ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 50 คืนกระดูกของเขามา!
“ใจเย็นๆ พระเจ้าเอากระดูกของแกไปชิ้นหนึ่ง เดี๋ยวก็จะคืนกระดูกให้แกสิบชิ้น”
กล่าวจบเธอก็ถือกระดูกมุดเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นก็วางมันไว้ข้างใน
กู้จิ้งหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจมุดออกมา
ต้องรอสักครู่ ให้กระเป๋าจดจำลักษณะของเนื้อติดกระดูกชิ้นนั้นให้ได้ก่อน แบบนี้ถึงจะสร้างขึ้นใหม่ได้
ฮัสกี้เห็นกู้จิ้งหายเข้าไปในกระเป๋าก็เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ กระเป๋าใบนั้นไม่หยุด
คิดไม่ถึงว่าชั่ววินาทีต่อมา กู้จิ้งก็โผล่ออกมาจากกระเป๋า…มือเปล่า
ฮัสกี้ผิดหวังมาก มันอยากจะพุ่งเข้าไปแทะถุงใบนั้นให้ขาดกระจุยนัก ฮือๆๆ คืนกระดูกของเขามา!
กู้จิ้งตบหัวมัน “มาๆๆ ถึงเวลาที่แกจะได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว!”
กล่าวจบเธอก็มุดเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเนื้อติดกระดูกชิ้นนั้นออกมา
ฮัสกี้เห็นเนื้อติดกระดูกโผล่ออกมาก็รีบกระดิกหางแล้วโผเข้าไปแทะต่อ
กู้จิ้งเห็นฮัสกี้แทะกระดูกหมดแล้วก็มุดกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้งเพื่อค้นหาเนื้อติดกระดูกชิ้นใหม่ในกระเป๋า
แต่แล้ว…เธอก็ต้องผิดหวัง
ไม่มีเนื้อติดกระดูก
เธอมุดออกมาจากกระเป๋าด้วยสีหน้าเซื่องซึมพลางใช้มือดันเอวที่เริ่มปวดเมื่อย “ดูท่าความหวังที่จะร่ำรวยด้วยวิธีนี้คงไม่มีแล้ว คงต้องตั้งใจทำนาล่าสัตว์แล้วก็เป็นมนุษย์ถ้ำแบบนี้ต่อไปสินะ”
คิดไม่ถึงว่าพอโผล่ออกมาจะเจอกับปากสีแดงสดที่กำลังอ้ากว้างเข้าพอดี ปากนั่น ลิ้นนั่น ฟันนั่น ดูยังไงก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าฉลาม ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือฟันคมกริบวาววับน่ากลัวของมันกำลังขวางทางเธอเอาไว้พอดี
“อ๊าย… สัตว์ประหลาด!” กู้จิ้งตกใจมาก ใจอดคิดไม่ได้ว่าในกระเป๋านี่ยังมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
หรือจะเป็นอย่างที่ใครๆ พูดกันว่าขุมสมบัติต้องมีสัตว์ประหลาดเฝ้าอยู่?
ทำยังไงดี?
ร่างของกู้จิ้งคาอยู่ตรงปากกระเป๋า จะออกไปก็ไม่ได้ จะถอยกลับเข้าไปก็ไม่ได้ หากหลบกลับเข้าไป เธอก็กลัวว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะฉวยโอกาสพุ่งตามมา ไม่สู้ออกไปสู้ตายกับมันจะดีกว่า!
เธอกำสเปรย์กันหมาป่าไว้ในมือข้างหนึ่งแน่น ส่วนมืออีกข้างถือมีดเอาไว้ ทันใดนั้นเธอก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานนักวิ่งร้อยเมตร “เจ้าสัตว์ประหลาด รับมือ!”
เธอใช้มีดฟันเขี้ยวขาววาววับยาวครึ่งเมตรนั้นสุดแรง สิ้นเสียงดังเคร้ง เขี้ยวนั้นก็หักลงมา จากนั้นจมูกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่กู้จิ้งไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งนั้น เธอรีบยกสเปรย์กันหมาป่าขึ้นพ่นใส่รูจมูกนั้นติดๆ กันหลายครั้ง!
