ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 130 ปรึกษาหารือร่วมกัน
น้ำตาของเฝิงจิ้งซูไหลลงมาไม่หยุด
พระชายาฉียิ่งปวดใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้นาง
แต่ราวกับว่าเฝิงจิ้งซูหวาดผวาอะไรบางอย่างจึงถอยหลบทันที
พระชายาฉีไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ จึงได้แต่ส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมันเอาไว้ แล้วก็เข้าไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเฝิงจิ้งซู
เฝิงจิ้งซูขยับเข้ามาใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสองมือกอดกันไว้แน่น
ดูก็รู้ว่าเฝิงจิ้งซูตกใจมาก ไม่สามารถพูดคุยเรื่องต่อจากนี้ได้เลยจริงๆ แต่หากว่าวันนี้ไม่ตกลงเรื่องการแต่งงาน ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีข่าวลือแปลกๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างไรบ้างในเมืองหลวง พระชายาฉีขบกรามแน่น น้ำเสียงอ่อนโยนลงมากทีเดียว “แม่นางเฝิง เรื่องมาจนถึงขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว เมื่อครู่ข้ากับโยวเอ๋อร์เพิ่งจะคิดวิธีรับมือได้ เจ้าลองฟังดูก่อน หากเจ้ายอมก็ให้พยักหน้า แต่หากเจ้าไม่ยอมก็ถือเสียว่าพวกเราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เจ้าจะลงโทษเหวินเจี๋ยอย่างไรก็ได้”
เฝิงจิ้งซูมองนางด้วยดวงตาพร่า ผ่านหยดน้ำตาออกไป
“เหวินเจี๋ยไม่สนว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร เรื่องทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นความจริง หากเจ้ายินยอม พวกเราจะไปสู่ขอเจ้าที่จวนตระกูลเฝิงเดี๋ยวนี้เลย ให้เขาแต่งงานกับเจ้า เจ้าวางใจ พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าเหวินเจี๋ยยังไม่ได้แต่งงาน เพียงแค่เจ้าแต่งเข้าจวน ก็จะได้เป็นฮูหยินท่านแม่ทัพ”
เฝิงจิ้งซูหยุดสะอื้น อ้าปากเล็กๆ พร้อมกับมองไปที่พระชายาฉีอย่างประหลาดใจ แล้วก็มองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ย จากนั้นน้ำในตาก็ไหลออกมาอีก
“ถ้าแม่นางเฝิงไม่ยอม พวกเราก็ไม่บังคับ เจ้าลองดูว่าต้องการให้ชดใช้สิ่งใด ก็พูดขึ้นมาได้เลย ขอเพียงพวกเราสามารถทำได้ พวกเราก็จะรับปากเจ้า” พระชายาฉีกล่าว
เฝิงจิ้งซูที่ร้องไห้จนคอแห้ง น้ำเสียงแหบแห้ง พูดเสียงฟึดฟัดดังขึ้นจมูกเบาๆ ว่า “ข้าจะไปหาท่านพี่ข้า”
พระชายาฉีมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
คนรับใช้ที่อยู่ในห้องต่างก็ออกไปรับการสืบสวนทุกคน ไม่มีคนคอยรับใช้แม้แต่คนเดียว เฝิงจิ้งซูก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นไม่ยอมปล่อย
พระชายาฉีลุกขึ้น เตรียมที่จะเดินออกไปตามเฝิงจิ้งเหวินด้วยตัวเอง
ตอนที่เกินผ่านฉู่เหวินเจี๋ยนั้น ก็ส่งสายตาให้กับเขา
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามนางออกไปข้างนอก
“สวมใส่เสื้อผ้าของเจ้าให้เรียบร้อยก่อน ไปรอในเรือนข้างๆ รอให้ฮูหยินเหวินมาก่อน พวกเราค่อยมาปรึกษากันได้แล้ว เจ้าค่อยมา” พระชายาฉีกล่าว
ฉู่เหวินเจี๋ยก้มหน้าลง ถึงได้รู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่นั้นติดกระดุมผิด จึงรีบติดกระดุมใหม่อีกครั้ง กล่าวว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าหากแม่นางเฝิงไม่ยอม ท่านอย่าบังคับนาง ไม่ว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วจะมีผลเช่นไร ข้าจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว จะไม่เลี่ยงความผิดเด็ดขาด”
พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่อีก “เหวินเจี๋ย ตอนนี้ไม่เจ้าที่ควรจะรับผิดชอบ และเรื่องนี้ได้ทำร้ายแม่นางเฝิงอย่างร้ายแรง ที่ข้าให้เจ้าแต่งงานกับนาง ไม่ใช่กลัวว่าเจ้าจะไม่รับผิดชอบ แต่เป็นเพราะนึกถึงอนาคตของแม่นางเฝิง ถึงอย่างไรนางก็เสียตัวให้เจ้าแล้ว ต่อไปใครจะกล้าแต่งกับนางอีก”
ฉู่เหวินเจี๋ยเต็มไปด้วยความละอายใจ นิ่งเงียบไม่ปริปาก
พระชายาฉีไม่พูดอะไรอีก เดินบ่ายหน้าไปยังเรือนรับรอง
นานแล้วก็ยังไม่มีคนมา เหวินซื่อนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่ในเรือนรับรอง อีกทั้งยังมองออกไปนอกประตูไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิ่งจิ้งซูยังไม่กลับมา เฝิงจิ้งเหวินก็รู้สึกตงิดๆ ว่าอาจจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ผุดลุกขึ้นเช่นกัน กล่าวว่า “ท่านพี่ เราออกไปดูเถอะ บางทีอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับน้องโยวเอ๋อร์และซูเอ๋อร์”
พอนางพูดเช่นนี้ เหวินซื่อก็ชะงักฝีเท้า โบกมือ “เจ้าวางใจเถอะ ที่ไหนที่มีเด็กคนนั้นอยู่ มีแต่คนอื่นที่จะโชคร้าย”
เฝิงจิ้งเหวินขมวดคิ้ว “แต่ข้ารู้สึกไม่สงบ เหมือนจะรู้สึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนางทั้งสอง”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว นั่งทำใจให้สงบเถอะ คิดว่าอีกสักครู่น่าจะมาแล้ว”
พูดจบ พระชายาฉีก็เปิดม่านประตูเดินเข้ามา
ทั้งสองคนรีบคำนับ “พระชายาเหนียงเหนียง”
พระชายาฉีรับเข้าไปประคองเฝิงจิ้งเหวินขึ้น “ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย ฮูหยินเหวินไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เฝิงจิ้งเหวินยืนตัวตรง
พระชายาฉีมองหน้าเหวินซื่อแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับเฝิงจิ้งเหวินว่า “ฮูหยินเหวิน ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน ไม่ทราบว่าพวกเราจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่”
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกแปลกใจ พยักหน้าทันที
“ถ้าเช่นนั้นเถ้าแก่เหวินโปรดรอตรงนี้สักครู่” พระชายาฉีพูดกับเหวินซื่อ
เหวินซื่อพยักหน้า กลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย
พระชายาฉีพาเฝิงจิ้งเหวินเข้าไปในเรือนของตัวเอง เทน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง
เฝิงจิ้งเหวินตกใจที่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้ ลุกขึ้นยืน แล้วยื่นทั้งสองมือออกไปรับ “พระชายา ท่านเกรงใจไปแล้วเพคะ ไหนเลยหญิงชาวบ้านจะรับไหว”
พระชายาฉีผายมือเป็นความหมายให้นางนั่งลง
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกได้ว่าพระชายาอ๋องมีท่าทีที่แปลกไป ใจเต้นตึกตักราวกับเสียงกลอง นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่สงบใจ
พระชายาฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินเหวิน มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดกับท่านอย่างไรดี”
“พระชายามีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ ได้เพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน”
สีหน้าของพระชายาฉีเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี”
