ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 102 ย่องหนี
ด้วยเวลาที่นางใช้พูด หวงฝู่อี้เซวียนก็อาศัยจังหวะนี้ย่องหลบออกไปไกลแล้ว
นับตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาถึงเมืองหลวง เขาไม่เพียงแต่ศึกษาเรื่องการขี่ม้ายิงธนูจากกั๋วจื่อเจียนเท่านั้น แต่Rยังได้เชิญอาจารย์ที่มีวรยุทธสูงส่งมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาเป็นพิเศษอีกด้วย ดังนั้นวรยุทธแมวสามขาที่พอแค่ใช้รักษาชีวิตได้ของเมิ่งฉี ยามเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาจึงไม่คุ้มค่าพอให้ยกขึ้นมาพูดสักนิด
อย่างไรก็ตามเมิ่งฉีแม้ว่าจะลงมือค่อนข้างหนักเนื่องจากโทสะ หากแต่มันก็เป็นเพียงการกระหน่ำตีลงไปอย่างสุ่มๆ ไม่ได้ใช้กระบวนท่าหรือทักษะใดๆ
ยิ่งหวงฝู่อี้เซวียนเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาหลบ จึงหลุดจากการทารุณมาได้ไม่ได้ถูกทุบจริงๆ เป็นเมิ่งฉีเสียมากกว่าที่ลิ้นห้อยหอบแฮกจากความเหนื่อยล้า
ฝีเท้าหยุดลง เมิ่งฉีชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนพลางข่มขู่ว่า “ถ้าเจ้ายังกล้าหลบอีก ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านเก่าเสียตั้งแต่วันนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลงจริงๆ ยืนรออยู่ตรงนั้นให้อีกฝ่ายเข้ามาทุบตีอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งฉีถือไม้แล้วเดินดุ่มไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกปวดใจมาก รีบวิ่งเข้าไปยืนบังอยู่ตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนแล้วขอร้องพี่ชายออกไปว่า “พี่รอง เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านอย่าได้โกรธไป มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีหรือไม่”
เมิ่งฉีกลับโกรธยิ่งขึ้นไปอีก พาลใส่หญิงสาวไปด้วยว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน เขาก็ทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงเจ้าออกมาเช่นนี้ หากว่างานแต่งล้มเหลวไม่สำเร็จขึ้นมา ตัวเขาไม่นับว่าเป็นอันใดหรอก แต่เจ้าเล่าจะทำอย่างไร”
เมิ่งฉีแค่นหึตะคอกต่อ “เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่น้อง ถึงได้ตามใจปล่อยให้เจ้าปฏิบัติต่อโยวเอ๋อร์แบบนี้ อนุญาตให้เจ้าเข้าออกจวนได้บ่อยๆ ทั้งที่ยังไม่ได้จัดการเรื่องถอนหมั้นให้เรียบร้อยดี เวลาผ่านล่วงนานไป หากแต่ทางเจ้ากลับไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด แล้วเจ้าจะให้ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถจัดการเรื่องการถอนหมั้นได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นว่า “ครึ่งเดือน พี่รองให้เวลาข้าอีกครึ่งเดือน ข้าจะจัดการเรื่องการถอนหมั้นให้เสร็จอย่างแน่นอน”
“แล้วหากยังถอนไม่ได้เล่า” เมิ่งฉีคาดคั้นกลับ
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนหนักแน่นมาก “ไม่มีถ้าหาก จะต้องถอนได้อย่างแน่นอน”
“ดี!” เมิ่งฉีโยนไม้ในมือทิ้งไป “ข้าจะลองเชื่อเจ้าดูอีกสักครั้ง หากว่าในครึ่งเดือนนี้เจ้าไม่สามารถล้มเลิกการหมั้นได้ ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านเดิมไปและนับแต่นี้เจ้าอย่าได้โผล่หน้ามาให้นางเห็นอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว พี่รองท่านรอข่าวจากข้าได้เลย แต่หากข้าถอนหมั้นได้สำเร็จ พี่รองโปรดอนุญาตให้ข้าเข้าออกห้องโยวเอ๋อร์ได้ตามต้องการด้วย”
เมิ่งฉีทำการค้ามานานหลายปีแล้ว ย่อมรู้ว่าต้องพูดอย่างไรถึงจะสามารถหาทางลงให้กับตัวเองได้ จึงได้โบกมือออกไปแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องหลังจากนี้ค่อยคุยกันใหม่ในภายหลัง เจ้าจัดการเรื่องถอนหมั้นให้เสร็จก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือพวกเราค่อยๆ มาปรึกษากันได้”
