ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 136 ข้าชอบใจนัก
พระชายารองกล่าวอย่างอาลัยว่า “มอมอ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าขอให้ความตายเป็นจุดจบ มิเช่นนั้นก็จะพาลให้เสด็จพ่อและพี่ใหญ่เดือดร้อนไปด้วย ท่านอ๋องกำลังโกรธมาก ไม่มีทางปล่อยคนที่จวนมหาเสนาบดีไปหรอก หากข้าตายไปสักคนทุกอย่างก็คงจบ จวนของมหาเสนาบดีก็ปลอดภัย ส่วนอวี้เอ๋อร์นั้น เขาเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋อง สองแม่ลูกชั้นต่ำนั่นคงมิกล้าทำอะไรเขาหรอก”
มอมอใกล้จะสิ้นลมแล้ว ตอนนี้แค่หายใจก็ยังลำบาก แม้อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้านางอีกครั้งก็ยังไม่มีแรงพอ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้ากระนั้นแล้ว ข้าน้อยก็ขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปรอนายหญิงที่ตรงนั้น รอนายหญิงตามมา” พูดจบมือที่ยกขึ้นมาก็ร่วงลง หมดลมหายใจลงในที่สุด
พระชายารองน้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องอย่างเจ็บปวดว่า “มอมอ!”
กระดูกทั้งร่างของชุ่ยเหลียนถูกทุบจนหักหมดแล้ว นางรู้ว่ามอมอสิ้นลมแล้ว แต่กลับไม่มีแรงจะคลานมาหา นางสูดหายใจเข้า ใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ พูดอย่างเสียใจว่า “มอมอ!”
พระชายารองได้สติกลับมา นางรีบถามไปว่า “ชุ่ยเหลียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชุ่ยเหลียนไม่มีแรงส่ายหน้า นางอ้าปากหลายครั้งถึงพูดออกมาว่า “นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยเจ็บเหลือเกิน ท่านได้โปรดสงเคราะห์ข้าด้วยเถิด”
พระชายารองส่ายหน้าระรัว น้ำตาไหลพรากออกมา “ไม่ ไม่ ไม่…”
ตอนนี้มีเพียงดวงตาของชุ่ยเหลียนเท่านั้นที่ยังขยับไปมาได้ นางมองพระชายารอง “นายหญิง กระดูกทั้งร่างของข้าถูกตีจนหักหมดแล้ว ตอนนี้ข้าตายดีกว่าอยู่ ได้โปรดเถิด ส่งให้ข้าได้ไปสบาย อย่างน้อยข้าจะได้รีบตามมอมอไป ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง”
พระชายารองส่ายหน้า
ชุ่ยเหลียนขอร้องอีกครั้ง “นายหญิง ชุ่ยเหลียนขอร้องท่าน ได้โปรดสงเคราะห์ข้าด้วยเถิด ชาติหน้าฉันใดข้าจะกลับมาเป็นข้ารับใช้ท่านอีก”
พระชายารองหยุดส่ายหน้า จ้องมองนางนิ่งๆ
ชุ่ยเหลียนพูดไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงกรอกสายตาไปมา ขอร้องให้พระชายารองให้ส่งนางไปสบาย
พระชายารองค่อยๆ ยืนขึ้น เดินไปที่เตียง หยิบหมอนแล้วเดินกลับมาที่เดิม นางคุกเข่าลงตรงหน้าชุ่ยเหลียน พูดทั้งน้ำตาว่า “ชุ่ยเหลียน เจ้ากับมอมอไปกันก่อน อีกไม่นานข้าจะตามพวกเจ้าไป”
ชุ่ยเหลียนยิ้มออกมา กะพริบตาให้นางเพื่อบอกว่าตนรับรู้แล้ว
พระชายารองกัดฟัน ใช้หมอนปิดจมูกของนาง ชุ่ยเหลียนไม่ดิ้นรนขัดขืน และหมดลมไปในที่สุด น้ำตาเม็ดโตของพระชายารองหยดลงบนหมอน ในห้องมีแต่ความเงียบงัน เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พระชายารองถึงได้วางหมอนลง นางนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างร่างไร้วิญญาณของทั้งสองด้วยสายตาเหม่อลอย
เมื่ออ๋องฉีเดินออกมาจากเรือนพระชายารอง ก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
ฝีเท้าของพระชายาหยุดลลงเล็กน้อย นางพาคนจำนวนหนึ่งไปที่ห้องของนาง
หลังจากพ่อบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จึงเดินมาถามว่า “นายหญิง จะจัดการกับเหลียนเซียงอย่างไรดีขอรับ”
“ขายนางไปเถอะ!” พระชายากล่าว
พ่อบ้านตอบรับ
พระชายายังพูดต่อว่า “ไปเก็บกวาดเรือนเต๋อซิน ให้ซื่อจื่อไปพักที่นั่นชั่วคราว”
ฉู่เหวินเจี๋ยและเฝิงจิ้งซูทำเรื่องแบบนั้นในหอนอนของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เซวียนจะกลับไปนอนที่นั่นอีกได้อย่างไร
พ่อบ้านเองกำลังจะถามถึงเรื่องนั้น เมื่อได้ยินพระชายาพูดแล้ว จึงได้โค้งคำนับและจากไปเพื่อสั่งให้คนไปเก็บกวาดจวนเต๋อซิน