เจ้าสัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องอิ๋งๆ ในที่สุดก็มีแสงสว่างลอดเข้ามาทางปากกระเป๋า ทางออกถูกเปิดแล้ว กู้จิ้งดีใจมาก เธอรีบพลิกตัวด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็กลิ้งออกมาจากกระเป๋าได้สำเร็จ
ชั่ววินาทีที่ได้รับอิสรภาพ เธอรู้สึกดีใจมาก ใจอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีที่ตัวเองชอบออกกำลังกาย ในยามคับขันถึงสามารถกระทำเรื่องที่น่าเกรงขามเช่นนี้ได้
แต่เธอไม่กล้าประมาท พอออกมาได้เธอก็รีบหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ประหลาดโดยที่ยังถือสเปรย์กันหมาป่ากับมีดเอาไว้ในมือ
คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับไป เธอก็ต้องตาค้าง
ที่อยู่ตรงหน้าใช่สัตว์ประหลาดเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ามันคือเจ้าฮัสกี้ผู้น่าสงสาร มันกำลังเอียงคอมองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากับปากที่เต็มไปด้วยเลือด เขี้ยวอาบเลือดของหมาที่ตกอยู่บนพื้นเหมือนจะย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
…
ผ่านไปครู่ใหญ่ กู้จิ้งทิ้งกายลงนั่งบนพื้นพลางเอื้อมมือไปกอดเจ้าฮัสกี้ซึ่งฟันหักไปซี่หนึ่งและใช้ผ้าพันแผลพันปากเอาไว้พลางลูบหัวมันด้วยความสงสาร
“ฉันไม่รู้ว่าเป็นแกนี่นา… ฮัสกี้เด็กดีอย่าร้องไห้เลยนะ ครั้งนี้พี่สาวผิดไปแล้ว พรุ่งนี้พี่สาวจะให้แกกินลูกอมนะ”
นี่เป็นความซวยที่เกิดขึ้นเพราะกระเป๋าแท้ๆ!
กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ข้อสรุป
เห็นได้ชัดว่ากระเป๋าหนังสีดำใบนี้เปรียบเสมือนพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่ในพื้นที่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อเธอก้าวเข้าไป ร่างของเธอจึงเล็กลง ทำให้เธอรู้สึกว่าพื้นที่ว่างในกระเป๋าหนังสีดำใบนี้กว้างขวางมาก
ส่วนเรื่องการข้ามเวลาของเธอ บางที ณ จุดเวลาจุดใดจุดหนึ่ง เช่น ในขณะที่ดวงจันทร์โลกและดวงอาทิตย์โคจรไปบนเส้นทางเดียวกัน พื้นที่ว่างแห่งนี้กับพื้นที่ว่างในโลกแห่งความเป็นจริงอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เธอข้ามเวลามาได้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องข้ามเวลา ต้องพูดถึงหัวหมาก่อน
เจ้าฮัสกี้คงเห็นว่าเธอเอาเนื้อติดกระดูกใส่เข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบออกมา จากนั้นก็เห็นเธอมุดเข้าไปอีก มันคงคิดว่าในนั้นอาจจะมีเนื้อติดกระดูกอีกสินะ? แต่พอเห็นเธอหายไป มันก็เริ่มมองกระเป๋าใบนั้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เริ่มกระดิกหางเดินวนรอบๆ กระเป๋าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในตอนที่เธอกำลังจะมุดออกมานั้นเอง เจ้าฮัสกี้พบว่ากระเป๋ามีความเคลื่อนไหว เจ้าหมาก็เลยตัดสินใจยื่นปากเข้าไปสำรวจดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่บางทีมันก็อาจจะแค่คาดหวังว่าจะมีเนื้อติดกระดูกสักชิ้นลอยมาใส่ปากก็ได้?
ร่างของเจ้าฮัสกี้อยู่ด้านนอก ส่วนปากยื่นเข้าไปในกระเป๋า ส่งผลให้ร่างบางส่วนของมันได้รับผลกระทบจากพื้นที่ว่าง ปากของมันก็เลยกลายเป็นปากสีแดงแสยะกว้างซึ่งอุดปากกระเป๋าเอาไว้
จากนั้นกู้จิ้งซึ่งกำลังจะมุดออกมาจากกระเป๋าก็บังเอิญมาเจอเข้าพอดี…
เธอหันไปมองเจ้าหมาผู้น่าสงสารแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริง คุณคิดว่าคุณกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมังกรร้ายในเทพนิยาย แต่จริงๆ แล้วคุณก็แค่กำลังรังแกหมาตัวหนึ่ง”
กู้จิ้งมองเขี้ยวหมาในมือแล้วก็เริ่มกลุ้มใจ “ก่อนไป ท่านบรรพบุรุษสั่งไม่ให้ฉันรังแกฮัสกี้ บอกว่าในยามคับขันฮัสกี้สามารถปกป้องฉันได้ ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดี ท่านบรรพบุรุษกลับมาต้องดุแน่? เขาจะโกรธไหม? จะว่าอะไรบ้าง?”
