ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 115 พูดคุยรายละเอียด
หวงฝู่อี้เซวียนร้องเหอะขึ้นมา “ท่านน้าไม่ทราบ ว่าจวนราชเลขานั่นวางหมากไว้อย่างดี หลายปีที่ผ่านมานั้นสาเหตุที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินไปเยี่ยมเสด็จแม่บ่อยๆ ความจริงแล้วก็เป็นแค่หน้ากากจอมปลอม เกรงว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็เพื่อให้คุณหนูหลินกับอวี้เอ๋อร์เติบโตขึ้นมามีความผูกพันกัน เตรียมไว้ว่าหากข้าไม่กลับมา อวี้เอ๋อร์ได้เป็นซื่อจื่อ พวกเขาจะได้ให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยตกตะลึง นานหลายอึดใจจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ราชเลขาหลินก็ถือว่าเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่ง เขาจะยอมให้บุตรีของตัวเองแต่งงานกับลูกนอกสมรสได้อย่างไร”
“ถ้าหากอวี้เอ๋อร์ได้เป็นซื่อจื่อ ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสแล้วอย่างไรเล่า?”
“นี่…” ฉู่เหวินเจี๋ยพูดไม่ออก
“เซวียนเอ๋อร์” พระชายาฉีกล่าว “ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า นับไม่ได้”
“เสด็จแม่ ท่านจิตใจดีมากเกินไป หลายปีมานี้จึงได้ถูกปิดหูปิดตาเอาไว้ เมื่อครู่นี้ท่านน้าพูดถูกแล้ว ใต้เท้าราชเลขาจะยอมให้บุตรีแต่งงานกับลูกนอกสมรสได้อย่างไร เหตุผลข้อเดียวกันนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความคิดเช่นนี้ แล้วจะยอมให้คุณหนูหลินเล่นด้วยกันกับอวี้เอ๋อร์ เติบโตมาด้วยกันเช่นนี้หรือ จะต้องรู้ว่าประตูสูงภายในจวนนี้ จะแยกแยะเรื่องชาติกำเนิดจากชายาเอกกับลูกนอกสมรสอย่างชัดเจน เชื่อว่าสามีภรรยาจวนราชเลขาจะต้องทราบข้อนี้ดี ถึงแม้พระชายารองจะดูแลจวนแล้วอย่างไรเล่า ลูกนอกสมรสก็คือลูกนอกสมรส นี่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
สำหรับจุดนี้ พระชายาฉีก็เคยคำนึงถึง แต่เป็นเพราะว่านางนั้นร่างกายอ่อนแอ เพื่อนที่รู้จักสนิทสนมนั้นมีไม่มาก ทั้งหมดมีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งก็คือฮูหยินราชเลขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือกูกูที่ดูแลไทเฮาที่อยู่ในวัง พวกนางทั้งสามคนเติบโตมาด้วยกัน นิสัยใจคอก็คล้ายคลึงกัน นางยอมไม่ได้จริงๆ ที่จะคิดว่าฮูหยินราชเลขาเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ ตัวเองจะได้ไม่รู้สึกอ้างว้างหัวใจ ตอนนี้ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาจนหมดเปลือก ก็ให้นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินมาที่จวน ในใจรู้สึกเศร้าโศกอยู่บ้าง การที่ฮูหยินหลินเป็นห่วงนางนั้นแท้จริงแล้วเบื้องหลังนั้นกลับมีแผนการเตรียมไว้แล้ว เสียดายที่ตอนนั้นตัวเองยังเคยคิดจริงๆ ว่าถ้าหากตามหาเซวียนเอ๋อร์กลับมาไม่ได้จริงๆ หวงฝู่อวี้ได้เป็นซื่อจื่อ นางก็จะเอ่ยกับไทเฮาเอง ว่าให้หลินหันเยียนแต่งงานกับหวงฝู่อวี้ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เด็กคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนตัวเองตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่รู้เลยว่าคนอื่นเขาได้วางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ขมวดคิ้วเป็นปม “จวนราชเลขาช่างวางหมากกระดานนี้ไว้ดีเหลือเกิน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “วางหมากได้ไม่เลว แต่ถึงแม้พวกเขาจะวางแผนดิบดีอย่างไรก็ตาม คงคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ข้ากลับมาแล้วจะเอ่ยถึงเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอับอายจนพาลโกรธไปหาเสด็จย่าให้มีพระราชเสาวนีย์เรื่องการแต่งงาน เพื่อให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ทำให้พวกเราย้อนคืนไม่ได้”
“ถ้าเป็นอย่างเจ้าว่า บัดนี้การแต่งงานจึงค้างอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เป็นฝ่ายรุก พวกเราเองก็ไม่มีวิธียกเลิกการแต่งงาน” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนเหยียดยิ้ม กล่าวว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าข้ารีบร้อนอยากจะสู่ขอโยวเอ๋อร์แล้วล่ะก็ ข้ากลับอยากจะให้พวกเขาเสียเวลารอแล้วรอเล่า ให้รอไปสักสามสี่ปี พวกเขาก็จะทนรอไม่ไหวเอง ถึงตอนนั้นก็จะก้มหัวมาขอร้องพวกเราอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจความหมายของเขา พยักหน้า “อันที่จจริงแม่นางเมิ่งก็อายุไม่น้อยแล้ว พวกเจ้าก็ไม่อาจรอต่อไปได้”
พระชายาฉีกลับเข้าใจความหมายผิดไป คิดว่าที่เขาพูดนั้นเป็นเพราะว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กลัวว่าจะมีลูก จึงจำเป็นต้องไปสู่ขอนางโดยเร็ว พยักหน้าเห็นด้วยแล้วกล่าวว่า “ใช่ใช่ใช่ จะต้องรีบสู่ขอแม่นางเมิ่งโดยเร็วจริงๆ ข้ารอที่จะอุ้มหลานเร็วๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง เกิดอาการหงุดหงิดโดยไม่ได้สนใจว่าพระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยก็อยู่ด้วย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างแรง