อันที่จริงแล้ววันนี้ควรจะเป็นวันที่ดี ในที่สุดก็สามารถยกเลิกงานสมรสของหวงฝู่อี้เซวียนไปได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่พระชายารองสารภาพสิ่งที่ตนเองได้ทำมาตลอดหลายปี ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องทำให้ทุกคนต้องตกใจ พระชายารู้สึกเสียขวัญเป็นอย่างมาก เอื้อมมือไปคว้ามือของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ “โยวเอ๋อร์ หากไม่ได้เจ้าป่านนี้เซวียนเอ๋อร์ก็คงได้รับพิษยานั่นแล้ว ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี”
คนที่ปกติแล้วเป็นคนจริงจังอย่างหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยอมเล่นมุขเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง และเพื่อขจัดเอาความเครียดในใจของพระชายาออกไป “ข้าก็เอาตัวข้ามอบให้นางแล้วอย่างไรล่ะ เสด็จแม่ไม่ต้องขอบคุณนางหรอกขอรับ”
พระชายายิ้มออก มองค้อนเขาเล็กน้อย “เจ้าน่ะ หากภายหน้าเจ้าทำเรื่องให้โยวเอ๋อร์ต้องเสียใจ แม่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนตกปากรับคำทันที “ท่านแม่วางใจได้เลย ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด”
ในที่สุดก็มีเรื่องดีขึ้นเสียที พระชายาได้ระบายเรื่องที่อยู่ในใจออกมา ก็รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ยที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ จึงถามว่า “เหวินเจี๋ย เดี๋ยวคืนนี้ให้โยวเอ๋อร์ไปที่จวนตระกูลเฝิง เพื่อถามความเห็นของพวกเขา เจ้าเตรียมใจเอาไว้ ถ้าแม่นางเฝิงไม่ตกลง พวกเราก็มิอาจบังคับขืนใจได้ ให้พวกเขายื่นข้อตกลงมาตามสะดวก แต่หากยอมรับ เจ้าก็เตรียมตัวเรื่องสินสอด และไปสู่ขอนางเสีย”
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดว่า “ท่านพี่ ข้าคิดเอาไว้แล้ว หากแม่นางเฝิงไม่ยอมรับเรื่องนี้ วันรุ่งข้าจะไปพบฮ่องเต้และลาออกจากการเป็นแม่ทัพ ข้าจะออกจากเมืองหลวง และจะไม่กลับมาอีก”
“เจ้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร” พระชายาตกใจจนยืนขึ้น พูดว่า “วันนี้จวนแม่ทัพก็เหลือแค่เจ้ากับข้าสองคนพี่น้อง หากเจ้าจากไปแล้ว พี่จะทำอย่างไร? หากยังไม่มีการตอบรับจากจวนตระกูลเฝิง เจ้าก็ห้ามมีความคิดเช่นนี้”
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาเป็นดังเดิม พูดว่า “ปกติแล้วข้าเข้มงวดกับทหารมาก มิยอมให้เกิดเรื่องที่เหล่าพลทหารไปรังแกแม่นางที่ใดเป็นอันขาด แต่วันนี้ข้ากลับทำความผิดเสียเอง หากไม่ลงโทษตัวเอง ภายภาคหน้าข้าจะกล้ามองหน้าพลทหารได้อย่างไร ข้าตัดสินใจดีแล้ว ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย หากข้าจากไปแล้วข้าจะส่งข่าวมาบอกอย่างสม่ำเสมอ”
พระชายากำลังจะเปิดปากพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวชิงพูดก่อน “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นผู้ที่ใจกล้าและมีความรับผิดชอบ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีความคิดที่ไม่รับผิดชอบเช่นนี้ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านได้ทำให้ซูเอ๋อร์มีมลมิน แล้วท่านก็จากไปเช่นนี้ นางจะทำอย่างไรต่อไป ชื่อเสียงของท่านนั้นรู้กันไปทั่ว คนที่เคารพท่านก็มีมาก แม้ว่าพวกเราจะทราบกันดีว่าเรื่องวันนี้ความจริงคืออะไร แต่คำคนนั้นน่ากลัวนัก จะพูดต่อกันว่าอย่างไรก็มิรู้ได้ บางทีอาจจะพูดต่อกันไปว่าซูเอ๋อร์เป็นคนยั่วยวนท่านเองก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นนางจะทำเช่นไร ตระกูลเฝิงจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้อย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้คิดรอบคอบขนาดนี้ จึงอึ้งจนพูดไม่ออก เป็นเวลานานจนกว่าจะพูดออกมาได้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร”
