ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 149 ท่านแม่ทัพแต่งเมีย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางตกใจของทั้งสองแล้ว กล่าวว่า “หากพูดอีกมุมหนึ่ง ฮั้วเซียงหลิงก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง หลงใหลในตัวเหวินเปียวมากเกินไป จึงทำให้กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่ถ้าพูดอีกอย่าง นี่ก็เป็นเพราะปกตินายท่านฮั้วตามใจนางมากเกินไป ไม่ว่านางต้องการอะไรไม่มีสิ่งใดที่นางไม่ได้ จึงทำให้นางเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ หวังว่าวันนี้ หลังจากที่นางกลับจวนไปแล้ว นายท่านฮั้วจะจัดการอบรมสั่งสอนนางให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นนางจะเป็นตัวปัญหาใหญ่”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าเห็นด้วย “สมควรสั่งสอนดีๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้กับครอบครัวแน่ๆ”
ทั้งสามพูดคุยกัน จนรถม้าได้มาถึงหน้าร้าน ลงจากรถม้า ทั้งสามเดินเข้าไปในร้าน
ใกล้ปีใหม่แล้ว คุณหญิง คุณนายทั้งหลายล้วนต้องการสั่งผ้าไหมเพื่อตัดเสื้อผ้าไว้ใส่ในวันปีใหม่ ฉะนั้นลูกค้าในร้านจึงเยอะมาก ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องผู้จัดการร้านที่กำลังยุ่งดูแลแขกไม่ได้เพ่งมองดีๆ รีบเดินมาทักทายทั้งสามท่าน “คุณนาย คุณผู้หญิง พวกท่านต้องการ…” พอเห็นหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวชัดๆ แล้ว รีบเรียกออกมาว่า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ตรัสสั่งว่า “นำผ้าไหมชั้นดีที่มาใหม่ในร้านมาให้พวกเราดู”
ผู้ดูแลร้านรับคำสั่งอย่างตั้งใจ เชิญทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องที่ทางร้านจัดไว้ต้อนรับแขกพิเศษโดยเฉพาะ ไปเตรียมน้ำชาด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็นำผ้าไหมชั้นดีหลายชนิดของร้านมาให้ทั้งสามเลือกดู
ทั้งหมดเป็นผู้หญิง ล้วนแต่ให้ความสนใจอย่างมากกับของพวกนี้ เอามือจับดู ก็รู้ได้เลยว่าเป็นของดีหายาก พระชายาฉีรีบออกปากกล่าวว่า “ทุกแบบนี้เอามาอย่างล่ะผืน”
ผู้ดูแลร้านตกใจตาโตมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ดูแลร้านรับคำสั่งด้วยความดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวสั่งว่า “พวกนี้จดลงบัญชีก่อน รอข้ามีเวลาว่างเข้ามาค่อยคิดเงิน เจ้านำผ้าทุกผืนนี้ขึ้นไปวางบนรถม้าที่อยู่ข้างนอก”
นางเป็นเจ้าของร้าน แน่นอนว่าคำพูดนางใหญ่สุด ผู้จัดการรับคำสั่ง ออกไปสั่งพนักงานนำผ้าไหมชั้นดีที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา วางไว้บนรถม้าที่อยู่ข้างนอก
พนักงานหอบผ้าไหมออกไปนอกประตูแล้วไม่เห็นรถม้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เป็นประจำสงสัยในใจ ไม่กล้าวางลง เลยถอยกลับเข้าไปในร้านแล้วถามผู้ดูแลร้าน
รอจนผู้ดูแลร้านออกไปแล้ว พระชายาฉีกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอะไร”