หวงฝู่อี้เซวียนได้รับความเจ็บปวด ร้องโอ้ยออกมาเสียงดัง
พระชายาฉีกับฉู่เหวินเจี๋ยเห็นการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวแต่แรกแล้ว ทว่าก็แกล้งทำเป็ยว่าไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหวงฝู่อี้เซวียน ยกถ้าน้ำชาขึ้นมาจิบ
หวงฝู่อี้เซวียนโดนเหยียบอย่างงงๆ คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโกรธที่ตัวเองยังไม่รีบยกเลิกการแต่งงาน หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำท่าทางน่าสงสาร
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถลึงตามองเขาอย่างขุ่นเคืองอีก
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเก็บท่าทางน่าสงสารลง พูดรับประกันอย่างเอาใจว่า “โยวเอ๋อร์วางใจ ครั้งนี้ข้าจะต้องยกเลิกการแต่งงานได้แน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างถูกต้องแล้ว” พูดจบแล้วก็กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “พี่รองก็จะไม่มาห้ามไม่ให้ข้าเข้าห้องเจ้าอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงมากขึ้น แทบอยากจะเอาถ้วยน้ำชาปาใส่หน้าเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้ทีเดียว
พระชายาฉีเห็นสีหน้าที่ทางของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างกระวนกระวายใจแล้ว จงใจกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งก็ให้ท่านน้าของเจ้าไปดูลาดเลาของพวกเขา ดูว่าต้องทำเช่นไรพวกเขาถึงจะยอมยกเลิกการแต่งงานนี้”
“เกรงว่าหลายวันมานี้พวกเขาอาจจะเตรียมเงื่อนไขไว้เรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่านน้า ถ้าหากพวกเขาเรียกร้องเงื่อนไขออกมา แล้วพวกเราสามารถรับได้ ข้าก็จะได้ยินยอมไปในตอนนั้นเลย ถ้าหากเงื่อนไขที่พวกเขาเรียกร้องมันเลวร้ายเกินไป ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ ไม่ช้าไม่นานก็จะจับจุดอ่อนที่เป็นความผิดของหลินจ้งได้ จะได้จัดการกับพวกเขาสักตั้ง ข้าไม่เชื่อว่าราชเลขาหลินจะยอมให้การแต่งงานของบุตรสาว มาทำลายอนาคตของบุตรชาย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเราที่ทำผิดก่อน เจ้าอย่าทำอะไรรุนแรงเกินไป ปรึกษากันให้ดีก่อน ต่อไปจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูต่อกัน” พระชายาฉีกำชับเขา
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินแล้วก็พยักหน้า “ข้าจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ มีท่านลุงอยู่ด้วย ข้าจะเชื่อฟังเขาทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวอยู่ในใจ เจ้าคนนี้เคยชินแล้วกับการที่เป็นหมูมาหลอกกินเสือ* ครานี้รับปากเสียดิบดี วันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับครอบครัวราชเลขาหลินอย่างไรบ้าง แต่ว่า ถ้าหากสามารถยกเลิกการแต่งงานได้ในครั้งนี้ก็คงดี เวลาท่านพ่อท่านแม่ส่งจดหมายมาถามข่าวว่าการแต่งงานของนางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นางจะได้ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรเสียที
วันพรุ่งนี้ไปจวนราชเลขาจึงตกลงกันได้เช่นนี้ ทุกคนเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเรื่องใหม่ พูดคุยถึงเรื่องเก่าก่อนหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องที่ฉู่เหวินเจี๋ยรบอยู่ในสนามรบ
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นผู้บรรยาย สามคนที่เหลือนั่งฟังอย่างตั้งงใจ พอฟังถึงจุดที่อันตราย พระชายาฉีก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ มิหนำซ้ำยังเหงื่อไหลแทนฉู่เหวินเจี๋ย พอได้ยินเขาเล่าถึงตอนที่นำกองกำลังทหารออกไปรบกับข้าศึกทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน ก็ปวดใจจนแทบจะทนไม่ได้ ขอบตาแดงก่ำ
ฉู่เหวินเจี๋ยจึงรีบหยุดหัวข้อนี้ทันที “ท่านพี่ ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วมิใช่หรือ ไฉนท่านจึงยังเสียใจอยู่อีก”
พระชายาฉีฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “ดาบกับกระบี่ไร้ซึ่งดวงตา ต่อให้เจ้านำทหารไปมากมาย มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็อาจจะมีช่วงที่พลั้งเผลอ วันนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงาน อีกทั้งยังไม่มีลูกชายลูกชายไว้สืบสกุลสักคน หากเป็นอะไรไป วันหน้าเจ้ากับข้าจะมีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างไร”
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากครั้งนี้ ภายในช่วงนี้จะไม่มีสงครามอีก ข้าก็ไม่ต้องนำทหารไปออกรบอีกแล้ว”
“ไม่ได้ วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปหาเสด็จแม่ ให้พระนางจัดการเรื่องการแต่งงานให้เจ้า ถือโอกาสที่เจ้าไม่ได้ออกไปรบ ให้ไปสู่ขอเข้ามา จะได้มีลูกเพิ่มขึ้น” พระชายาฉีกล่าว
*แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ หมายถึง เจ้าเล่ห์เพทุบาย แกล้งทำเป็นว่าอ่อนแอเพื่อให้อีกฝ่ายประมาท สุดท้ายก็ฉวยโอกาสคว้าชัยชนะไป
—————————-