ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 104 กลัวว่าพวกเจ้าจะรอไม่ไหว
แม่ทัพใหญ่ฉู่ลงจากหลังม้า คำนับกลับ “รบกวนแล้ว”
ทันใดนั้นทหารที่เหลือก็ลงจากม้าตาม
ขุนนางกล่าวอย่างสุภาพ “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ แม่ทัพใหญ่เดินทางกลับมาอย่างยากลำบาก วันนี้ไม่ต้องเข้าวัง รอหลังจากแม่ทัพใหญ่พักผ่อนแล้ว ดูแลสุขภาพอย่างดีแล้ว ค่อยเข้าวังก็มิเป็นไร”
แม่ทัพใหญ่ฉู่ประกบมือแล้วคำนับขอบพระทัย “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เห็นอกเห็นใจ เกล้ากละหม่อมซาบซึ้งใจอย่าล้นเหลือ”
ขุนนางทุกคนต่างก็เข้ามาคำนับทักทาย จากนั้นทุกคนต่างก็ขึ้นเกี้ยวกลับไปรายงานคำสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนดึงแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ร้องเรียกขึ้นอย่างดีใจ “ท่านน้า!”
แม่ทัพใหญ่ตะลึง ตอนที่เขาไปนั้นหวงฝู่อี้เซวียนเป็นเด็กอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา บัดนี้กลับเติบโตขึ้นกลายเป็นหนุ่มรูปงานไร้ที่เปรียบ มีสง่าราศีเกินหน้าเด็กหนุ่มผู้อื่น ในใจนั้นยินดี ยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆ “เซวียนเอ๋อร์โตแล้ว น้าเกือบจะจำไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินขึ้นมาคารวะเขา “ท่านแม่ทัพใหญ่”
แม่ทัพใหญ่ฉู่พยักหน้ารับ “แม่นางเมิ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนยังจับแขนเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น “ท่านน้า เสด็จแม่บอกว่าหลังจากที่ท่านจัดการกับกองทัพเรียบร้อยแล้ว ให้ไปที่จวนอ๋อง นางทำเสื้อไว้ให้ท่านหลายชุด ให้ท่านไปลองใส่ดู”
การไปลองเสื้อผ้าเป็นเพียงข้ออ้าง ไม่ได้เจอกันสี่ปี เป็นเรื่องจริงที่คิดถึงน้องชายคนเดียวอย่างเขา นึกถึงว่าพี่สาวของตนนอนโทรมป่วยติดเตียง อีกทั้งยังระลึกถึงน้องชายของนางคนนี้เสมอ แม่ทัพใหญ่ฉู่รู้สึกปวดใจ พยักหน้า “ข้าจัดการทหารเรียบร้อยแล้ว อาบน้ำแต่งกาย ก็จะไปหาท่านพี่”
“ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ “ข้าจะไปบอกเสด็จแม่เดี๋ยวนี้ นางจะต้องดีใจไม่น้อย”
แม่ทัพใหญ่ฉู่พยักหน้า กระโดดขึ้นม้า พาขวบนทหารไปยังค่ายทหารในเมือง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้าตัวเดียวกันกลับไปยังจวนอ๋องฉี จนมาเข้ามาถึงเรือนของพระชายาฉี เล่าเรื่องข่าวดีนี้ให้นางทราบ
พระชายาฉีดีใจมาก สั่งให้หลิงหลงไปสั่งงานในห้องครัวทันที “วันนี้ต้องทำอาหารเลิศรสอย่างประณีตที่สุด เย็นนี้เหวินเจี๋ยกับโยวจะกินข้าวในจวนด้วย”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วเดินไปห้องครัว
พระชายาฉีจูงแขนเมิ่งเชี่ยนโยว สำรวจตรวจตราดูนางอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ ถามว่า “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนแปลกไปหรือ”
พระชายาฉีละสายตา ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่มี ไม่มี ข้าคิดว่าจะทำเสื้อผ้าให้เจ้าสักสองชุด ก็เลยกะขนาดร่างกายเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวปฏิเสธขึ้นว่า “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ แต่ไม่รบกวนท่านแล้ว ตอนที่หม่อมฉันมาในเมืองหลวง ท่านแม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไว้ใส่ตลอดทั้งสี่ฤดูไว้แล้ว”