“ท่านแม่ทัพคิดว่าซูเอ๋อร์เป็นคนอย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับย้อนถามเขาด้วยคำถามนี้
ฉู่เหวินเจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้จะทำเช่นไร
พระชายาตอบแทนว่า “นางเป็นเด็กดี นิสัยตรงไปตรงมา น่ารัก อารมณ์ดี ใจกว้าง ไม่เสแสร้ง ข้าชอบนาง”
“ท่านแม่ทัพหล่ะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถามฉู่เหวินเจี๋ยต่อ
ผิวสีคล้ำของฉู่เหวินเจี๋ยมีสีแดงระเรื่อออกมา สีหน้าเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็มีแผนให้ท่าน วันพรุ่งท่านจงนำขบวนขันหมากไปทำการสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง หากแม่นางซูเอ๋อร์ไม่ยอม ท่านก็ใช้ตำแหน่งของท่านเข้าข่ม นางเป็นคนใสซื่อ หากท่านดีกับนางรักและดูแลนางดี ไม่นานนางจะต้องยอมยกใจให้ท่านเป็นแน่”
“ความคิดนี้ดี” พระชายาเห็นด้วยเป็นอย่างมาก “อย่างนี้ถือเป็นการให้เกียรติตระกูลเฝิง แล้วยังสามารถสู่ขอแม่นางซูอย่างสมศักดิ์ศรีด้วย” ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี จึงรีบพูดต่อว่า “เหวินเจี๋ย เจ้าอย่ามัวแต่นั่งพัก รีบกลับไปเตรียมเรื่องสินสอด วันพรุ่งข้าจะไปทำเรื่องสู่ขอกับเจ้า ต่อให้พวกเขาไม่ไว้หน้าแม่ทัพอย่างเจ้า อย่างน้อยก็ต้องไว้หน้าคนจากจวนอ๋องอย่างข้า การสู่ขอต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน”
ฉู่เหวินเจี๋ยไม่เคยให้อำนาจข่มขู่ผู้ใดมาก่อน จึงทำให้สับสนชั่วครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบเสริมไปว่า “ท่านแม่ทัพอย่าลังเลอีกเลย รีบกลับไปเตรียมสินสอดเถิดเจ้าค่ะ เรื่องการสมรสยิ่งตกลงกันเร็วเท่าไรยิ่งดี หากยืดเยื้อออกไป มีคนนินทาว่าแม่นางเฝิงมีครรภ์จะเป็นเรื่องใหญ่”
เมื่อพูดถึงเรื่องลูก ความลังเลของฉู่เหวินเจี๋ยก็หายไป รีบลุกยืนขึ้น “ได้ ข้าจะรีบกลับไปเตรียมสินสอดเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งข้าจะไปทำการสู่ขอแม่นางเฝิง” พูดจบ ก็เดินออกไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะกล่าวลาพระชายาเลย
เห็นท่าทีรีบร้อนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวแอบยิ้มอยู่ผู้เดียว หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาเอ็นดู แล้วส่ายหัวเล็กน้อย พระชายาก็ดีใจจนยิ้มออกและต้องเชยชมนาง
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้ว พูดว่า “อี้เซวียน อี้เอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมาเลยใช่ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนทำท่านึก และพบว่าไม่ได้เห็นหวงฝู่อี้มาพักใหญ่แล้ว จึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ ข้าก็มาหาเจ้าที่จวนท่านแม่ทัพจากนั้นก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย”
“ข้าให้เขาไปเอายาน่ะ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก”
พระชายาและหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้เล่าเรื่องที่เฝิงจิ้งซูถูกวางยา จึงพานางไปที่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็วิ่งออกมาหาหวงฝู่อี้เซวียน และได้เจอกับหวงฝู่อี้พอดี จึงสั่งให้เขาไปซื้อยาให้ทั้งสองฟัง เล่าจบก็ขมวดคิ้ว “เขาออกไปใช้เวลามิใช่น้อยแล้ว ต่อให้ไปซื้อยาจากทั่วทั้งเมือง ก็ควรกลับมาได้แล้ว”
นางเพิ่งพูดจบ เสียงของหวงฝู่อี้ที่ถามหาหลิงหลงก็ดังขึ้น “แม่นางหลิงหลง ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งอยู่ด้านในหรือไม่”
ไม่ต้องรอหลิงหลงตอบรับ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน แต่เมื่อเห็นหวงฝู่อี้ก็ต้องใจหาย หวงฝู่อี้ไม่เพียงเสื้อผ้าท่อนบนขาดรุ่งริ่ง แต่ใบหน้าที่ขาวสะอาดก็มีรอยม่วงช้ำ บนหน้าผากยังมีรอยเลือดซึมออกมาอีก
เมื่อเห็นทั้งสองคน หวงฝู่อี้ก็เดินโซเซเข้ามาหา พร้อมชูห่อยาขึ้นมา “แม่นางเมิ่ง ข้ากลับมาช้าไปเสียหน่อย”