ในขณะที่กู้จิ้งกำลังทดสอบแผนปลูกเงินเพื่อความร่ำรวยและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยความกล้าหาญอยู่นั้น บนทางเดินเล็กๆ นอกเนินเขาบ้านเธอ มีคนสองคนกำลังลังเลอยู่
“อาสะใภ้ยาจื่อ ข้าว่าแล้วกันไปเถอะ”
“แล้วกันไป จะแล้วกันไปได้ยังไง? ในแปดหมู่บ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นนี่เจ้าก็ดูมาหมดแล้ว มีคนที่ดีเท่าเซียวเถี่ยเฟิงเสียที่ไหน? อย่าเห็นว่าตอนนี้เขายากจนนะ เจ้าดูสิ คนตระกูลเซียวตระกูลหนิวต่างก็หวังจะให้เขาต่อกรกับจ้าวจิ้งเทียน เซียวเถี่ยเฟิงเป็นใครมีพื้นฐานอย่างไรเจ้าเองก็รู้ ภาษิตว่าน้ำลึกยากเห็นก้น เสือตายไม่ทิ้งลาย เมื่อก่อนพ่อของเซียวเถี่ยเฟิงเป็นลูกผู้ชายที่มีชื่อเสียงโด่งดังบนเขาเว่ยอวิ๋น มาถึงเขา ต่อให้เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา คนตระกูลเซียวตระกูลหนิวก็หวังว่าสักวันเขาจะสามารถลืมตาอ้าปาก ลุกขึ้นมาต่อกรกับคนตระกูลจ้าวได้!”
ชุนเถาได้ยินจ้าวยาจื่อกล่าวเช่นนี้ก็กัดฟันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนใจออกมา “อาสะใภ้ยาจื่อ ที่ท่านพูดมาข้าย่อมเข้าใจ แต่ว่า…แต่ว่าตอนนี้เขาไปอยู่กับปีศาจในถ้ำนั่นแล้ว จะไปตอแยง่ายๆ ได้อย่างไร เรา…เรา…แล้วกันไปเถิด?”
จ้าวยาจื่อแค่นหัวเราะ “ถุย! คนอื่นกลัวนางปีศาจ ข้าก็ต้องกลัวด้วยงั้นรึ? คนเตี้ยดูงิ้วมองไม่เห็น ใครพูดอะไรก็ว่าตามกัน คนพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากกระต่ายตื่นตูม คิดว่าปีศาจมีอำนาจล้นฟ้า ถ้าเก่งกาจขนาดนั้นจริง ทำไมมีหมู่บ้านดีๆ ให้อยู่กลับไม่อยู่ ต้องมาอยู่ในถ้ำแบบนี้ด้วย? วัดเล็กปีศาจใหญ่ น้ำตื้นตะพาบเยอะ ข้าจ้าวยาจื่ออยู่ข้างนอกเคยพบเห็นอะไรมาไม่น้อย แค่เขาเว่ยอวิ๋นเล็กๆ นี่ ก็ได้แต่หลอกพวกโง่เง่าไร้สมองพวกนั้นเท่านั้นล่ะ!”
ชุนเถารู้สึกว่าจ้าวยาจื่อพูดมีเหตุผล นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นพลางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงกล่าวว่า “ไปถึงแล้ว ข้าควรจะพูดอะไรกับนางปีศาจ?”
จ้าวยาจื่อคิดๆ แล้วก็เริ่มสอน “ถึงตอนนั้นเจ้าก็พูดแบบนี้ เจ้ามันตัวซวย ดูสิ เพิ่งผ่านมานานแค่ไหน เจ้าก็ก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ ดีแต่หาเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเว่ยอวิ๋นวุ่นวายไปหมดก็เพราะเจ้า! เจ้ายังมีหน้าอยู่ที่นี่อีกงั้นรึ? เขาเว่ยอวิ๋นเราไม่ยอมรับคนอย่างเจ้า! เถี่ยเฟิงเป็นสามีที่ข้าหมายตาเอาไว้นานแล้ว ข้าเคยให้คนไปทาบทาม เขาเองก็เห็นด้วย เดิมกำลังจะพูดเรื่องหมั้นหมายกันอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้าก็โผล่ออกมา เจ้ามันคนหน้าด้านแย่งสามีคนอื่น!”
“แบบ…แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ…” นางกับเซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยมีอะไรกันเสียหน่อย
“ได้สิ ไป ถ่มน้ำลายรดหน้านาง ไม่ต้องสนใจว่านางเป็นเซียนหรือปีศาจ เราต้องทำให้นางไม่มีหน้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป!”
“แต่ใครๆ ต่างก็พูดว่า…นางทำนายทายทักได้ นางคงไม่คิดหาวิธีมาจัดการกับเราหรอกนะ?”
“ทำนายทายทักได้? ถุย! เรื่องลูกของจ้าวจิ้งเยว่ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ส่วนเด็กที่มีอาการสี่หกอะไรนั่น บอกว่านางเป็นคนรักษาหาย เมื่อก่อนข้าจ้าวยาจื่อเคยเห็นคนเป็นแล้วหายเองได้ โลกนี้มีเรื่องบังเอิญถมเถไป!”
ชุนเถาถูกนางยุแยงไปยุแยงมา สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ พวกนางปีนขึ้นไปบนเนินเขาเล็กๆ แล้วเดินผ่านป่าเล็กๆ ไป เตรียมไปพบกับนางปีศาจ