ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 125 เจ้าทึ่มหวงฝู่อวี้
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้น “ไม่เพียงเท่านี้นะเพคะ ยังเป็นผลไม้แห่งความสุขอีกด้วย เพียงแค่นางไปกับฮูหยินไปหาหม่อมฉันที่จวน เสียงหัวเราะแห่งความสุขก็ดังออกมาจากในห้องของหม่อมฉันไม่หยุดเลยเพคะ”
เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวรักษาอาการป่วยให้กับฮูหยินเหวินซื่อนั้นพระชายาฉีก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “ข้าก็ชอบคนนิสัยอย่างคุณหนูเฝิง รอหลังจากเซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์แต่งงานกันแล้ว เจ้าต้องมาที่จวนคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าบ่อยๆ นะ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเยาว์วัยขึ้นไปอีกหลายปีเลย”
“ตอนนี้พระชายาก็ยังสาวอยู่เลยเพคะ นั่งอยู่กับพวกเรา ดูไม่แก่ไปกว่าพวกเราเลยแม้แต่น้อย” เฝิงจิ้งซูพูดจาหวานหู
พระชายาฉีมีความสุขมาก “ข้ายิ่งชอบเจ้ามากขึ้นแล้ว เอาอย่างนี้นะ ต่อไปเจ้าต้องมาเที่ยวเล่นที่จวนข้าบ่อยๆ แล้ว”
เฝิงจิ้งซูตอบรับอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่มีท่าทางดัดจริตมารยาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้พระชายาฉีชื่นชอบนางมากขึ้น
เห็นพระชายาฉีมีความสุขจริงๆ เฝิงจิ้งเหวินก็สบายใจได้
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด อ๋องฉีกับราชเลขาหลินต่างก็ไปประชุมเช้า รอเสร็จสิ้นการประชุมแล้วถึงได้เดินทางกลับมา
พอทุกคนเห็นอ๋องฉีต่างก็ลุกขึ้นมาคำนับ
อ๋องฉีปรากฏสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน
จวนราชเลขาได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาหลินเลิกประชุมเช้าแล้วก็เดินทางกลับบ้าน เปลี่ยนไปใช้เครื่องแต่งกายธรรมดา แล้วจึงขึ้นรถม้ามากับฮูหยินราชเลขากับหลินหันเยียน หลินจ้งขี่ม้า ทั้งสี่คนในครอบครัวจึงพาสาวใช้เดินทางมาถึงจวนอ๋องฉี
อ๋องฉีกับพระชายาฉีไว้หน้าพวกเขามาก โดยออกไปต้องรับถึงประตูจวนด้วยตัวเอง
ทันทีที่ฮูหยินราชเลขาลงจากรถม้า ก็รีบตรงเข้าไปหาพระชายาฉี ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ซู่อิง ข้างนอกอาการเย็น ทำไมเจ้าถึงออกมาด้วยตัวเอง”
พระชายาฉีรู้แล้วว่าหลายปีมานี้ราชเลขาหลินสองสามีภรรยาเห็นนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ท่าทีจึงดูไม่กระตือรือร้นเช่นแต่ก่อน กล่าวเรียบๆ อย่างเฉยชาว่า “ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วง สุขภาพข้าดีขึ้นแล้ว ลมหนาวแค่นี้ยังรับได้อยู่”
ฮูหยินราชเลขาทำราวกับว่าไม่ได้ยินน้ำเสียงเฉยชาของนาง ยังแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเหมือนเดิม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าไม่รู้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้าไม่สบาย ข้าเป็นห่วงมากเพียงใด ทุกครั้งที่กลับจากจวนเจ้าไปก็มักจะนอนไม่หลับอยู่เสมอ”
ฮูหยินราชเลขาลดท่าทีของตัวเองลงอีก พระชาอ๋องฉีจะทำอะไรเกินเลยไปก็ไม่ค่อยดี ผ่อนคลายท่าทีลง กล่าวว่า “ตอนนี้สุขภาพร่างกายของข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงแทนข้าแล้ว”
หลินหันเยียนลงจากรถม้าโดยมีสาวใช้ช่วยพยุง เดินมาหยุดตรงหน้าของพระชายาฉีอย่างแช่มช้า ยอบกายลงคำนับนาง