“เจ้าไปทำกระไรมาเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความห่วงใย
หวงฝู่อี้หลบสายตาเขา “ตอนข้าออกไปเอายา ม้าเกิดพยศขึ้นมา ข้าเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับชาวบ้าน จึงรีบกระโดดลงจากม้าและไปห้ามม้าไว้จึงเป็นเช่นนี้ แต่ข้าเพียงผิวถลอกเล็กน้อย ไม่มีอะไรมาก ซื่อจื่อมิต้องเป็นกังวลขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเชื่อคำพูดของเขา เมื่อตรวจดูร่างกายของเขาแล้วพบว่ามิได้เป็นกระไรมากจึงวางใจ พูดว่า “เจ้าไป…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทของเขา จ้องไปที่หวงฝู่อี้ “อี้เอ๋อร์ อี้เซวียนเห็นเจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะไม่ปิดบังเขาไม่ว่าเรื่องใด มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเจ้าคงรู้ดี”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง
หวงฝู่อี้กลืนน้ำลาย ก้มหัวลง พูดด้วยเสียงเบาว่า “ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้ซื่อจื่อเดือดร้อนก็เท่านั้น”
“เจ้าอยู่กับเขามาหลายปี มิรู้หรือว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อปัญหา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้พูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม “แต่วันนี้ที่จวนเกิดเรื่องขึ้นมิใช่หรือขอรับ”
“อี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกเขา
หวงฝู่อี้เงยหน้า
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจริงจัง พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าจะผิดบังข้าหรือ”
หวงฝู่อี้อึ้งเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “ข้ามิปิดบังพี่ใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “พูดสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้บอกเรื่องราวทั้งหมดตามสัตย์จริงโดยไม่ลังเล “แม่นางเมิ่งสั่งให้ข้าไปซื้อยา ข้าจึงขี่ม้าของจวนไปยังร้านยาที่ใกล้ที่สุด เมื่อพ่อค้าจัดยาให้เรียบร้อยแล้วข้าก็ถือห่อยามาและรีบเดินกลับ จู่ ๆ ก็มีชายกำยำโผล่ออกมา และมาแย่งห่อยาไปจากมือข้า พร้อมทั้งใช้เท้าเหยียบขยี้จนเละ หนำซ้ำยังข่มขู่พ่อค้าว่าห้ามมิให้จัดยาให้กับข้าอีก มิอย่างนั้นจะทำลายร้านยาของเขา เจ้าของร้านยาไม่อยากมีเรื่องกับพวกมัน จึงไม่ขายยาให้ข้า ข้าจึงไปซื้อยาที่ร้านอื่น แต่พวกมันตามข้าไปด้วย ร้านยาละแวกนั้นจึงไม่มีใครขายยาให้ข้า ข้าจึงไปจัดการกับพวกมันด้วยความใจร้อน จึงถูกพวกมันทำร้ายแบบนี้”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งขรึมขึ้น ถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าพวกมันคือผู้ใด”
หวงฝู่อี้ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ตอนสุดท้ายข้าไปร้านยาเต๋อเหรินจึงได้ยามา”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน เรื่องนี้ค่อยเห็นได้ชัดว่ามีคนไม่ต้องการให้หวงฝู่อี้ซื้อยาได้สำเร็จ นอกจากพระชายารองแล้ว หากจะมีใครสักคนรู้แผนการณ์นี้ก็คงจะต้องเป็น…
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปากพูด “อี้เอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ สองสามวันต่อจากนี้ก็อย่าเพิ่งไปเข้าเฝ้าใกล้ชิด เดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านไปตามหมอมาให้เจ้า ให้เขาตรวจเจ้าโดยละเอียดอีกรอบ”
“ขอบพระทัยซื่อจื่อ แต่มิจำเป็นหรอกขอรับ มีแต่แผลถลอกเท่านั้น นอนพักวันเดียวก็หาย” หวงฝู่อี้ยกมือปราม
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ตอแย เขาพยักหน้า “ไปเถอะ กลับไปพักผ่อนได้”
หวงฝู่อี้ตอบรับ หันหลังกำลังจะเดินไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนนึกขึ้นได้ว่าตนเองได้ย้ายหอนอนแล้ว จึงสั่งว่า “ข้าย้ายไปพักที่เรือนเต๋อซินเป็นการชั่วคราว เจ้าไปที่นั่นเถอะ”