“ข้าและท่านแม่ทัพที่รู้จักกันมาก็เป็นเวลาสี่ห้าปีแล้ว ผ้าไหมพวกนี้ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานของเขาจากข้า พระชายาไม่ต้องเกรงใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าว
พระชายาฉีก็เป็นคนสบายๆ ตรงไปตรงมา ฟังคำพูดของนางแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก ยิ้มกล่าวว่า “ได้ ข้าจะรับแทนเขาไว้”
ทั้งสามลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก เห็นพนักงานหอบผ้าไหมกำลังถามผู้ดูแลร้านอยู่พอดี เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งว่า “นำไปวางไว้บนรถม้าของจวนอ๋องฉีเถอะ”
พนักงานไม่ชักช้า รีบนำผ้าไหมวางข้างหน้ารถม้า
กำชับผู้ดูแลร้านเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ขึ้นรถม้า กลับจวนแม่ทัพ
ผู้ดูแลร้านมองดูรถม้าที่ออกไปไกลแล้ว เหงื่อบนหน้าผากค่อยๆ ไหลลงมา ในใจยิ่งนึกสงสัยว่าเจ้านายใหม่ของตนเองนั้น เป็นคนอย่างไรกันแน่
ชิงหลวนและจูหลีนำฮั้วเซียงหลิงมาส่งถึงหน้าประตูจวนฮั้วสั่งให้คนเฝ้าประตูรายงานให้นายท่านฮั้วออกมารับคน
คนเฝ้าประตูเห็นท่าทางของพวกนางแล้ว แล้วมองฮั้วเซียงหลิงที่มีใบหน้าซีดเซียวไม่กล่าวอะไรรีบวิ่งเข้าไปรายงาน
นายท่านฮั้วได้ยินคำของเขาแล้ว รีบเดินออกมาพร้อมกับฮูหยินฮั้วจำได้ว่าพวกนางเป็นสาวใช้ของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจเต้นเต้น ตึกตัก
ชิงหลวนนำเรื่องทุกอย่างที่ฮั้วเซียงหลิงได้กระทำในวันนี้และนำคำพูดทุกคำที่นางพูดกับพระชายาฉีเล่าออกมาทั้งหมดไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
นายท่านฮั้วฟังแล้วรู้สึกหน้ามืด ให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่า แค่เวลาเพียงครู่เดียว ลูกสาวคนนี้ที่รู้กาลเทศะ ลูกสาวที่เชื่อฟังที่รู้มารยาทมาตลอด จะทำให้พระชายาฉีไม่พอพระทัย รีบยกมือขึ้นขอโทษ “ฝากบอกพระชายาฉี ต่อไปข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนลูกสาว จะไม่ให้นางไปหาเรื่องอะไรแม่นางเมิ่งอีกแน่นอน”
ชิงหลวนจ้องมองไปชั่วขณะ จ้องจนนายท่านฮั้วเหงื่อตก จึงกล่าวถามว่า “นายท่านฮั้ว รู้หรือไม่ว่านายหญิงอีกท่านที่อยู่ข้างๆ เจ้านายข้าวันนี้คือใคร”
ในใจของนายท่านฮั้วมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
น้ำเสียงของชิงหลวนไม่เปลี่ยน แต่ทำให้นายท่านฮั้วเหงื่อออกเต็มตัวทันที “นางคือนายหญิงน้อยของร้านยาเต๋อเหริน” สังคมการค้าในเมืองหลวง ร้านยาเต๋อเหรินถือว่าเทียบเท่ากับร้านของตน แต่วันนี้ลูกสาวของตนไม่เพียงทำให้พระชายาไม่พอใจ แต่ยังทำให้นายหญิงน้อยของร้านยาเต๋อเหรินไม่พอใจด้วย ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน แค่นึกถึงผลที่ตามมาเหงื่อบนตัวนายท่านฮั้วก็ไหลออกมาไม่หยุด
นายท่านฮั้วเป็นคนที่รู้ความ พูดถึงตรงนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ชิงหลวนไม่พูดมากไปกว่านี้ หันหลังกลับจวนแม่ทัพกับจูหลี
เมื่อทั้งสองคนลับตาไปแล้ว นายท่านฮั้วถึงกล้าถอนหายใจแรงๆ หมุนตัวตบหน้าฮั้วเซียงหลิง
เพียะ!