พระชายาฉีเห็นนางซูบผอมไปมาก บอบบางราวกับจะโดนลมพัดปลิวไปตลอดเวลา ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เยี่ยนเอ๋อร์ ทำไมเจ้ามีสภาพเช่นนี้”
กลัวว่าหลินหันเยียนจะพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา ฮูหยินราชเลขารีบพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้เยียนเอ๋อร์โดนลมหนาว กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงได้ผอมลงไปบ้าง แต่ว่าท่านหมอบอกแล้ว ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ดูแลกันไปอีกสักพักก็จะดีขึ้น”
พระชายาฉีเห็นการเติบโตของหลินหันเยียนมาตลอด รู้ว่าสุขภาพร่างกายของนางแข็งแรง ในปีหนึ่งๆ มักไม่ค่อยป่วยไข้ บัดนี้เพียงแค่ไม่ได้เจอกันช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนเท่านั้น กลับผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวด เอื้อมมือไปจับมือของหลินหันเยียน กล่าวว่า “โตเป็นสาวแล้ว ทำไมยังไม่รู้จักดูแลตัวเอง ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ”
หลินหันเยียนฝืนยิ้มออกมา ทว่ามือกลับสั่นน้อยๆ
พระชายาฉีรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
หลินหันเยียนสั่นศีรษะ “หม่อมฉันเห็นท่านแข็งแรงสบายดี จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเพคะ”
น้ำเสียงของพระชายาฉีเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารเวทนา “เจ้าเด็กคนนี้ มีอะไรให้น่าซาบซึ้งใจ ร่างกายของตัวเองสำคัญที่สุด”
หลินหันเยียนตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงดึงมือที่ยังสั่นเทาของตัวเองออกมาอย่างไม่มีตำหนิ
อ๋องฉีกับราชเลขาหลินก็ได้ทักทายกันแล้ว ทุกคนจึงเดินเข้าไปในจวน
พวกนึกถึงท่าทางโหดเ**้ยมอำมหิตของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หลินหันเยียนยิ่งเดินเข้าไปในจวนยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ขาทั้งคู่เกิดไร้เรี่ยวแรงโดยไม่รู้ตัว สาวใช้ที่ช่วยประคองนางอยู่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ให้นางพิงตัวของตัวเองไว้ กัดฟัน แล้วพานางเข้าไปโดยมีแสดงความผิดปกติ
อ๋องฉีและคนอื่นเดินอยู่ข้างหน้า ไม่สังเกตเห็น หลินจ้งที่เดินตามหลัง กลับสังเกตเห็นความผิดปกติ รีบก้าวยาวๆ เข้าไปอยู่ข้างๆ หลินหันเยียน ส่งสายตาเป็นเชิงถามสาวใช้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สาวใช้ที่ใช้แรงทั้งหมดในการประคองหลินหันเยียนให้เดินไป หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเกาะพราว จับขาตัวเองด้วยมือข้างซ้าย
หลินจ้งมองไป เห็นสองขาของหลินหันเยียนดูเหมือนว่าจะไร้เรี่ยวแรง ขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกปวดใจมาก ตำหนิสาปแช่งหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
ทุกคนมาถึงห้องโถงรับแขก ทุกคนต่างก็ทักทายกันอีกครั้ง
วันนี้หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปที่กั๋วจื่อเจียน พอได้ยินว่าหลินหันเยียนมา ก็จะเข้าไปเล่นกับนางอย่างดีใจ พอเห็นท่าทางของนางก็ตกใจ หลุดปากถามขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าดูเหมือนซากศพเช่นนี้”
ภายในห้องโถงรับแขกเกิดเสียงกระแอมไอขึ้นมา
อ๋องฉีหน้าแดงก่ำ ตำหนิเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ อย่าไร้มารยาท”
