ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนพิเศษ 1
ฉันชื่อเซียวฮวาฮวา เป็นลูกสาวคนโตสายตรงรุ่นที่ n ของตระกูลเซียวแห่งเขาเว่ยอวิ๋น
ครอบครัวเรามีคำสั่งเสียที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพชนว่า หากลูกหลานรุ่นไหนเก็บเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ เราจะต้องเลี้ยงดูเธอให้เติบใหญ่ ทั้งยังต้องอบรมสั่งสอนให้เป็นหมอที่มีฝีมือเพียบพร้อมรอบด้าน เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นบรรพบุรุษของเราที่หลงมาอยู่ในโลกมนุษย์
คำสั่งนี้มีเพียงคนตระกูลเซียวไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ซ้ำยังเป็นการถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น
จากปากคำของคุณแม่ คุณย่าของฉันหวังมาตลอดว่าจะได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรติซึ่งบรรพบุรุษมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง แต่ความหวังของท่านกลับไม่บรรลุผล จากคุณย่าก็มาถึงรุ่นของอาหญิงและคุณแม่ ทุกคนรอมาตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เคยพบเด็กผู้หญิงที่ไหนสักคน
จริงๆ แล้วทุกคนต่างก็เริ่มสับสน เพราะเหตุผลต่างๆ นานา ลูกหลานของตระกูลเซียวหลายคนต่างก็ทยอยย้ายไปจากเขาเว่ยอวิ๋น ไปจากเมืองจูเฉิง ไปจากประเทศจีน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีวันไหนที่เราต้องจากไปเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจะมิกลายเป็นว่า เราไม่มีทางปฏิบัติตามคำสั่งของบรรพชนที่สืบทอดมาเป็นพันปีได้หรอกหรือ?
บรรดาลูกสาวกับลูกเขยของฉันต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ พวกเขาบอกว่าอยากให้ฉันไปอยู่ด้วย จะได้พบเห็นโลกภายนอกเสียบ้าง แต่ฉันไม่อยากไป นับวันคนตระกูลเซียวที่รู้คำสั่งเสียนี้ก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ฉันเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ หากฉันไป ความเป็นไปได้ที่จะทำให้คำสั่งเสียของบรรพชนบรรลุผลก็ต้องลดน้อยลงอีกหลายส่วน ถ้าฉันทำให้สำเร็จไม่ได้ ลูกสาวคนหนึ่งของฉันก็ต้องกลับมาเขาเว่ยอวิ๋นตามคำสั่งของบรรพชน
แน่นอน เหตุผลสำคัญที่สุดคือฉันชอบเขาเว่ยอวิ๋น ชอบสถานที่ที่บรรพบุรุษของฉันอาศัยอยู่มาเป็นพันปี ที่นี่มีภูเขามีแม่น้ำอากาศก็ดี ในป่ามีผลไม้มีผักป่ามีสัตว์ต่างๆ มากมายหลายชนิด โลกภายนอกไม่อาจเทียบได้เลย
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็นึกอยากเข้าป่าไปเก็บเห็ดมาตุ๋นน้ำแกง อะไรบางอย่างดลใจให้ฉันเดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็เข้าไปอยู่ในป่าลึกเสียแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พบว่าเย็นมากแล้ว ฉันกำลังคิดจะรีบเดินกลับ แต่ในตอนนั้นเอง ฉันกลับได้ยินเสียงร้องไห้
เป็นเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ลอยมาตามสายลม
ตอนนั้นฉันคิดว่า เวรแล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกผีหลอก จากนั้นก็ตั้งท่าจะเผ่นหนีไป
แต่เพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ฉันก็นึกถึงคำสั่งเสียของบรรพชนขึ้นมา
หากลูกหลานเก็บเด็กผู้หญิงได้คนหนึ่ง ต้องเลี้ยงดูเป็นอย่างดี อบรมสั่งสอนให้เธอเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน…
อะไรบางอย่างระเบิดตูมขึ้นในสมอง ฉันไม่อยากเชื่อเลย หรือในที่สุดคำสั่งเสียของบรรพชนก็เป็นความจริง เรื่องที่ถูกสวรรค์ลิขิตเอาไว้เกิดขึ้นกับตัวฉันอย่างนั้นหรือ?
ฉันหมุนตัวกลับแล้วเดินตัวเกร็งไปยังทิศทางที่มีเสียงร้องไห้ดังแว่วมา เดินไปได้ไม่นานนักก็เจอกระเป๋าหนังสีดำที่ถูกโยนทิ้งเอาไว้บนพื้น ข้างกระเป๋าใบนั้นมีเด็กหญิงอายุประมาณสองขวบคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมกระโปรงลายดอก ไว้ผมยาวถักเป็นเปียเล็กๆ คล้ายกับเด็กในสมัยโบราณ
ฉันย่อตัวลงมองเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วถามเธอเสียงเบา “แม่หนู ร้องไห้ทำไม พ่อแม่ของหนูล่ะ?”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยดวงตาคลอน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
ฉันจึงต้องกล่าวคำพูดเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
เธอกะพริบตาปริบๆ ทำให้หยดน้ำตาใสกระจ่างร่วงลงมา แต่สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความงุนงงเหมือนเดิม
ทันใดนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ เด็กอายุน้อยขนาดนี้ อาจจะพูดได้แค่ไม่กี่ประโยคเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้ชื่อของตัวเอง
“หนูชื่ออะไร?” ฉันพูดช้าๆ ทีละคำ “ชื่อของหนู?”
แต่เด็กหญิงกลับเหมือนไม่เข้าใจคำพูดของฉัน เธอนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร้องไห้โฮ
ฉันไม่มีทางเลือกจึงต้องรีบอุ้มเธอขึ้นมาปลอบ ไม่นานนักเธอก็เงียบ
ฉันก้มลงพิจารณามองเธอ เด็กหญิงมีหน้าตาน่ารักมาก ใบหน้าน้อยๆ ทั้งขาวทั้งนุ่ม เส้นผมเป็นสีดำขลับ ดวงตาทั้งคู่สุกใส ทั้งดำทั้งเป็นประกายเหมือนกับองุ่นป่าบนภูเขา
“บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษสั่งเสียเอาไว้ ฉันต้องพาเธอกลับไปแล้วเลี้ยงดูให้เติบใหญ่”
ฉันแบกเด็กหญิงเดินกลับไปที่หมู่บ้าน จากนั้นก็ไปที่บ้านของผู้นำตระกูลแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ผู้นำตระกูลตกใจมาก เขาจ้องเด็กหญิงอยู่นาน สุดท้ายก็สั่งให้ฉันรออยู่ที่บ้านเขาก่อน ส่วนตัวเองรีบวิ่งไปหาผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูล
ไม่นานนักคนตระกูลเซียวก็มากันครบ ทุกคนช่วยกันพิจารณาดูเด็กหญิงตัวน้อยรอบหนึ่ง สุดท้ายก็หยิบกระเป๋าหนังสีดำขึ้นมาพลิกไปพลิกมา ผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งมีอายุมากที่สุดยังถึงกับวิ่งไปพลิกดูพงศาวดารตระกูลเซียวซึ่งเก่าจนเหลืองอีกด้วย
สุดท้ายของสุดท้าย มือของทุกคนก็สั่นระริก ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา
“ใช่แล้ว นี่คือบรรพบุรุษของเรา!”
บรรพบุรุษ?
“ใช่ นี่คือท่านบรรพบุรุษของเราซึ่งลงมายังโลกมนุษย์ เราต้องดูแลท่านให้ดี เลี้ยงดูให้เติบใหญ่ ต้องอบรมให้ท่านกลายเป็นหมอที่เก่งกาจ รอจนท่านมีอายุครบยี่สิบสี่ปีก็ต้องมอบกระเป๋าใบนี้ให้ท่านด้วย!”
ภารกิจมากมายทับถมลงบนบ่าของฉัน ทำเอาหญิงชราอย่างฉันมึนงงไปหมด แต่พอหันไปมอง ‘ท่านบรรพบุรุษ’ ผู้มีใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของฉันก็อ่อนยวบ
เด็กอายุน้อยขนาดนี้ ฉันเป็นคนเก็บเธอมาจากป่าลึก ไม่ว่าเธอจะเป็นบรรพบุรุษของฉันหรือไม่ ฉันก็สมควรต้องเลี้ยงดูเธอให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงก็กลายมาเป็นหลานของฉัน
เธออายุยังน้อย จะจดทะเบียนเป็นลูกสาวของฉันก็คงไม่เหมาะ ฉันจึงใส่ชื่อเธอลงในทะเบียนบ้านของลูกสาวที่อยู่ในเมืองหลวง ทำให้เธอกลายเป็นหลานของฉันแทน
ไม่นานนักฉันก็พบว่าเธอพูดเป็น แต่ภาษาที่เธอพูดกลับไม่ใช่ภาษาของที่นี่ สำเนียงพูดของเธอฟังดูทั้งแปลกทั้งโบราณอย่างบอกไม่ถูก
หัวหน้าตระกูลตั้งชื่อให้เธอว่ากู้จิ้ง ใช้แซ่กู้ตามลูกเขยของฉัน