ฮูหยินฮั้วตกใจ
สาวใช้ตกใจจนขาอ่อน กราบลงบนพื้น
ฮั้วเซียงหลิงโดนตีจนงง มองนายท่านฮั้วอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
นายท่านฮั้วก็ยังไม่หายโกรธ ตะคอกด่าว่า “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าทำอย่างนี้เท่ากับว่าจะคร่าเอาชีวิตทั้งหมดของคนในจวน” พูดจบ สั่งด้วยเสียงโกรธว่า “พาคุณหนูเข้าไปขังไว้ในเรือนที่จวนของนาง ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามก้าวขาออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”
“ท่านพ่อ!” ฮั้วเซียงหลิงตกใจร้องออกมา
นายท่านฮั้วโบกมือ
“ท่านแม่!” ฮั้วเซียงหลิงร้องขอฮูหยินฮั้ว
ฮูหยินฮั้วกำลังจะขอร้องแทน แต่คำพูดถัดมาของนายท่านฮั้วทำให้นางหุปปากของนาง “หากเจ้าขอร้องแทนนาง ก็ไปขังตัวอยู่กับนางในเรือนซะ”
พูดจบ ดุคนใช้ว่า “ยังยืนเฉยกันอยู่ทำไม รีบพาตัวคุณหนูไป”
คนใช้รีบเดินเข้าไป รวบตัวฮั้วเซียงหลิงเข้าไปในจวน สาวใช้เซียงผิงดิ้นรนลุกขึ้นมา เดินตามหลังเข้าไป
นายท่านฮั้วก็สั่งอีกว่า “ฮูหยิน ตอบกลับคนบ้านหลี บอกว่าเราตกลงรับงานแต่งนี้ ให้พวกเขามาสู่ขอภายในสามวันนี้ อีกครึ่งเดือนแต่งงาน”
“ท่านพี่!” ฮูหยินฮั้วตกใจร้องออกมา “หลิงเอ๋อร์เป็นลูกสาวที่ท่านรักมากที่สุด งานแต่งของนางจะจัดแบบลวกๆ อย่างนี้ได้อย่างไร”
“หากไม่อยากให้นางทำลายตระกูลฮั้ว ทำให้คนในจวนเกือบร้อยกว่าคนต้องตายก็ทำตามที่ข้าบอก” นายท่านฮั้วไม่มีทีท่าเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย กล่าวด้วยเสียงเข้มงวด
ฮูหยินฮั้วเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายของนายท่านฮั้ว แม้จะเจ็บใจแค่ไหน ก็ไม่กล้าเอาชีวิตกว่าร้อยชีวิตมาล้อเล่น ถอนหายใจหนึ่งครั้ง หันตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปในจวน สั่งคนให้ไปแจ้งคนตระกูลหลี
หลังจากนั้นครึ่งเดือน ฮั้วเซียงหลิงลูกสาวสุดรักสุดหวงของตระกูลฮั้วก็แต่งงานออกเรือนอย่างรีบร้อน สิ่งที่ทำให้แม่สื่อมึนงงที่สุดคือคุณหนูฮั้วผู้นี้ตั้งแต่ออกจากจวนฮั้วจนเข้าจวนหลี ก็โดนสาวใช้ร่างใหญ่สองคนพยุงไว้ตลอดเวลา นั่นนี้คือคำที่กล่าวกันภายหลัง
ทั้งสามกลับมาถึงจวนแม่ทัพ พระชายาฉีสั่งให้ลุงฝูนำผ้าไหมและเครื่องประดับลงมาแล้วใส่เข้าไปในกล่องสินสอด
ฉู่เหวินเจี๋ยก็กลับมาจากค่ายทหารแล้ว นั่งรอทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินทำความเคารพเขา นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างเรียบร้อย
พระชายาฉียิ้มกล่าวกับฉู่เหวินเจี๋ยว่าผ้าไหมชั้นดีพวกนี้เป็นของขวัญแต่งงานจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้เขา ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มพยักหน้าขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวนำตั๋วเงินที่เหลือออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อให้พระชายาฉี พระชายาฉีเรียกลุงฝูมา ให้เขาเก็บเข้าบัญชี มอบหมายงานเสร็จแล้ว ทั้งสามลุกขึ้นขอตัวลากลับ
พระชายาฉีนั่งรถม้าตรงกลับมาที่จวนอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวให้กัวเฟยขับรถม้าไปส่งเฝิงจิ้งเหวินที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อนแล้วค่อยกลับจวนของตน