หวงฝู่อวี้เกิดกระวนกระวายใจ ดึงมือหลินหันเยียนขึ้นโดยไม่สนใจอะไร “เจ้าไม่สบายหนักใช่หรือไม่”
หวงฝู่อวี้พาหลินหันเยียนไปที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น หลังจากกลับมาก็โดนหวงฝู่อี้เซวียนลงโทษอีก นับตั้งแต่นั้นหวงฝู่อวี้จึงไม่ได้เจอกับหลินหันเยียนอีก มีหลายครั้งที่อดใจไม่ไหวอยากแอบไปเยี่ยมนาง แต่ก็มักจะได้ยินเสียงเตือนจากหวงฝู่อี้เซวียนดังอยู่ข้างหูตลอดว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า แอบไปพบกับคุณหนูหลิน ข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาดไปข้างหนึ่ง” จึงต้องทำลายความคิดนั้นไปเสีย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอหน้ากัน เขาที่ทำอะไรผลีผลามย่อมคิดไม่ถึงว่าหลินหันเยียนจะตกใจจนล้มป่วยไปเช่นนี้ อีกทั้งผ่านมาระยะหนึ่งแล้วยังไม่ดีขึ้น
ตั้งแต่หลินหันเยียนเดินเข้ามาในจวนอ๋องฉี พอคิดว่าจะเจอกับหวงฝู่อี้เซวียน ก็รู้สึกขาอ่อน และตอนที่นางก้าวเท้าเข้าประตู พอนางเงยหน้าขึ้น ประจวบเหมาะกับสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนที่ปรายตามาทางด้านนางอย่างไม่ใส่ใจพอดี ตื่นตระหนกหัวใจสั่นสะท้าน หน้าซีดเผือด คนทั้งคนดูอ่อนแอลงอย่างน่าใจหาย
พอทุกคนได้ยินหวงฝู่อวี้พูดขึ้น ต่างก็มองดูหลินหันเยียนเป็นตาเดียว
รับรู้ได้ว่าสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจับจ้องมองตัวเองอยู่ หลินหันเยียนก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หน้าซีดขาวราวกับไม่มีสีเลือด หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา
ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่ากำลังป่วยหนักอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอย่างเย็นชา แล้วก็ละสายตากลับมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจมองมากนัก จากนั้นก็ลดสายตาลง
คนอื่นภายในห้องต่างก็ใช้สายตาจับจ้องมองที่นาง
ฉู่เหวินเจี๋ยวขมวดคิ้วมุ่น
ฮูหยินราชเลขารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ถ้าหากถูกคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าหลินหันเยียนป่วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าการรับบุตรบุญธรรมในวันนี้อาจจะมีสิ่งใดเปลี่ยนไป รีบเดินเข้าไปประคองหลินหันเยียนไว้ เอ่ยพูดขึ้น ทำลายความเงียบถายในห้อง อธิบายข้อสงสัยของทุกคน “หลายวันก่อนเยียนเอ๋อร์ตากลมหนาว สุขภาพร่างกายยังไม่ดีขึ้น จึงอ่อนแอไปบ้าง ดูแลไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว”
ทุกคนจึงพยักหน้าเข้าใจ
หวงฝู่อวี้ที่เป็นเพื่อนเล่นกับหลินหันเยียนตั้งแต่เด็กจนโต ได้มีนางอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวมานานแล้ว ดังนั้นจึงสังเกตทุกอย่างของนางเป็นพิเศษ
พอได้ยินฮูหยินราชเลขากล่าวเช่นนั้นก็สบายใจ แต่ก็ยังถามนางอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมบนหน้าผากของเจ้าถึงได้มีเหงื่อมากมายเช่นนี้”
ปกติฮูหยินราชเลขารู้สึกถูกชะตากับหวงฝู่อวี้มาก ไม่วางมาด มีไมตรีต่อคน ทั้งยังดีต่อหลินหันเยียนมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะดีจนเกินไป ทำให้ทุกคนเห็นความไม่ปกติของหลินหันเหยียนครั้งแล้วครั้งเล่า โมโหอยู่ในใจ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ค่อยดีนัก “คุณชายรอง ลูกหญิงไม่สบาย รบกวนท่านอย่าไปขวางทางนาง ให้นางได้นั่งพักสักครู่ดีหรือไม่”