เห็นนางพูดจาลังเลเช่นนี้ ในใจของเฝิงจิ้งเหวินยิ่งบังเกิดความไม่สบายใจมากขึ้น ฝืนยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีกัดฟัน แล้วจึงเล่าเรื่องที่เฝิงจิ้วซูโดนวางยา แล้วฉู่เหวินเจี๋ยก็โดนยาเสน่ห์เข้าไปเช่นกันจนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เล่าให้นางฟังโดยไม่ปิดบัง
เฝิงจิ้งเหวินผุดลุกขึ้นยืนทันที ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ น้องสาวหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
พระชายาฉีก็ลุกยืนขึ้นตาม “สถานการณ์ทางด้านน้องสาวของเจ้าไม่ดี เอาแต่ร้องไห้”
“หม่อมฉันจะไปดู!” เฝิงจิ้งเหวินวิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน
“ฮูหยินเหวิน” พระชายาฉีร้องตามหลัง “ท่านหยุดก่อน ข้ายังมีเรื่องที่จะปรึกษากับท่าน”
“ปรึกษาอะไร มีอะไรที่ต้องปรึกษา นี่เป็นวิธีต้อนรับแขกของพวกท่านพระชายาอ๋องหรือ ทำให้น้องสาวข้าประสบเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ รู้ไหมว่านางเพิ่งจะอายุสิบห้าปีเอง พวกท่านจะให้นางมีชีวิตต่อไปอย่างไร” เฝิงจิ้งเหวินหันกลับมาตอบทันควัน ตะเบ็งเสียงดังลั่น ร้องถามขึ้น
“เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงควรที่จะปรึกษากันก่อนให้ดี ดูว่าจะทำอย่างไรถึงดีต่อน้องสาวท่านที่สุด”
เฝิงจิ้งเหวินหันกลับมา เดินเข้ามาใกล้พระชายาฉี ร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดีต่อน้องสาวข้าทั้งนั้น ผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไป น้องสาวที่น่ารัก ไร้เดียงสา ไร้ความกังวลวุ่นวายใจจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
พระชายาฉีไม่โกรธ เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ฮูหยินเหวิน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงพวกเราจะมามัวเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราคิดถึงวิธีจัดการที่ดีได้แล้ว ท่านจะไม่ใจเย็นแล้วลองฟังข้าพูดหน่อยหรือ”
เฝิงจิ้งเหวินยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้น “ดี วิธีการแก้ปัญหาเช่นนั้นหรือ จะบอกให้พวกท่านรู้ ต่อให้พวกท่านเป็นอ๋องสูงศักดิ์กับแม่ทัพใหญ่ ตระกูลเฝิงของเราก็ไม่เกรงกลัวท่าน อย่างมากพวกเราก็สู้กันอย่างมัจฉาตายตาข่ายขาด* อย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้น้องสาวต้องโดนลบหลู่เกียรติไปโดยเปล่า”
“ฮูหยินเหวิน ท่านผลีผลามเกินไป พวกเราไม่เคยคิดว่าจะใช้อำนาจไปบีบบังคับพวกท่าน พวกเราเพียงแต่คิดที่จะให้แม่นางเฝิงโดนทำร้ายน้อยที่สุด”
เห็นชัดว่าเฝิงจิ้งเหวินไม่เชื่อ “น้องสาวข้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว พวกท่านจะทำอย่างไรนางถึงจะได้รับความเสียหายน้อยที่สุด”
“แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้ชดใช้”
“ชดใช้อย่างไร เอาอะไรมาชดใช้ ต่อให้สังหารฉู่เหวินเจี๋ยไปตอนนี้ก็ชดใช้ไม่ได้” เฝิงจิ้งเหวินสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นไปแล้ว หลุดปากพูดออกมา
นางพูดจบ พระชายาฉีก็มีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงที่พูดออกไปก็ดุดันขึ้นหลายส่วน “ฮูหยินเหวิน เกิดเรื่องเช่นนี้ในจวนกับน้องสาวท่าน พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องกับเซวียนเอ๋อร์ก็ได้ไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าไม่นานก็จะให้คำตอบกับท่านได้ เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว ว่าเหวินเจี๋ยโดนวางยาเสน่ห์ ทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าจงใจรังแกน้องสาวของท่าน เรื่องนี้ถึงท่านจะไปฟ้องร้องกับศาลยุติธรรมแล้วอย่างไร อย่างมากก็ได้รับโทษโบยแค่ห้าสิบไม้เท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายแค่เหวินเจี๋ยทั้งหมด แต่หากทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีผลดีต่อน้องสาวท่านแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้ต่อไปนางอยู่ในเมืองหลวงจะไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นได้ วิธีแก้ปัญหาที่พวกเราคิดได้ในวันนี้ ถึงแม้จะไม่ดีที่สุด แต่ก็จะไม่ทำลายชื่อเสียงของนางเด็ดขาด”
เฝิงจิ้งเหวินกล่าวเช่นนั้นออกไปเพราะความโกรธ ตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง จะต้องรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่ที่รบสำเร็จมากมาย นางกล้าพูดด้วยถ้อยคำที่ไม่ให้เกียรติออกมา หากเป็นเมื่อก่อน คงต้องถูกลากตัวไปนานแล้ว โชคดีที่วันนี้พวกเรารู้สึกผิด จึงไม่ได้โทษนาง แต่ว่า นางก็ไม่เกรงกลัวมากนัก
เฝิงจิ้งเหวินยืดตัวตรง กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ได้ ท่านว่ามา ข้ากำลังฟัง หากไม่เป็นผลดีต่อน้องสาวข้า ข้าก็จะสู้กับพวกท่านจนสุดชีวิต”
พระชายาฉีกลับไปที่โต๊ะ ผายมือเป็นความหมายบอกให้นางนั่งลง “ฮูหยันเหวิน ท่าทางเช่นนี้ของท่านไม่เหมือนท่าทางที่จะพูดคุยกันเลย ท่านใจเย็นก่อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง”
ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเฝิงจิ้งซูเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฝิงจิ้งเหวินก็กระวนกระวายจนมือไม้พันกันแล้ว วันนี้เพียงแต่มีความโกรธที่ช่วยประคองอยู่ ตัวเองถึงได้ไม่เป็นลมล้มไปกับพื้น พอได้ยินคำพูดของพระชายาฉี ก็เดินกลับมานั่งลงเก้าอี้ สูดหายใจเข้าหลายครั้ง “เชิญพระชายาพูดเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่”
พระชายาฉีก็นั่งลงเช่นกัน กล่าวว่า “เรื่องที่เหวินเจี๋ยยังไม่แต่งงานเจ้าทราบหรือไม่”
เรื่องนี้รู้กับทั่วทั้งเมืองหลวง เฝิงจิ้งเหวินเองก็ไม่ต่างกัน พยักหน้า “ทราบ”
“ข้าคิดว่าจะให้เหวินเจี๋ยสู่ขอแม่นางเฝิงมาเป็นฮูหยินแม่ทัพ…”
ยังพูดไม่จบ เฝิงจิ้งเหวินก็ผุดลุกขึ้นทันที เบิกตากว้าง ถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ท่านว่าอะไรนะ”
พระชายาฉีพูดขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินเหวินไม่ได้ฟังผิดไป ข้าคิดว่าจะให้เหวินเจี๋ยไปสู่ขอแม่นางเฝิงมาเป็นฮูหยินแม่ทัพ”
เฝิงจิ้งเหวินอ้าปากค้าง ขยับปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
พระชายาฉีถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าแม่นางเฝิงอายุยังน้อย แต่งงานกับเหวินเจี๋ยนั้นลำบากนางไปบ้าง ข้าขอรับรองกับเจ้า ขอเพียงนางแต่งเข้าจวน เหวินเจี๋ยจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี และชั่วชีวิตนี้จะแต่งงานกับนางเพียงคนเดียว ไม่มีอนุเป็นอันขาด”
เฝิงจิ้งเหวินคิดไม่ถึงว่าที่พวกเขาบอกว่าวิธีการแก้ปัญหาก็คือให้เฝิงจิ้งซูแต่งงานกับฉู่เหวินเจี๋ย ต้องรู้ ว่าฉู่เหวินเจี๋ยนั้นรบชนะศึกมากมาย มีชื่อเสียงเกรียงไกร เป็นคนในดวงใจของหญิงสาวน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลวง เพียงแค่เขาพูดว่าต้องการแต่งงาน ไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าสตรีชาวบ้านยากจนเลย แม้แต่สตรีที่เป็นบุตรสาวของขุนนางที่มีอายุพอที่จะแต่งงานได้ก็พากันต่อแถวตั้งแต่หน้าประตูเมืองทิศใต้ยาวไปจนถึงประตูเมืองทิศเหนือ บัดนี้โชคกลับหล่นทับน้องสาวของตัวเอง เฝิงจิ้งเหวินไม่กล้าเชื่อ ตกตะลึง
พระชายาฉีกลับเข้าใจนางผิดไป ขมวดคิ้วมุ่น “ข้ากับโยวเอ๋อร์ต่างก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อแม่นางเฝิง ฮูหยินเหวินไม่ยอมหรือ”
เฝิงจิ้งเหวินได้สติกลับคืนมา โบกมือพัลวัน น้ำเสียงที่ดุเดือดลดน้อยลง มีความตื่นเต้นดีใจมากขึ้นหลายส่วน “ไม่ใช่ ไม่ใช่ หม่อมฉันเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวิธีแก้ปัญหาที่ท่านพูดถึงคือวิธีนี้ หม่อมฉันคิดว่า คิดว่า…”
เมื่อได้ยินว่านางไม่ปฏิเสธ พระชายาฉีก็ถอนหายใจโล่งอก “ฮูหยินเหวินไม่ปฏิเสธก็ดีแล้ว ข้าพูดเรื่องนี้กับน้องสาวของท่านแล้ว นางเพียงแต่ร้องไห้ บอกว่าอยากเจอท่าน ข้าก็ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร หวังว่าอีกสักครู่เมื่อท่านได้พบกับน้องสาวของท่านแล้วจะพูดจาหว่านล้อมนาง แม้ว่าเหวินเจี๋ยจะอายุมากไปบ้าง แต่ก็รู้จักทะนุถนอมคนท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ไม่อยู่แล้ว รอให้น้องสาวของท่านแต่งงานเข้าจวนแล้ว ทุกอย่างภายในจวนให้นางเป็นผู้จัดการ คงไม่มีเรื่องวุ่นวาย”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าหงึกหงัก “หม่อมฉันทราบแล้ว ทราบแล้วเพคะ อีกสักครู่ตอนที่พบน้องสาว จะต้องเกลี้ยกล่อมนางแน่นอน”
พระชายาฉีลุกขึ้น “ถ้าเช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ อันที่จริง ข้าเห็นน้องสาวท่านร้องไห้เช่นนั้น ข้าก็ปวดใจไม่น้อย”
เฝิงจิ้งซูก็ลุกขึ้น เดินตามหลังพระชายาฉีมาถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน
เฝิงจิ้งซูหยุดร้องไห้แล้ว เพียงแต่ซบอยู่ในอ้อมแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวสะอื้นไม่หยุด ดวงตาทั้งคู่ผ่านการร้องไห้จนแดงก่ำ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกปวดใจไม่น้อย
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เฝิงจิ้งซูเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นเฝิงจิ้งเหวินก็ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ร้องตะโกนขึ้นว่า “พี่ใหญ่!”
แม้ว่าเฝิงจิ้งเหวินจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว พอเห็นความสกประเละเทะภายในห้องก็ตกใจมาก เดินไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าของเฝิงจิ้งซู โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน “ซูเอ๋อร์ พี่มาช้าไป”
พอนางพูดออกมาเฝิงจิ้งซูก็ร้องไห้โฮ ร้องเรียกพี่ขึ้นไม่หยุด
คิดว่านางเมื่อกี้นี้นางต้องเจอกับอะไร เฝิงจิ้งเหวินก็ปวดหัวใจ น้ำตาไหลออกมาอย่างทนไม่ได้
ในที่สุดเฝิงจิ้งซูก็เห็นคนในครอบครัวของตัวเอง ครั้งนี้ได้ระบายความกลัว ความอัดอั้นตันใจ ความเสียใจ การไร้การช่วยเหลือพรั่งพรูออกมาจนหมด ร้องไห้ปานว่าแผ่นดินจะถล่มทลาย จนเกือยจะเป็นลมถึงได้หยุด
เฝิงจิ้งเหวินลูบหลังนางเบาๆ น้ำตาไหลไปกับนาง
—————————-
* มัจฉาตายตาข่ายขาด(鱼死网破)หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย