าวจิ้งเทียนเห็นรอยยิ้มของเธอก็ตะลึงงันไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งยิ้มเกร็งๆ กลับมาบ้าง
ระหว่างอาหารมื้อนั้น กู้จิ้งกับจ้าวจิ้งเทียนทั้งหวาดระแวง แอบประเมิน และส่งยิ้มให้กันอย่างมีมารยาท ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงที่ด้านข้างกลับยิ่งดื่มก็ยิ่งอึดอัด