ตอนแรกกู้จิ้งเอาแต่ร้องไห้ เธอมักจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บ่อยๆ ร่างกายของเธอก็ไม่แข็งแรงนัก เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่ต้องการความเอาใจใส่เอามากๆ แต่ยังดีที่ฉันมีสุขภาพแข็งแรง ซ้ำยังไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจ ฉันจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการเลี้ยงดูเด็กคนนี้
ถ้าข้างนอกอากาศดีมีแสงแดดสดใส ฉันจะเอาแกใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่แล้วแบกใส่หลังพาออกไปอาบแดด ระหว่างนั้นก็จะถือโอกาสเก็บเห็ดเก็บผลไม้ไปขายแลกเงินด้วย
ครั้งหนึ่งฉันเด็ดผลไม้ป่าให้เธอ เธอกำมันเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยิ้มกว้าง
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มของเธอช่างน่าดูและสะอาดบริสุทธิ์เหลือเกิน
“ผลหรูหรู…” เธอชี้ไปที่ผลไม้ป่าแล้วบอกฉัน
“ผลหรูหรู?” ฉันฟังแล้วก็พูดตาม
ฉันคิดว่า บางทีที่บ้านเกิดของเธอก็อาจจะมีผลไม้ป่าแบบนี้ และพวกเขาคงจะเรียกมันว่าผลหรูหรู
“หนูชอบกินผลหรูหรูใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นยายจะเด็ดให้อีกนะ” ฉันพูดพลางเดินไปเก็บผลหรูหรูมาให้เธออีก
“ผลหรูหรู ผลหรูหรู พี่ชาย!” เธอหัวเราะอย่างมีความสุข
ฉันฟังเข้าใจแค่คำว่าผลหรูหรู ส่วนคำหลัง ฉันฟังไม่เข้าใจ
แต่ไม่เป็นไร แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอก็พอแล้ว
“ไม่ว่าหนูจะเป็นบรรพบุรุษของเราหรือเป็นใคร ยายก็จะเลี้ยงดูหนูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
ฉันมองใบหน้าเล็กๆ นั้นแล้วก็คิดถึงตอนที่ลูกสาวยังเป็นเด็กเล็กๆ ขึ้นมา
ฉันจะรักเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ เลยทีเดียว
วันหนึ่งหลังจากนั้น ในบ้านของหัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูลกำลังขมวดคิ้วจ้องม้วนรายชื่อบรรพบุรุษในมือ
“จำไว้ว่า จะให้ท่านรู้ฐานะที่แท้จริงของตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เขาเว่ยอวิ๋นเราต้องประสบกับภัยพิบัติแน่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ลบชื่อของท่านบรรพบุรุษออกก่อนเถอะ จะให้ท่านเห็นไม่ได้เด็ดขาด”
เขาจ้องม้วนกระดาษแคบยาวนั้นนิ่งพลางพึมพำเสียงเบา
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ พยักหน้า “ลบออกก่อนเถิด”
“เรื่องนี้มีแค่พวกท่านรู้ ฉันรู้ ฮวาฮวารู้ นอกจากนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้อีก”
คำสั่งเสียของบรรพบุรุษลุล่วงไปแล้ว นับแต่นี้ไป ลูกหลานรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องล่วงรู้ความลับนี้อีก
กู้จิ้งคาใจเรื่องที่ลูกหน้าตาเหมือนลุงหัวล้านที่ปากทางเข้าหมู่บ้านมาโดยตลอด ทำให้เธออยู่เดือนได้ไม่ค่อยสบายใจนัก
เธอมองร่างสูงใหญ่ของเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งกำลังอุ้มทารกน้อยก้นเปลือยเอาไว้พลางตบก้นของแกเบาๆ เป็นเชิงกล่อมด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจ
“ฮึ นายไม่สนใจฉันเลย!” เอาแต่สนใจลุงหัวล้านอยู่ได้
“กลางวันข้าดูแลลูก กลางคืนค่อยดูแลเจ้า” เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม
กู้จิ้งแค่นเสียงฮึดฮัดก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่ยอมมองเขา
เซียวเถี่ยเฟิงอุ้มลูกเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
“เด็กดี หน้าตาน่ารักจริงๆ ดูสิว่าลูกชายเราน่ารักแค่ไหน”
“ฮึ ลุงหัวล้านน่ารักตรงไหนกัน” โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้จักเซียวกวงโถว[1] ถ้าเซียวกวงโถวข้ามเวลามาด้วย ต่อให้เธอไปกระโดดแม่น้ำฮวงโหวก็คงล้างตัวไม่สะอาด[2] ถ้าบอกว่านี่เป็นลูกหลานของนาย เซียวเถี่ยเฟิงจะยอมรับได้ไหม? น่าจะยอมรับได้นะ เพราะเขาเป็นคนที่มีความสามารถในการยอมรับและทำความเข้าใจสูงอยู่แล้ว
——————————————
[1] หัวล้าน
[2] เป็นสำนวนหมายถึงแก้ตัวไม่ได้