หวงฝู่อี้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากทางนี้ จึงได้รีบวิ่งเข้ามาแล้วเขยิบเข้าไปช่วยหวงฝู่อี้เซวียนแก้สถานการณ์อย่างระมัดระวัง “ซื่อจื่อ นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราสมควรกลับจวนได้แล้วนะขอรับ”
คำพูดนั้นชัดเจนยิ่งว่าให้เมิ่งฉีเปิดทางให้
“พี่รอง โยวเอ๋อร์ ข้าขอตัวก่อน” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวลาคนทั้งสองไปอย่างหน้าด้านๆ
เมิ่งฉีแค่นหึคำหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่สนใจเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีจึงได้ลากหวงฝู่อี้รีบหนีกลับจวนไป
เมิ่งฉีปรายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดขึ้น “วันนี้เจ้าอยู่แต่บ้าน ที่ไหนก็ห้ามไปทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าจึงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก
“แล้วก็” เมิ่งฉีพูดขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ขบวนรถม้าในบ้านจะเดินทางกลับ เจ้าช่วยไปเรียกเหวินเป้ากับเหวินซงมาให้ข้าที”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ก่อนจะสั่งชิงหลวนให้ไปที่หมู่บ้านแล้วเรียกคนทั้งคู่มา
ชิงหลวนออกไปพร้อมกับม้าสองตัวที่อยู่ตรงหลังเรือน มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านนอกเมืองเป้าหมายคือเพื่อไปตามคนทั้งคู่
เมิ่งฉีปรายตามองนางอีกหลายครั้ง คิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่พูด ทำเพียงหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าเรือนของตนไป ไปจัดการเตรียมขบวนรถม้าที่กำลังจะกลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวนี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เขียนจดหมายให้กับเซี่ยเจียงเฟิงเลย รีบร้อนกลับเข้าห้องไป สั่งให้จูหลีเตรียมพู่กันและฝนหมึกรอ จากนั้นก็ลงมือเขียนจดหมายถึงเซี่ยเจียงเฟิงฉบับหนึ่งอย่างรีบเร่ง หลังจากใส่ซองและปิดผนึกเสร็จแล้ว จึงคิดจะไปหาเมิ่งฉี
จูหลีตะโกนเตือนนางออกมาเสียงดัง “นายหญิง ที่คอของท่าน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดกึก ฝีเท้าชะงักลงในทันที ในใจพลางก็สบถด่าหวงฝู่อี้เซวียนไปอย่างดุเดือดหลายคำ จากนั้นจึงส่งจดหมายในมือให้กับอีกฝ่ายแทน “เจ้าเอามันไปให้พี่รองที บอกว่าเป็นจดหมายที่ข้าเขียนถึงเซี่ยเจียงเฟิง รอจนกระทั่งถึงบ้านแล้วค่อยให้พนักงานที่มาขนของส่งต่อไปให้เขาอีกที”
จูหลีรับจดหมายมาแล้วเดินออกไปที่เรือนด้านหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวหย่อนตัวนั่งลงบนตั่ง หยิบกระจกขึ้นมาส่องดูบริเวณคอของตนเองอีกครั้ง หลังจากก่นด่าหวงฝู่อี้เซวียนไปราวๆ พันครั้งได้ จึงได้ล้มตัวลงบนเตียงนอนแล้วกลับไปนอนต่อ
เมิ่งฉีจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหวินเป้ากับเหวินซงทั้งคู่ก็มาถึงแล้ว หลังจากกำชับพวกเขาให้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยระหว่างเดินทางกลับ กับบอกให้พวกเขาอย่าได้แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ขบวนรถม้าก็เริ่มมุ่งหน้าเดินทางออกนอกเมือง
เมิ่งฉีเฝ้ามองขบวนรถม้าที่จากไปไกล แล้วนั่งรถม้ากลับไปยังโรงฝึกที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง
กัวเฟยที่ตัวสั่นอยู่ตลอดเวลาพอเห็นว่าเขาไม่กล่าวโทษหรือตำหนิตนเอง ก็พาให้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสนิทไปอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสบายตัวยิ่ง เนื่องจากนางว่างมากไม่มีอะไรทำ จึงได้เรียกรวมพลเหล่าคนรับใช้ทั้งหลายแล้วเริ่มลงมือบดยาให้พวกเขา
เมิ่งอี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของท่านราชครูตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง รอจนกระทั่งไปถึงที่ร้านแล้วได้ฟังเหล่าองครักษ์ซุบซิบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนก็ให้คิดจะไปพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวให้รู้เรื่อง ด้วยอย่างไรเสียสตรีนางหนึ่งกระทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นอะไรที่ไม่สมควรจริงๆ มิน่าเล่าเมิ่งฉีถึงได้มีโทสะเพียงนั้น หากเปลี่ยนเป็นตนเองอยู่ที่เรือน ตนก็คงลงมือกับเขาไม่ต่างกัน
หวงฝู่อี้เซวียนแม้ว่าเพิ่งผ่านการถูกทุบตีมา แต่ก็ยังหิ้วหน้าระรื่นกลับจวนไป
พระชายาฉีฟังรายงานจากบ่าวรับใช้แล้ว ในใจพลันคิดไปในทางที่สวนทางกันว่าช่างเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าจึงได้อารมณ์ดีมาก เถียงกับตัวเองอยู่หลายหนว่าสมควรเริ่มตัดเสื้อเด็กแล้วหรือยัง เพราะดูจากพวกเขาทั้งคู่ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะมีเด็กเกิดมาในท้องก็เป็นได้
ถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพระชายาฉีมีความคิดเช่นนี้ ตีให้ตายนางก็ไม่ยอมปล่อยให้หวงฝู่อี้เซวียนเข้าห้องของตัวเองเด็ดขาด
ตลอดช่วงเช้าผ่านไปทั้งเช่นนี้ หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงขอให้ชิงหลวนไปส่งข้อความที่จวนตระกูลเฝิง บอกว่าวันนี้นางมีเวลาว่าง ให้เฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้องมาหานางบ่ายนี้
หลังจากได้รับข้อความจากปากของชิงหลวน เฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้องก็นั่งรถม้าตามนางกลับมาที่จวน
เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวได้ไม่เท่าไหร่ เฝิงจิ้งซูก็ปรี่เข้าไปจับแขนของนางเอาไว้แน่น แล้วฟ้องออกไปชนิดทนรอไม่ไหวแล้วว่า “พี่โยวเอ๋อร์ พวกเราจับสายที่อยู่ในจวนได้แล้วนะเจ้าคะ เป็นสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนามซุ่ยหงผู้นั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามออกไปด้วยความประหลาดใจว่า “เจอเร็วถึงเพียงนี้เชียว”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้าแล้วพูดด้วยความโกรธ “ซุ่ยหงผู้นี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เสียทีที่พี่สาวข้าดีต่อนางมองนางเป็นเหมือนพี่น้อง ไหนเลยจะคิดว่านางจะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น เกือบทำให้พี่สาวข้ามีลูกไม่ได้อีกตลอดชีวิต”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเฝิงจิ้งเหวิน ถามออกไปว่า “พี่สะใภ้ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น”
เฝิงจิ้งเหวินแม้ว่าจะได้รับการอมรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ถึงกับหลุดแสดงความรังเกียจและโทสะออกมาชัดเจน ตอบกลับไปว่า “เมื่อวานหลังจากที่เจ้ากลับออกไปแล้ว ท่านแม่ของข้าก็ไปหาท่านพ่อที่เรือนแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านพ่อพอได้ทราบจึงสั่งให้คนไปจับตาดูบรรดาสาวใช้ของข้าทันที เป็นซุ่ยหงที่แสดงพิรุธ ในวันเดียวกันนางใช้ข้ออ้างที่ว่ามีธุระหลบออกนอกจวนไป บ่าวคนสนิทของท่านพ่อแอบตามนางไปจนถึงเขตตะวันตก หลังจากกลับมาถึงที่เรือนเขาก็รีบไปรายงานให้ท่านพ่อได้ทราบ ท่านพ่อนี่จึงสั่งให้คนไปจับตัวนางมาแล้วเค้นถาม นางถึงได้ยอมคายความจริงออกมา”
“ความจริงอะไรหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามออกไป
—————————-