หวงฝู่อวี้มีมีนิสัยโผงผางฟังไม่ออกว่านางมีน้ำเสียงไม่พอใจ กลับใช้มือพยุงหลินหันเยียนอย่างเคยชิน ในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เยียนเอ๋อร์ นั่งลงก่อน มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่ ให้เสด็จแม่ข้าเรียกมาหลวงมาตรวจดูการของเข้าไหม”
ฮูหยินราชเลขาพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ ถึงทนไม่ผลักหวงฝู่อวี้ออกไปต่อสายตาของทุกคน ได้แต่แกล้งยิ้มทว่าแววตาไม่ยิ้ม พูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บ้าง “ไม่รบกวนคุณชายรองแล้ว ลูกหญิงไม่เป็นอะไร พักผ่อนสักครู่ก็ดีขึ้น”
หวงฝู่อวี้มองดูหลินหันเยียนอย่างเป็นห่วง ท่าทางราวกับว่าไม่อยากเชื่อ
มือที่ฮูหยินราชเลขาช่วยประคองหลินหันเยียนบีบแรงขึ้น หลินหันเยียนไม่เข้าใจ หันไปมอง ฮูหยินราชเลขาจึงส่งสายตาเป็นความหมายให้นางไล่หวงฝู่อวี้ไป
หลินหันเยียนจึงเข้าใจ เอ่ยพูดขึ้นว่า “ขอบคุณคุณชายรอง ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว”
หวงฝู่อวี้กระวีกระวาดตอบรับขึ้นมา คิดจะประคองพานางไปนั่ง
ฮูหยินราชเลขาดึงมือเขาออกอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต แล้วก็ประคองพาหลินหันเยียนนั่งลงข้างๆ ตน
ในที่สุดก็ไม่รู้สึกถึงสายของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หลินหันเยียนจึงโล่งอก นั่งอยู่บนเก้าอย่างเรียบร้อย
อ๋องฉีเห็นทุกอย่างนี้แล้ว ขมวดคิ้ว ดุหวงฝู่อวี้ว่า “อวี้เอ๋อร์ ไปนั่งทางด้านนั้นให้เรียบร้อย”
หลินหันเยียนไม่ได้เป็นอะไร หวงฝู่อวี้จึงไม่ได้เป็นห่วงอะไรอีก พอได้ยินอ๋องฉีพูดขึ้น จึงรับคำ แล้วเดินไปนั่งข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน
ทุกคนต่างก็นั่งกันอย่างเรียบร้อย แล้วก็สนทนาปราศรัยกันอีกรอบหนึ่ง ฮูหยินราชเลขาเงยหน้าขึ้น เห็นว่าภายในห้องยังมีสตรีอีกหลายคนที่นางยังไม่รู้จัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย
พระชายาฉีทราบว่านางคิดเช่นไร จึงแนะนำให้นางรู้จักทีละคน เริ่มจากเฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้อง “นี่ก็คือฮูหยินน้อยเหวินกับน้องสาวของนางจากร้านยาเต๋อเหริน เถ้าแก่เหวินกับเหวินเจี๋ยเป็นเพื่อนที่สนิทกัน วันนี้จึงเชิญพวกเขามาร่วมพิธีโดยเฉพาะ”
เฝิงจิ้งเหวินสองคนพี่น้องลุกขึ้น แล้วคำนับนาง
ร้านยาเต๋อเหรินเป็นร้านขายยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง อีกทั้งฮูหยินราชเลขายังเคยได้ยินใต้เท้าราชเลขาพูดถึง ว่าร้านยาเต๋อเหรินยังเป็นผู้ดูแลเรื่องยาในกองทัพ ดูถูกไม่ได้ จึงแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม ยกมือเหมือนว่าจะประคองเฝิงจิ้งเหวินกลายๆ “ฮูหยินน้อยเหวินไม่ต้องมากพิธี”
ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ แล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
พระชายาฉีชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวขึ้นว่า “นี่ก็คือนางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์แม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลุกขึ้นไปคำนับ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดึงนางไว้ ส่งถ้วยน้ำที่ชาอยู่ในมือให้นาง กล่าวนุ่มนวลเอาอกเอาใจว่า “รอตั้งนาน คอแห้งแล้วกระมัง ดื่มน้ำก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาอย่างจนปัญญา รับถ้วยน้ำชามาดื่ม
ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในเมืองหลวง ฮูหยินราชเลขาก็สนใจเรื่องของนางมาตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าจริงๆ เสียที วันนี้ได้เห็น ว่านางน่าตาสวยอย่างทั่วๆ ไปเท่านั้น ห่างไกลจากคำว่าสาวงามล่มเมืองนัก ไม่รู้ว่าใช้เล่ห์กลมารยาอะไร ถึงได้ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนหลงเสน์ได้ จนทำให้เขาต้องทอดทิ้งบุตรสาวที่งดงามราวกับดอกไม้ของตนได้ โยเฉพาะเมื่อเห็นว่าวันนี้นางสวมใส่ชุดสีแดงสด ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา น้ำเสียงจึงฉายแววเย้ยหยันถากถางขึ้นว่า “ได้ยินชื่อเสียงแม่นางเมิ่งมานานแล้ว วันนี้ได้พบก็รู้สึกว่าสมคำร่ำลือ ขนาดชุดที่ใส่ยังดูพิเศษต่างจากผู้อื่น”
คำพูดนี้แม้ภายนอกจะฟังดูเหมือนชมเชย แต่ความจริงแล้วกลับกำลังถากถางที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จักกฎเกณฑ์ พิธีเช่นนี้ไม่เหมาะกับหญิงชนบทอย่างเจ้าที่จะเข้ามาร่วมงานสักนิด อีกทั้งยังใส่ชุดอย่างเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าภาพหลักถึงจะสามารถใส่ได้อีก นี่มองดูก็รู้ว่าไม่รู้จักความเหมาะสม ไร้การอบรมที่ดี
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เป็นคนฉลาด มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง หวงฝู่อี้เซวียนหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย พระชายาฉีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนเมิ่งเชี่ยนกลับยิ้มน้อยๆ ตอบกลับอย่างไม่อ่อนข้อไม่ก้าวร้าวเกินไปว่า “ขอบคุณคำชมของฮูหยินราชเลขาแล้ว อี้เซวียนกับข้าต่างก็คิดว่าชุดที่พระชายาทำให้นี้งดงามมาก”
เพียงประโยคเดียวแต่ก็มีความหมายซ่อนอยู่มากมาย หนึ่งคือเรียกชื่อเล่นของหวงฝู่อี้เซวียน เป็นการบอกกับฮูหยินราชเลขาว่าตัวเองนั้นได้รับความรักมากเพียงใด สองชุดนี้คือชุดที่พระชายาอ๋องเป็นคนทำ นี่พิสูจน์อะไรหลายอย่างได้โดยไม่ต้องอธิบาย
หากไม่กลัวว่าผิดกาลเทศะ เหวินซื่อก็คงจะปรบมือพร้อมทั้งร้องตะโกนว่าดีให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงคำพูดง่ายๆ ประโยคเดียวก็สามารถหยุดคำพูดถากถางจากฮูหยินราชเลขาที่กำลังจะพูดต่อจากนั้นได้หมด
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ฮูหยินราชเลขาถูกตอกกลับจนหน้าแดง อ้าปากพะงาบๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ใต้เท้าราชเลขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว แม้จะโกรธที่นางทำให้ฮูหยินของตนต้องอับอายต่อหน้าผู้คน แต่ถึงอย่างไรจิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่า รู้ว่าถ้าขืนยังพูดอีกต่อไปฮูหยินของตนคงไม่ได้ผลดีอะไร ครั้นแล้วจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราเริ่มพิธีเถอะ”
อ๋องฉีพยักหน้า หันไปมองทางด้านพระชายาฉี
พระชายาฉีกวักมือเรียกเป็นความหมาย สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังก็ยกถาดที่มีผ้าสีแดงคลุมอยู่มาข้างหน้านาง
พระชายาฉีเปิดผ้าสีแดงออก ข้างในนั้นคือหยกชิ้นหนึ่ง
ฮูหยินราชเลขาก็ส่งสัญญาณ สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ส่งของบางอย่างที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้า รับมา แล้วเปิดออก ข้างในนั้นก็คือหยกชิ้นหนึ่งเหมือนกัน
—————————-