พระชายาฉีดึงให้นางนั่งลง “ตอนนี้ข้าสุขภาพแข็งแรงดีแล้ว ทุกๆ วันก็ว่างไม่ได้ทำอะไร ทำเสื้อผ้าให้เจ้าสองชุดก็ไม่หนักหนาอะไร ถือเสียว่าเป็นความตั้งใจของข้า ผ้าข้าก็ได้เตรียมไว้แล้ว อีกสักครู่ให้หลิงหลงเอาออกมาให้ดูว่าชอบไหม ถ้าหากชอบ ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าก็จะเริ่มทำให้เจ้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธอีก “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบพระทัยพระชายาเพคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ เรียกพระชายาดูห่างเหินเหลือเกิน ข้าว่าเจ้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่ตามเซวียนเอ๋อร์เถอะ” พระชายาฉีพูดยิ้มๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง กล่าวว่า “ตอนนี้เชี่ยนโยวยังไม่อาจรับปากได้เพคะ”
พระชายาฉีค่อนข้างผิดหวัง มองหน้าหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนรีบพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ ตอนนี้หากโยวเอ๋อร์เรียกท่านเช่นนี้ ก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริง ถ้าหากให้คนคิดร้ายได้ยินเข้า เกรงว่าอาจจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก ท่านรออีกสักระยะเถอะ รอหลังจากพวกเราแต่งงานกันแล้วค่อยเรียกท่านก็ยังไม่สาย”
พระชายาฉีกล่าวอย่างมีอารมณ์เล็กน้อย “โยวเอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้ที่ข้าเลือกแล้ว ใครจะวิจารณ์ก็วิจารณ์ไป แม่จะกลัวพวกเขาเช่นนั้นหรือ”
“ท่านที่อยู่ในจวนไม่อะไรให้ต้องกลัว แต่โยวเอ๋อร์ยังต้องทำการค้า หากไปที่ใดแล้วมีเสียงคนวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ใช่เรื่องดี ท่านอดทนรออีกสักนิดเถิด”
น้ำเสียงของพระชายาฉีร้อนรน “ข้ารอได้ไม่รีบร้อน กลัวว่าแต่พวกเจ้าจะรอไม่ไหว”
ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร ต่างก็อึ้ง
พระชายาฉีเห็นสีหน้าของทั้งสองคน คิดว่าพวกเขาอาจจะคิดไม่ถึงเรื่องที่อาจจะมีลูก แต่ก็ไม่อยากพูดลึกเกินไป เกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะอับอาย รู้สึกอึดอัด จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ได้ได้ได้ ไม่เรียกเสด็จแม่ก็ได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเจ้ามีเรื่องที่จัดการไม่ไหวก็ให้มาบอกข้าทันที”
ทั้งสองคนหันมาสบตากัน แล้วพยักหน้าอย่างงงๆ
พระชายาฉีผลิยิ้ม สั่งหลิงหลงว่า “เจ้าไปเอาผ้าที่ข้าซื้อไว้ให้โยวเอ๋อร์ออกมา ให้นางได้เลือกหน่อย”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วสั่งให้คนไปนำผ้าที่ซื้อไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว
พระชายาฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “นี่เป็นผ้าที่สั่งตัดจากร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเป็นพิเศษ เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูสักครู่ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายาเพคะ อี้เซวียนยังไม่ได้บอกท่านหรือ ว่าหม่อมฉันได้เปิดร้านร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงอันรุ่งเรืองไว้ในเมืองหลวง ต่อไปถ้าท่านต้องการอะไร ก็บอกกับอี้เซวียนก็พอแล้วเพคะ”
“ไอ้หยา ที่แท้ร้านนั้นก็เป็นร้านของเจ้าหรอกหรือ” พระชายาฉีถามอย่างเบิกบาน “ข้าเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น แต่ยังไม่เคยไปเสียที กำลังคิดไว้ว่าจะไปในสักวัน” ว่าแล้วก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าช่างเก่งจริงๆ ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนี้อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังโดดเด่นอยู่ร้านเดียวตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้จักแยกสาขาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือ “พระชายากล่าวชมมากเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะไปเก่งอะไร หม่อมฉันเพียงแค่บังเอิญเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียง เลยพลอยได้รับชื่อเสียงไปด้วย”
พระชายาฉียิ่งกล่าวชื่นชม “ได้ข่าวว่าเถ้าแก่ของร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนี้อายุถึงห้าสิบหกสิบปีแล้ว เจ้ากลับได้เป็นเพื่อนกับเขา ช่างเก่งจริงๆ”
“ที่ท่านพูดถึงก็คือนักบุญซุน เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ดูแลเรื่องภายในร้านแลวเพคะ อยู่เลี้ยงเหลนชายที่บ้าน สุขสบายมาก เถ้าแก่ในตอนนี้ก็คือหลานชายของเขาซุนเหลียงไฉ เป็นน้าน้อยของพี่ใหญ่ข้า เคยมาพักอยู่ที่บ้านของหม่อนฉันอยู่ระยะหนึ่ง”
พระชายาฉีตาโต ท่าทางอย่างรู้อยากเห็น “ยังมีเรื่องเช่นหรือ เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องในปีนั้นตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนไปโรงเรียนแต่ทะเลาะกันกับซุนเหลียงไฉ ด้วยเหตุนี้นางถึงได้รู้จักกับนักบุญซุน แล้วรับตัวซุนเหลียงไฉมาอบรมสั่งสอน แล้วต่อมาเมิ่งเสียนก็แต่งงานกับซุนเชี่ยน
พระชายาฉีฟังอย่างได้อรรถรส ฟังจบก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เซวียนเอ๋อร์ก็รู้จักกับเถ้าแก่ซุน รอวันหน้าตอนที่เขามาเมืองหลวงต้องเชิญเขามาที่จวนนะ”
“ฮูหยินของเขาใกล้จะคลอดลูกแล้ว เขาจึงกลับบ้านไปดูแล คิดว่าปีนี้คงไม่มาอีก รอปีหน้าตอนที่เขามาอีก หม่อมฉันจะต้องบอกเขาแน่นอนเพคะ”
ระหว่างที่ทุกคนสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้ามืดลงแล้ว อ๋องฉีก็กลับจวนแล้ว พอได้ยินคนรับใช้รายงาน ก็มาที่ห้องของพระชายาฉี
ทุกคนคารวะเขา พระชายาฉีกล่าวว่า “คิดว่าท่านอ๋องคงจะทราบแล้วว่าเหวินเจี๋ยกลับมาแล้ว เขารับปากหม่อมฉันว่าอีกสักครู่จะมากินข้าวที่จวน ถ้าท่านอ๋องไม่มีธุระอื่นใด ก็อยู่กินข้าวด้วยกันเถิดเพคะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่ อีกทั้งยังเป็นน้าน้อยของตน ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอ๋องฉีก็ปฏิเสธได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พระชายาฉีก็ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว คนก็สดชื่นสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาก มักจะยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกวัน แม้แต่คนที่อยู่ในเรือนของนางทุกคนยังมีความสุขทุกวัน อ๋องฉีที่ยุ่งและเหนื่อยล้ามาทั้งวันย่อมที่จะยอมอยู่ที่เรือนของนาง ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ต้องจัดการงานราชการมาทั้งวัน ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วจะรีบมา”
—————————-