หลายวันต่อมา พระชายาฉีไปช่วยจัดเตรียมงานแต่งที่จวนแม่ทัพทุกวัน เจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ก็สั่งคนไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวมา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้อยู่เฉย เวลาไม่ไปจวนแม่ทัพก็ไปดูโรงงานหัตถกรรม
ส่วนคนที่ปรับสภาพหน้าดินในพื้นที่ร้างนอกเมือง อากาศหนาวขึ้นมาก ดินก็ปรับไม่ได้แล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวคิดเงินค่าแรงทั้งหมดของคนงานแล้ว วันสุดท้ายก็จ่ายเงินค่าจ้างให้คนงานทุกคน แล้วบอกกับพวกเขาว่า รอให้ผ่านปีใหม่ไปแล้ว อากาศเริ่มอุ่นแล้วค่อยมาปรับสภาพหน้าดินต่อ
ทำต่อเนื่องกันหนึ่งเดือนกว่า ทุกคนก็ได้เงินกันไม่น้อย ได้ยินว่าหลังปีใหม่ยังจะจ้างพวกเขาต่อ ใบหน้าของทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ส่วนเหวินเปียวและพี่น้องของเขา ยังคงอยู่ในโรงงานหัตถกรรม แต่เรื่องซื้อข้าวของก็ให้พวกเขาจัดการเอง
ตั้งแต่เด็กรับใช้จนมาเป็นผู้ดูแลร้านแล้ว ก็ยิ่งทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ จัดการทุกอย่างในเรื่องของโรงงานหัตถกรรมอย่างเรียบร้อย แม้แต่เรื่องสินค้าออก สินค้าเข้าก็ไม่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวกังวลใจแม้แต่น้อย
ในส่วนของกุนเชียง ใกล้สิ้นปีแล้ว ปริมาณต้องการของเชียเจียงเฟิงก็เพิ่มมากขึ้น นำกุนเชียงที่หมักแห้งแล้วทั้งหมดไปก็ยังไม่พอ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการที่อยู่ในโรงงานหัตถกรรมพวกนั้นเห็นว่ากุนเชียงขายดีอย่างนี้ สมัครใจขอช่วยด้วยการเพิ่มเวลางานทุกวันวันล่ะครึ่งชั่วโมง
เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษาหารือกันแล้วรู้สึกว่าดี แล้วเพิ่มค่าจ้างให้พวกเขาทุกวันวันล่ะยี่สิบอีแปะ. คนงานทุกคนดีใจมาก
ตามทางในเป่ยเฉิงเริ่มมีคนมากมายที่ออกมาหางานทำเรื่อยๆ แต่ว่ารอบนี้พวกเขาไม่ได้ทำหน้าทุกข์ใจอีกต่อไป ยิ่งคนที่ขายลูกสาวลูกชายยิ่งไม่มีอีกเลย
มีคนดีใจก็ต้องมีคนเสียใจ หญิงที่ทำอาชีพค้ามนุษย์ที่ดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาการค้ามนุษย์ร้อนใจมากที่ไม่มีคนให้ค้า ฉวยโอกาสที่ไม่มีคนอื่นแอบสาบแช่งเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่งั้นต้องให้คนไปตีนางจนพูดไม่ได้อีกต่อไป
วันเวลาผ่านไป ช่วงเวลานี้พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยก็ได้ยกสินสอดไปสู่ขอที่จวนเฝิงด้วยตนเองสินสอดทั้งหมดเจ็ดสิบสองลังทำให้ทั้งเมืองหลวงตกใจอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนรู้แล้วว่า ท่านแม่ทัพฉู่พอใจมากกับตัวเฝิงจิ้งซู พวกคนที่เกิดมามีฐานะสูง คุณนายขุนนางทั้งหลายที่ดูถูกชีวิตของเฝิงจิ้งซู ยังมีพวกผู้หญิงที่ศรัทธาท่านแม่ทัพฉู่ที่สาปแช่งตั้งแต่ยังไม่แต่งงานว่าต้องตกกระป๋องตั้งแต่วันแรกที่เข้าจวน ก็ไม่มีอะไรให้พูดอีกต่อไปจริงๆ
ฮ่องเต้ได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยสู่ขอหญิงสาวตระกูลค้าขายเป็นภรรยา อยู่ๆ ก็รู้สึกดีใจ สั่งคนพระราชทานสิ่งของมีค่ามากมาย พระพันปีก็ได้มีการพระราชทาน ไม่ได้พระราชทานให้ฉู่เหวินเจี๋ย แต่พระราชทานให้กับจวนเฝิงโดยตรง รวดฝากบอกคำพูดบางคำกับนายท่านเฝิงก็แค่จะเตือนเฝิงจิ้งซูว่าหลังจากเข้าจวนแม่ทัพแล้วให้รู้จักหน้าที่ฐานะของตัวเองให้ดี ทำในส่วนของตัวเองในดี คำพูดประมาณว่าอย่าทำเรื่องขายหน้าให้กับท่านแม่ทัพ
ไม่ว่าความตั้งใจจริงๆ ของพระพันปีคืออะไร จวนเฝิงก็ได้รับเกียรตินี้ ต่อไปสถานะทางสังคมการค้าในเมืองหลวงก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก
ฉู่เหวินเจี๋ยทนคำรบเร้าของเหล่าพลทหารไม่ไหว จึงตอบตกลงพวกเขาให้ติดตามเขาไปแต่งเมีย ให้เหล่าพลทหารมีส่วนในวันสำคัญของเขาด้วย
หน้าประตูจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยหัวดำๆ ของนายพลและทหารที่ยืนอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกคนสวมใส่เสื้อเกราะชุดใหม่ ดูมีชีวิตชีวา ทุกใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ประตูจวนแม่ทัพถูกขวางกั้นไว้ รถม้าไปไม่ถึงหน้าประตูจวน กัวเฟยหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมา พาชิงหลวนและจูหลีก้าวผ่านทหารจนถึงหน้าประตูจวน
ทั้งสามล้วนเป็นหญิงสาวหุ่นดี วันนี้แต่งตัวยิ่งสวย แม้ทหารทั้งหลายจะไม่ออกเสียงแซว ออกเสียงชม แต่ตาโตโดยไร้เสียงทุกคน มองพวกนางอย่างไม่ละสายตา ชิงหลวนเกิดความรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ใส่ใจและเดินพาทั้งสองเข้าไป
คนเฝ้าประตูจำนางได้ รีบเชิญพวกนางทั้งสามเข้าไป เห็นทั้งสามเดินไปไกลแล้ว จึงกล่าวกับรองแม่ทัพชุยอย่างเสียงเบาๆ ว่า “ท่านนี้คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อ ดูแลจัดการทหารของเจ้าให้ดี ระวังจะสร้างปัญหาใหญ่”
รองแม่ทัพตกใจ ถึงเริ่มคิดได้ลางๆ ว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยพบเจอเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินอยู่ข้างหน้านี้ รีบออกสั่งลงไปด้วยความเข้มงวดว่า ถ้าหากยังมีคนกล้าจ้องอีก ระวังโดนควักลูกตาออกมาดอง
รองแม่ทัพปกติเป็นคนอารมณ์ดี แต่ถ้าเข้มงวดขึ้นมา ทหารทั้งหลายล้วนกลัวเขาหมด ฟังคำสั่งของรองแม่ทัพชุยแล้ว ก็รีบเก็บสายตาของตัวเองทันที แล้วยืนตัวตรง
สองวันสุดท้ายนี้พระชายาฉีไม่ได้กลับไปจวนอ๋องฉี อยู่จัดเตรียมงานแต่งงานที่นี่ตลอด เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา รีบเรียกให้นางมานั่งข้างๆ ตัวเอง ช่วงนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็ยุ่งมาก ไม่ได้เจอหน้าเมิ่งเชี่อนโยวหลายวันแล้ว วันนี้เจอหน้าทั้งที จะให้ผ่านไปได้อย่างไร รีบลุกขึ้นขวางนางไว้ ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ตน ยื่นมือจับมืออีกข้างของนางไว้
เริ่มแรกพระชายาฉีหยุดชะงักไป หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “รอยุ่งงานแต่งของเหวินเจี๋ยเสร็จแล้ว ข้าจะรีบเข้าวังไปขอพระราชกฤษฎีกาให้เจ้าทั้งสองทันที กำหนดการหมั้นหมายก่อน รอปีหน้าช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็จัดงานแต่งเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนเฝ้ารอเวลานี้มานานมากแล้ว พอได้ยินก็ยิ้มกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความดีใจ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย